บทนำ
ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressants) คือ กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า หรือป้องกันอาการซึมเศร้า และยังรักษากลุ่มโรคอื่นๆ ได้อีก ดังเช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder, OCD) โรควิตกกังวลทั่วไป (Generalised Anxiety Disorder, GAD) โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) หรือบางกรณีอาจใช้รักษาอาการปวดเรื้อรังได้
กลไกการออกฤทธิ์ของยารักษาโรคซึมเศร้า
กลไกการออกฤทธิ์ของยาส่วนมากจะไปเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทภายในสมองบางชนิด เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) และนอร์แอดรีนาลี (Noradrenaline) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่พัฒนาทางด้านอารมณ์ นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของระดับสารสื่อประสาทในสมองสามารถส่งผลถึงการลดเจ็บปวดที่เกิดจากกระแสประสาทเหล่านั้นได้เช่นกัน จึงทำให้ยาต้านโรคซึมเศร้าบางชนิดสามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการปวดเรื้อรังได้ ในบางกรณีจะใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นในการรักษาโรคซึมเศร้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษายิ่งขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ยารักษาอาการซึมเศร้าได้ผลดีหรือไม่
ส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้ยาต้านโรคซึมเศร้าจะได้ผลดี ตัวโรคมีอาการดีขึ้น แต่ในกรณีที่ยังมีอาการซึมเศร้าระดับต่ำยาอาจจะยังไม่ได้ผลดีมาก แต่อย่างไรก็ตาม ยาจะออกฤทธิ์ได้เร็วและมีประสิทธิภาพในกรณีที่มีอาการรุนแรง มีการศึกษาพบว่าประมาณ 50 - 65% พบว่ามีการพัฒนาของโรคไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ 25-30 % ของผู้ที่ใช้ยาหลอก
ขนาดการใช้และระยะเวลาในการใช้ยารักษาอาการซึมเศร้า
ยารักษาอาการซึมเศร้าส่วนมากจะเป็นรูปแบบเม็ด โดยเริ่มที่ขนาดยาต่ำสุดทีสามารถรักษาอาการได้ โดยระยะเวลาส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ 7 วันในการแสดงประสิทธิภาพ เห็นผลการรักษา ดังนั้นการกินยาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืมกินยาจึงมีความสำคัญมาก ถ้าใช้ยานานเกิน 4 สัปดาห์แล้วยังไม่รู้สึกว่าอาการดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเพิ่มขนาดยาหรือเปลี่ยนยา
ระยะเวลาทั้งหมดในการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หรืออาจยาวนานได้ถึง 2 ปี แล้วแต่ระดับความรุนแรงของโรค
ผลข้างเคียงของการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า
ชนิดของยาที่แตกต่างกันจะทำให้มีผลข้างเคียงแตกต่างกัน ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะเป็นระดับไม่รุนแรงและจะหายไปได้เองในระยะเวลาไม่กี่วันเนื่องจากร่างกายสามารถปรับตัวและชินไปได้เอง
ประเภทของยารักษาโรคซึมเศร้า
ยารักษาโรคซึมเศร้ามีหลายชนิด ดังนี้
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะการดูดกลับ serotonin หรือ SSRIs (Selective serotonin reuptake inhibitors) ยากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่นิยมใช้มากเนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำกว่ากลุ่มอื่น หากได้รับยาเกินขนาดก็จะมีผลข้างเคียงต่ำกว่ากลุ่มอื่น ยาที่เป็นที่รู้จักในกลุ่มนี้คือฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) หรือชื่อการค้าว่าโพรเซค (Prozac) หรือยาชนิดอื่นๆในกลุ่มนี้ ได้แก่ ซิตาโลแพรม (citalopram) พารอกซิทีน (paroxetine) และเซอทราลีน (sertraline)
