โซลอฟท์ (Zoloft) เป็นชื่อทางการค้าของยาเซอร์ทราลีน (Sertraline) ซึ่งจัดเป็นยารักษาโรคซึมเศร้าในกลุ่มยาต้านเศร้า SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) ที่จะออกฤทธิ์ควบคุมระดับสารสื่อประสาทในสมองที่เรียกว่า "เซโรโทนิน (Serotonin)"
เซโรโทนิน ทำหน้าที่ควบคุมฮอร์โมน อารมณ์ความรู้สึก และการทำงานของสมองซึ่งเกี่ยวของกับโรคซึมเศร้าด้วย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ปัจจุบัน ยากลุ่ม SSRIs เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าที่ถูกสั่งใช้มากที่สุดในผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า เนื่องจากมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นน้อยกว่ายากลุ่มอื่นที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า
นอกจากนี้ ยาโซลอฟท์ยังถูกนำมาใช้รักษาโรคทางจิตเวชอื่นๆ ด้วย เช่น
- ภาวะผิดปกติทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง (Posttraumatic Stress Disorder: PTSD)
- กลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder: PMDD)
- โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder: OCD)
- โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
- โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder)
ข้อควรระวังในการใช้ยาโซลอฟท์
ถึงแม้ว่ายาโซลอฟท์จะเป็นยาที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคทางจิตเวช แต่ก็มีข้อควรระวังบางอย่างที่ผู้ป่วย และผู้อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยจะต้องรับรู้เอาไว้ เพื่อป้องกันอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างใช้ยา
1. เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
ยาโซลอฟท์ได้ระบุคำเตือนสำคัญในข้อมูลยาไว้ว่า ตัวยานั้นสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายได้ในระหว่างที่ผู้ป่วยรับประทานยา โดยตัวยาอาจไปเพิ่มความคิดอยากฆ่าตัวตายในผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่า 24 ปีที่เป็นโรคซึมเศร้า หรือมีภาวะผิดปกติทางจิตอื่นๆ
แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ตัวยาจะช่วยลดความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายได้ดี
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ดังนั้น แพทย์ผู้ให้การรักษาจะตัดสินใจใช้ยาโซลอฟท์ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยไม่ได้มีความเสี่ยงรุนแรงที่อยากจะฆ่าตัวตาย และติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ครอบครัว และผู้ดูแลของผู้ป่วย ยังควรได้รับคำแนะนำถึงสัญญาณเตือนที่ผู้ป่วยอาจจะฆ่าตัวตายได้จากการใช้ยาด้วย
2. ควรไปพบแพทย์หลังเริ่มใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ
ในช่วงเริ่มต้นของการใช้ยาโซลอฟท์ 12 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพราะในระยะเวลาดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่แพทย์จะติดตามผลของการใช้ยาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
3. อาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง
หากผู้ป่วยมีอาการ หรือพฤติกรรมดังต่อไปนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- หงุดหงิด
- อยู่ไม่นิ่ง กระสับกระส่าย
- รู้สึกไม่เป็นมิตร
- มีพฤติกรรมก้าวร้าว
- ใจร้อน หุนหันพลันแล่น
- อาการซึมเศร้าแย่ลง
- มีความคิดฆ่าตัวตาย
หากเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์โดยเร่งด่วนเพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเกิดจากการใช้ยาหรือไม่ และผู้ป่วยไม่ควรหยุดใช้ยาโซลอฟท์โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงกว่านี้ได้
4. ยามีผลต่อการตรวจปัสสาวะ
หากผู้ป่วยจำเป็นต้องตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ ก็ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ทราบถึงการใช้ยาโซลอฟท์ เนื่องจากตัวยาสามารถมีผลต่อผลการทดสอบได้