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะการดูดกลับ serotonin และ noradrenaline หรือ SNRIs (Serotonin-noradrenaline reuptake inhibitors) กลุ่มนี้จะคล้ายกับยากลุ่ม SSRIs โดยออกแบบมาให้ออกฤทธิ์ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงประสิทธิภาพที่ดีกว่า ในบางรายมีการตอบสนองต่อยากลุ่ม SSRIs มากกว่าและบางรายก็ตอบสนองต่อ SNRIs ดีกว่า ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่ ดูลอกซิทีน (duloxetine) และ เวนลาฟาซีน (venlafaxine) เป็นต้น
- ยากลุ่มที่มีความจำเพาะเจาะจงกับตัวรับของ noradrenaline และ serotonin หรือ NASSAs (Noradrenaline and specific serotonergic antidepressants) ยากลุ่มนี้เหมาะกับผู้ที่ใช้ยากลุ่ม SSRIs ไม่ได้ผลหรือไม่สามารถใช้ยากลุ่ม SSRIs ไม่ได้ ผลข้างเคียงของยากลุ่ม NASSAs จะคล้ายคลึงกับยากลุ่ม SSRIs แต่จะมีปัญหาต่อสมรรถภาพทางเพศที่น้อยกว่าแต่จะมีอาการง่วงซึมได้ในการใช้ระยะแรก ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่ เมอร์ตาซาปีน (mirtazapine)
- ยากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic Antidepressants, TCAs) ยากลุ่มนี้เป็นกลุ่มยาชนิดเก่า ไม่นิยมใช้แล้วในปัจจุบัน เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูงกว่ากลุ่ม SSRIs และ SNRIs ยากลุ่ม TCAs จะใช้รักษากลุ่มอาการอื่นๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ และ โรคไบโพล่า ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่ amitriptyline-antidepressant' target='_blank'>อะมิทริปไทลีน (amitriptyline) อิมิพรามีน (imipramine) และ นอร์ทริปไทลีน (nortriptyline)
ทางเลือกอื่นแทนการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า
ทางเลือกอื่นในการรักษา เช่น การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioural therapy, CBT) โดยอาจจะใช้การรักษาแบบบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมร่วมกับการใช้ยารักษาในกรณีที่เป็นโรคซึมเศร้าในระดับรุนแรง โดยยาจะลดอาการได้รวดเร็วกว่าและการรักษาแบบบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมจะใช้เวลามากกว่า การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถช่วยลดอาการของโรคได้เช่นกัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เมื่อไรควรใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า
ยาจะใช้ในกรณีการรักษาอาการของโรคซึมเศร้าในผู้ใหญ่ หรืออาจใช้ในการรักษาอาการทางจิตอื่น หรืออาการปวดเรื้อรังได้ โดยส่วนมากจะเริ่มใช้ยาในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคซึมเศร้ามีอาการระดับปานกลางถึงรุนแรง และอาจจะใช้ร่วมกับวิธีการบําบัดทางความคิดและพฤติกรรมร่วมด้วยเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ป่วยให้ดีขึ้น
ยารักษาโรคซึมเศร้าจะไม่แนะนำให้ใช้ในกรณีที่เป็นโรคซึมเศร้าที่มีอาการในระดับไม่รุนแรงเนื่องจากจะให้ผลการรักษาไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็ตามบางกรณีแพทย์อาจสั่งใช้ยาในกรณีที่เป็นโรคซึมเศร้าระดับอ่อนได้แต่จะใช้เพียงระยะสั้นเพื่อดูว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อยาดีหรือไม่
ในระยะแรกแพทย์จะสั่งใช้ยาในกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะการดูดกลับ serotonin หรือ SSRIs และสังเกตอาการการตอบสนองของผู้ป่วยประมาณ 4 สัปดาห์ หากอาการไม่ดีขึ้นอาจใช้วิธีอื่นหรือเพิ่มขนาดยาขึ้น
การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้ารักษาอาการอื่น
ยารักษาโรคซึมเศร้าสามารถนำมาใช้เป็นยาในการรักษาอาการอื่นได้เช่นกัน ดังนี้
- โรควิตกกังวล
- โรคย้ำคิดย้ำทำ
- โรคแพนิค (Panic Disorder)
- โรคกลัว (Phobia)
- โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia)
- โรคบูลิเมียหรือโรคล้วงคอ
- โรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic stress disorder, PTSD)
การใช้ยาในการรักษาอาการปวดเรื้อรัง
สามารถใช้ยากลุ่ม TCAs ในการเป็นยารักษาอาการปวดเรื้อรังได้ในบางราย อาการปวดเรื้อรังหรือเรียกว่า อาการปวดเส้นประสาทเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการที่ประสาทถูกทำลาย และจะไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาพาราเซตามอลในการรักษาอาการปวด
- ยาอะมิทริปไทลีน จัดเป็นยาในกลุ่ม TCAs และสามารถรักษาอาการปวดเรื้อรังได้ และยังสามารถรักษาอาการอื่นๆได้ ดังนี้
- กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่แบบซับซ้อน (complex regional pain syndrome)
- ปลายประสาทอักเสบ (Peripheral neuropathy)
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือโรคเอมเอส (multiple sclerosis, MS)
ยารักษาอาการซึมเศร้าสามารถใช้รักษาอาการปวดเรื้อรังที่ไม่ได้เกิดจากระบบประสาทได้เช่นกัน เช่น อาการของกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ (Fibromyalgia) ปวดหลังเรื้อรัง หรือ ปวดคอเรื้อรัง เป็นต้น
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้ารักษาอาการปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก
ยากลุ่ม TCAs สามารถใช้ในการรักษาอาการปัสสาวะรดที่นอนในเด็กได้ เนื่องจากยาจะออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เพิ่มปริมาตรของกระเพาะปัสสาวะได้ทำให้เด็กปวดปัสสาวะน้อยลงขณะหลับ
ข้อควรระวังในการใช้ยาและปฏิกิริยาระหว่างยาชนิดอื่น
ยารักษาโรคซึมเศร้าสามารถเกิดปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นได้ เช่น ยาแก้ปวดไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ดังนั้นก่อนซื้อยามาใช้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์
ไม่แนะนำให้ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ แต่ทั้งนี้อาจจะใช้ได้ในบางกรณี ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ดังนี้
- แท้งบุตร
- ทารกที่เกิดมาอาจพิการ หรือหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด
- ทารกมีความดันในปอดสูงผิดปกติ ทำให้หายใจลำบาก (pulmonary hypertension)
หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ อาจจะใช้ยากลุ่ม SSRIs เช่น ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) ในการรักษา
การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าในหญิงให้นมบุตร
ไม่แนะนำให้ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าในหญิงให้นมบุตร แต่มีบางกรณีที่สามารถยกเว้นได้คือการใช้ยาเป็นประโยชน์มากกว่าเมื่อเทียบกับการให้นมบุตร ยาที่นิยมให้ในหญิงให้นมบุตร คือ พารอกซิทีน (paroxetine) หรือ เซอทราลีน (sertraline)
การใช้ยาในเด็กหรือผู้ที่มีอายุน้อย
ในเด็กหรือผู้ที่มีอายุน้อยที่มีอาการของโรคซึมเศร้าในระดับปานกลางถึงรุนแรงควรได้รับการรักษาโดยวิธีจิตบำบัดก่อนเป็นลำดับแรก อย่างน้อยเป็นเวลา 3 เดือน บางกรณีแพทย์อาจให้ยากลุ่ม SSRIs ชื่อว่า ฟลูออกซิทีน (fluoxetine) ร่วมกับวิธีจิตบำบัดในเด็กที่อายุ 12-18 ปี