5. ต้องหยุดรับประทานกลุ่มยาบางชนิดก่อนเริ่มใช้ยาโซลอฟท์
กลุ่มยาเอ็มเอโอไอ (Monoamine Oxidase Inhibitor: MAOI) เป็นกลุ่มยาต้านเศร้าที่คุณควรระมัดระวังก่อนการเริ่มใช้ยาโซลอฟท์ร่วมด้วย ซึ่งตัวอย่างยาในกลุ่มยาเอ็มเอโอไอจะได้แก่
- Furazolidone (Furoxone)
- Phenelzine (Nardil)
- Rasagiline (Azilect)
- Isocarboxazid (Marplan)
- Selegiline (Eldepryl Emsam และ Zelapar)
- Trannylcypromine (Parbate)
หากผู้ป่วยกำลังรับประทานยาในกลุ่มยาเอ็มเอโอไออยู่ และจะต้องเริ่มใช้ยาโซลอฟท์ร่วมด้วย ผู้ป่วยจะต้องหยุดรับประทานยาและรออย่างน้อย 14 วันก่อนเริ่มต้นใช้ยาโซลอฟท์
6. แจ้งโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากตนเองมีโรคประจำตัว หรือพฤติกรรมบางอย่างที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดอาการข้างเคียงเมื่อใช้ยาโซลอฟท์ ซึ่งได้แก่
- โรคลมชักหรืออาการชัก
- โรคอารมณ์สองขั้ว
- มีประวัติการใช้ยาเสพติด
- มีความคิดจะฆ่าตัวตาย
- การทำงานของตับหรือไตผิดปกติ
- มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
สำหรับระยะเวลาที่อาการของผู้ป่วยจะดีขึ้นหลังจากใช้ยาโซลอฟท์ จะใช้เวลาประมาณ 4 สัปดาห์
7. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับยารักษาโรคซึมเศร้าตัวอื่นๆ การใช้ยาโซลอฟท์มีโอกาสจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งภาวะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น อาจมาจากภาวะน้ำคั่งของร่างกาย ผู้ป่วยขาดการออกกำลังกาย หรือมีอาการอยากอาหารเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
เพื่อจัดการกับภาวะน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นระหว่างใช้ยา รวมถึงยารักษาโรคซึมเศร้าตัวอื่นๆ แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยมีการเพิ่มการทำกิจวัตรประจำวัน และรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงให้น้อยลง
การใช้ยาโซลอฟท์ในระหว่างตั้งครรภ์
ยาโซลอฟท์อาจเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์มารดา หากผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาในระหว่างการตั้งครรภ์ หรือวางแผนการตั้งครรภ์ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ที่ได้จากการใช้ยา หรือหากเป็นการใช้ยาในระหว่างที่ให้นมบุตร
เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า ยาสามารถออกฤทธิ์ส่งผ่านทางน้ำนม หรือเป็นอันตรายต่อทารกที่ดื่มนมจากมารดาหรือไม่ ดังนั้นในระหว่างกำลังให้นมบุตร ผู้เป็นแม่ไม่ควรเริ่มต้นใช้ยาโซลอฟท์โดยไม่ได้รับการยินยอมจากแพทย์ก่อน
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปียังไม่ควรใช้ยาโซลอฟท์โดยไม่ผ่านการพิจารณาจากแพทย์ ถึงแม้ยาจะได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ในการรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำในผู้ป่วยเด็กได้ก็ตาม แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะซึมเศร้าด้วย
อาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้ยาโซลอฟท์
การใช้ยาโซลอฟท์สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปากคอแห้ง เหงื่อออกมากกว่าปกติ คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องไส้ปั่นป่วน รวมทั้งง่วงซึม นอนไม่หลับ วิงเวียนศีรษะ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งหากอาการดังกล่าวยังไม่ดีขึ้น หรือแย่ลง ผู้ป่วยควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
อาการข้างเคียงอื่นๆ ที่ร้ายแรงจากการใช้ยา
นอกจากอาการข้างเคียงทั่วไปที่กล่าวมาด้านบน ยาโซลอฟท์ยังอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ร้ายแรงในผู้ป่วยบางรายได้ เช่น
- ความต้องการทางเพศลดลง
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- กล้ามเนื้อเกร็ง หรืออ่อนแรง
- เกิดจ้ำเลือด หรือเลือดออกง่ายผิดปกติ