ไม่ควรใช้ยาในเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากอาจจะกระตุ้นการเกิดความคิดฆ่าตัวตายได้ ทั้งยังอาจทำให้สมองมีพัฒนาการช้า อาจมีกรณียกเว้นในการใช้ยาในเด็กหรือผู้มีอายุน้อยได้ เมื่อเด็กไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น เช่น จิตบำบัด เป็นต้น อาจต้องใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าร่วมกับวิธีอื่นๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด
ยารักษาโรคซึมเศร้ากับการดื่มแอลกอฮอล์
ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจทำให้อาการซึมเศร้าแย่ลง หากผู้ป่วยใช้ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม TCAs ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนและง่วงซึมได้
สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St John's Wort)
สมุนไพร เซนต์จอห์นเวิร์ต (St John's Wort) เป็นสมุนไพรที่ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ มีหลักฐานว่าสมุนไพรมีประสิทธิภาพในการรักษา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณสารสำคัญที่ใช้ ในบางล็อตการผลิตหรือแตกต่างยี่ห้อ อาจมีปริมาณตัวยาสำคัญต่างกันได้
การใช้สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ตร่วมกับการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการชัก ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยารักษาโรคซึมเศร้าบางชนิด ยาคุมกำเนิดบางชนิด เป็นต้น อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ และไม่ควรใช้สมุนไพรชนิดนี้ในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรเนื่องจากยังไม่มีหลักฐานถึงประสิทธิภาพที่ชัดเจน
ข้อควรระวังในการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าแต่ละกลุ่ม
ยากลุ่ม SSRIs
ยากลุ่ม SSRIs อาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีเงื่อนไขดังนี้
- เป็นโรคไบโพล่า และอยู่ในช่วงมีอาการมาเนีย (mania) แต่สามารถใช้ยาได้ถ้าอยู่ในช่วงอาการซึมเศร้า
- เป็นโรคเลือดไหลได้ง่าย หรือใช้ยาวาร์ฟารินอยู่
- เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือ 2
- เป็นโรคลมชักที่ยังควบคุมอาการไม่ได้
- เป็นโรคไต
ยากลุ่ม SNRIs
ยากลุ่ม SNRIs อาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ หรือเป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมความดันโลหิตไม่ได้
ยากลุ่ม TCAs
ยากลุ่ม TCAs อาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีเงื่อนไขดังนี้
- มีประวัติโรคหัวใจ
- เป็นโรคตับ
- เป็นโรคพอร์ฟิเรีย(Porphyria) ซึ่งคือกลุ่มโรคที่พบยาก ที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
- เป็นโรคไบโพล่า
- เป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia)
- เป็นโรคเนื้องอกต่อมหมวกไตชนิดฟีโอโครโมไซโตมา (pheochromocytoma)
- เป็นโรคต่อมลูกหมากโต
- เป็นโรคต้อกระจก
- เป็นโรคลมชัก
ขนาดการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า
ในการรักษาโรคซึมเศร้า แพทย์จะให้เริ่มใช้ยาในขนาดที่ต่ำสุดที่มีฤทธิ์ในการรักษาได้ เพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงต่ำที่สุด จากนั้นค่อยๆเพิ่มขนาดขึ้นหากยังอาการไม่ดีขึ้น
ยารักษาโรคซึมเศร้าส่วนมากจะเป็นรูปแบบเม็ด และนิยมใช้ในขนาด 1-3 เม็ดต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค โดยจะใช้เวลาประมาณ 7 วันถึงจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาการของโรค ถ้าหากใช้ยาเกิน 4 สัปดาห์แต่อาการยังไม่ดีขึ้นนั้น ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยาต่อไป โดยจะแนะนำให้ใช้ยาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อการรักษา ถ้าอาการของโรคไม่รุนแรงจะยังไม่แนะนำให้เริ่มใช้ยา
การลืมกินยาหรือกินยาเกินขนาด
ควรกินยาให้ครบถ้วน เพราะหากลืมกินยาจะส่งผลต่อผลการรักษาได้ หากลืมกินยาให้กินยาทันทีที่นึกได้ นอกเสียจากว่าจะนึกได้ใกล้เวลาของมื้อถัดไป ให้กินมื้อถัดไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาทดแทนมื้อที่ลืมกิน และควรรีบไปโรงพยาบาลหากกินยาเกินขนาด และไม่ควรหยุดกินยาเองถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าตนมีอาการดีขึ้นแล้ว เนื่องจากหากหยุดยากะทันหันอาจมีอาการข้างเคียงได้ดังเช่น ปวดท้อง อาการคล้ายหวัด วิตกกังวล วิงเวียน อาจมีอาการชัก เป็นต้น
ผลข้างเคียงของยารักษาโรคซึมเศร้า
จะมีอาการข้างเคียงได้ในช่วงแรก แต่จะค่อยๆหายไปเอง การกินยาอย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุดยาจึงมีความสำคัญมาก ในการใช้ยาช่วงเดือนแรกจะมีการนัดเจอแพทย์เพื่อติดตามผลและอาการข้างเคียงต่างๆ ทุก 2-4 สัปดาห์
ผลข้างเคียงของยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs ผลข้างเคียงทั่วไป อาจมีได้ดังนี้
- ใจสั่น มีอาการสั่นจากการวิตกกังวล
- คลื่นไส้อาเจียน
- อาหารไม่ย่อย
- ท้องผูกหรือท้องเสีย
- ไม่อยากอาหาร
- วิงเวียน
- ปวดศีรษะ
- นอนไม่หลับ หรือง่วงนอนตลอดเวลา
- อารมณ์ทางเพศลดต่ำลง สมรรถภาพทางเพศต่ำลง
อาการเหล่านี้จะลดลงในระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
ผลข้างเคียงของยากลุ่ม TCAs
- ปากแห้งคอแห้ง
- มองไม่ชัด
- ท้องผูก
- ปัสสาวะขัด
- ง่วงนอน
- วิงเวียนศีรษะ
- น้ำหนักเพิ่ม
- เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ใจสั่น หัวใจเต้นแรง
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า
กลุ่มอาการซีโรโทนิน (Serotonon syndrome)
กลุ่มอาการซีโรโทนิน (Serotonon syndrome) นั้นเกิดขึ้นได้น้อยแต่มีความรุนแรง โดยอาการจะเหมือนกับผลข้างเคียงของยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs ซึ่งกลุ่มอาการนี้เกิดจากมีปริมาณของสารซีโรโทนินในสมองมากเกินไป ซึ่งโดยมากเกิดจากการใช้ยา SSRIs หรือ SNRIs ร่วมกันกับยาชนิดอื่นที่สามารถเพิ่มระดับซีโรโทนินได้ เช่น ยาต้านการซึมเศร้าชนิดอื่น หรือสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต อาการอาจมีได้ดังนี้
- สับสน มึนงง
- ใจสั่น กระวนกระวาย
- กล้ามเนื้อกระตุก
- เหงื่อออก
- หนาวสั่น
- ท้องเสีย
- ในผู้ที่มีอาการรุนแรงอาจมีการชัก ไข้สูงมาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และไม่มีสติได้
ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia)
ในผู้สูงอายุที่ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะกลุ่ม SSRIs อาจพบภาวะโซเดียมในเลือดต่ำรุนแรงได้ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการของเหลวคั่งภายในร่างกายก่อให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากยากลุ่ม SSRIs จะยับยั้งฮอร์โมนที่คอยควบคุมสมดุลของระดับโซเดียมและของเหลวในร่างกาย ทั้งนี้ร่างกายของผู้สูงอายุจะจะปรับสมดุลของเหลวได้น้อยลงกว่าปกติ จึงเกิดภาวะนี้ได้ง่ายในผู้สูงอายุ อาการของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) มีดังนี้
- คลื่นไส้อาเจียน
- ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ไม่อยากอาหาร
- เหนื่อยล้า
- ไม่มีสติ มึนงง
- ชัก
- ใจสั่น