- ตัวสั่น หรือมีอาการสั่น
- น้ำหนักลดลงผิดปกติ
- อุจจาระมีสีดำคล้ำ หรือมีเลือดปก
- อาเจียนออกมามีสีคล้ายกาแฟ
นอกจากนี้ การรับประทานยาโซลอฟท์ ยังอาจนำไปสู่อาการข้างเคียงที่รุนแรงซึ่งเรียกว่า "เซโรโทนิน ซินโดรม" (Serotonin syndrome) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วน และความเสี่ยงของการเกิดเซโรโทนิน ซินโดรมจะเพิ่มมากขึ้น
หากผู้ป่วยรับประทานยาชนิดอื่นที่สามารถเพิ่มระดับสารเซโรโทนินร่วมด้วย โดยกลุ่มอาการข้างเคียงเซโรโทนิน ซินโดรมจะมีอาการต่อไปนี้
- หัวใจเต้นเร็ว
- ประสาทหลอน
- ร่างกายเสียสมดุล และวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
- มีอาการกล้ามเนื้อกระตุก
- มีไข้สูงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย
- กระสับกระส่ายผิดปกติ อยู่ไม่นิ่ง
สำหรับอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่พบได้น้อย ได้แก่ อาการปวดเมื่อองคชาติแข็งตัว หรือองคชาติแข็งตัวนานกว่าปกติตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน หรืออาการดังกล่าวอาจเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นอย่างถาวรได้ด้วย
โดยปกติ อาการแพ้ยาอย่างรุนแรงจากยาโซลอฟท์จะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อย แต่หากเกิดขึ้น ก็ควรรีบรักษาโดยด่วน
อันตรกิริยาของยาชนิดอื่นที่มีต่อยาโซลอฟท์
อันตรกิริยา หรือผลกระทบจากการใช้ยาตัวอื่นที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาโซลอฟท์ แบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น
1. กลุ่มยาต้านเศร้าเอ็มเอโอไอ
2. กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory: NSAIDs) หรือเรียกได้สั้นๆ ว่า "ยาเอ็นเสด" ซึ่งกลุ่มยาดังกล่าว เมื่อรับประทานร่วมกับยาโซลอฟท์ จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดจ้ำเลือด หรือเลือดออกง่ายกว่าปกติ
นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ หากมีการรับประทานยาต่อไปนี้
- Ibuprofen ได้แก่ Advil Motrin
- Naproxen ได้แก่ Aleve, Naprosyn, Naprelan และ Treximet
- Aspirin และ Celecoxib (Celebrex)
- Indomethacin (Indocin)
- Meloxicam (Mobic)
- Diclofenac ได้แก่ Arthrotec, Cambia, Cataflam, Voltaren, Flector, Patch, Pennsaid และSolareze
3. ตัวยาอื่นๆ ที่เมื่อรับประทานร่วมกับยาโซลอฟท์แล้ว จะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียมากขึ้น
ซึ่งตัวยาต่อไปนี้อาจเป็นยาที่ผู้ป่วยรับประทานโดยปกติอยู่แล้ว เช่น
- ยารักษาหวัด
- ยาแก้แพ้
- ยาออกฤทธิ์ระงับประสาท
- ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์เสพติด
- ยานอนหลับ
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
- ยาป้องกันอาการชัก หรืออาการวิตกกังวล
สิ่งสำคัญคือ ผู้ป่วยและผู้ดูแลควรบันทึกรายการยาทั้งหมดที่แพทย์สั่งใช้ หรือซื้อมาใช้เองจากเคาน์เตอร์ หรือร้านขายทั่วไป รวมทั้งวิตามิน ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และแจ้งให้แพทย์ทราบทั้งหมด
4. กลุ่มยาอันตรายและสำคัญที่จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ หากต้องรับประทานกับยาโซลอฟท์
รายการยาที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีความสำคัญมากที่ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายได้ ได้แก่
- Competitive (Tagamet)
- Digoxin (Crystodigin)
- Fentanyl ได้แก่ Abstral, Actiq, Fentora, Duragesic, Ionsys, Lazanda และ Onsolis
- Tramadol ได้แก่ Ultram, Ultram ER และ Ultracet
- 5-hydroxytryptophan (5-HTP)
- Valproate ได้แก่ Depacon และ Depakene
- Linezolid (Zyvox)
- Lithium ได้แก่ Lithobid และ Eskalith
5. กลุ่มยารักษาอาการปวดไมเกรน (Migraines)
- Naratriptan (Amerge)
- Rizatriptan (Maxalt)
- Sumatriptan (Imitrex และ Treximet)
- Zolmitripran (Zomig)
- Almotriptan (Axert)
- Eletriptan (Relpax)