โรคเบาหวาน (Diabetes)
ในผู้ที่ใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าในกลุ่ม SSRIs และ TCAs เป็นเวลานาน จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 ได้ ยังไม่มีหลักฐานหรือสาเหตุที่ชัดเจนว่าเหตุใดยารักษาอาการซึมเศร้าถึงก่อให้เกิดโรคเบาหวานได้ แต่อาจเกิดขึ้นจากน้ำหนัดตัวของผู้ป่วยที่มากขึ้นจากการใช้ยาเป็นเวลานาน
ความคิดฆ่าตัวตาย (Suicidal thoughts)
เกิดขึ้นได้น้อยมาก ในบางรายมีความคิดฆ่าตัวตายหรือมีความคิดทำร้ายตัวเองได้เมื่อเริ่มต้นใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 25 ปี
ทางเลือกอื่นแทนการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า
การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioural therapy, CBT)
เป็นทางเลือกที่อาจใช้ในการรักษาอาการซึมเศร้าได้ และมีความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ใช้วิธีนี้ในผู้ที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง หรือใช้วิธีนี้ร่วมกับการใช้ยา การบำบัดจะทำให้ผู้ป่วยมีความเข้าใจในความคิดและพฤติกรรมของตนมากขึ้นว่าส่งผลกับตนอย่างไรและสามารถปรับปรุงได้อย่างไร และรวมถึงการปรับความคิดเชิงลบออกไป
การบำบัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal therapy)
เป็นการบำบัดที่มุ่งเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ป่วยกับบุคคลอื่น หรือเน้นเรื่องปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จะคล้ายคลึงกับการบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม
การให้คำปรึกษา (Counseling)
เป็นการบำบัดรักษาโดยช่วยแนะนำให้ผู้ป่วยเห็นถึงปัญหาของตนและแนะนำแนวทางแก้ไข จัดการกับปัญหาเหล่านั้นและให้ผู้ป่วยตัดสินใจเลือกนำทางเลือกต่างๆ ไปใช้ด้วยตนเอง
การให้คำปรึกษานั้นจะเหมาะกับผู้ที่มีสุขภาพดีแต่มีปัญหาเกิดขึ้นในบางช่วงเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ปัญหาการจัดการความโกรธ ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ความสูญเสีย หรือการเป็นโรครุนแรง เป็นต้น
การออกกำลังกาย
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้การออกกำลังกายในการบำบัดผู้ที่มีอาการซึมเศร้าระดับอ่อน โดยการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการหลั่งสารซีโรโทนินและโดปามีนในสมองได้ ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น ทั้งยังเสริมสร้างความมั่นใจได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ผู้ที่มีอาการซึมเศร้า
กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน (Self help groups)
เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า มีประสบการณ์เดียวกันและนำข้อมูลมาแบ่งปันกัน และเป็นกลุ่มที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นคล้ายเพื่อนมาคุยกัน
ยาลิเทียม (Lithium)
จะใช้ยาลิเทียมเมื่อผู้ป่วยลองใช้ยารักษาอาการซึมเศร้าแบบปกติแล้วไม่ได้ผล โดยจะให้ใช้ร่วมกับยาเดิม ยาลิเทียมนั้นหากมีปริมาณยาในเลือดสูงเกินไป อาจก่อให้เกิดพิษได้ ดังนั้นจึงมีการตรวจเลือดเพื่อติดตามปริมาณยาอย่างสม่ำเสมอ
การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electric shock treatment)
ใช้ในผู้ที่มีอาการรุนแรงและใช้การรักษาอื่นแล้วไม่ตอบสนองเท่านั้น โดยก่อนการใช้กระสไฟฟ้าจะมีการให้ยาชาและยาคลายกล้ามเนื้อก่อน และมีการใช้กระแสไฟฟ้าผ่านสมอง โดยจะให้เป็นช่วง และจะรักษา 2 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นระยะเวลา 3-6 สัปดาห์