- Frovatriptan (Frova)
6. กลุ่มยาละลายลิ่มเลือด
ได้แก่ Warfarin (Coumadin และ Jantoven)
7. กลุ่มยารักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ได้แก่ Specialise (Tambocor) และ Propagating (Rhythmol)
นอกจากนี้ ยังมียาชนิดอื่นๆ ที่ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเพิ่มเติมอีก ซึ่งได้แก่
- venlafaxine (Effexor)
- Amitriptyline (Elavil)
- Bupropion ( Wellbutrin)
- Nortriptyline (Pamelor)
- citalopram (Celexa)
- Milnacipran (Savella)
- Desvenlafaxine (Pristiq)
- Duloxetine (Cymbalta)
- Escitalopeam (Lecapri)
- Fluoxetine (Prozac, Sarafem)
- Fluvoxamine (Luvox)
- Imipramine (Tofranil)
- Paroxetine (Paxil)
ไม่ว่าจะเป็นรายการยาตามที่กล่าวมา หรือยาตัวอื่นๆ นอกจากนี้ หากผู้ป่วยจะต้องมีการรับประทานยาโซลอฟท์เพื่อรักษาโรคที่เกิดขึ้น ผู้ป่วยควรให้รวบรวมรายการยาทั้งหมดที่กำลังใช้อยู่ให้แพทย์ตรวจสอบ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายตามมา
การใช้ยาโซลอฟท์ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่รับประทานยาโซลอฟท์ เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มการเกิดอาการข้างเคียงของยาโซลอฟท์ได้
ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานยาโซลอฟท์ในรูปแบบยาน้ำในระหว่างที่กำลังใช้ยา Disulfiram (Antabuse) ซึ่งเป็นยารักษาภาวะติดสุราเรื้อรัง เนื่องจากตำรับยาน้ำโซลอฟท์จะมีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์อยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงกับยา Disulfiram ได้
และหากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่รถยนต์ หรือทำงานที่ต้องใช้สมาธิ เนื่องจากการรับประทานยาโซลอฟท์อาจทำให้ประสิทธิภาพความคิดและการทำงานแย่ลง
ขนาดยาโซลอฟท์ที่ใช้ในการรักษา
ขนาดยาที่ใช้ในการรักษาจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาวะโรคที่รักษาและอายุของผู้ป่วย
ขนาดยาในผู้ใหญ่
- โรคซึมเศร้าหรือโรคย้ำคิดย้ำทำ รับประทาน 50 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
- โรคตื่นตระหนก หรือภาวะผิดปกติทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง และโรคกลัวการเข้าสังคม เริ่มต้นด้วยปริมาณ 25 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ปรับเพิ่มปริมาณยาเป็น 50 มิลลิกรัมต่อวัน
- กลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน รับประทาน 50 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ส่วนรูปแบบการรับประทานและช่วงเวลาในการรับประทานนั้น ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
ขนาดยาในเด็กและวัยรุ่น
- โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็กอายุ 6-12 ปี เริ่มต้นด้วยปริมาณยา 25 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
- โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็กอายุ 13-17 ปี เริ่มต้นปริมาณยา 50 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง
คำแนะนำเพิ่มเติมในการรับประทานยา
- การปรับเพิ่มปริมาณยาของผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ผู้ป่วยไม่ควรปรับเพิ่มปริมาณยาที่รับประทานเอง
- ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ ในช่วงเช้าหรือเย็น
- ผู้ป่วยควรรับประทานยาในเวลาเดิมของวัน เพื่อป้องกันการลืมรับประทานยา
- หากยาเป็นรูปแบบยาน้ำชนิดรับประทาน ผู้ป่วยจำเป็นต้องเจือจางยาก่อนรับประทาน โดยใช้หลอดหยดยาเพื่อตวงวัดขนาดยาก่อน หรือสามารถผสมยากับน้ำเปล่าปริมาตร 4 ออนซ์ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น น้ำขิง น้ำโซดามะนาว น้ำมะนาว หรือน้ำส้มคั้น
นอกจากเครื่องดื่มทั้ง 4 อย่างข้างต้น ผู้ป่วยไม่ควรดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น และหลังจากดื่มน้ำที่ผสมยาลงไปแล้ว ให้ดื่มน้ำเปล่าตามอีก 1 แก้วเพื่อให้ยาละลายได้ดี
ควรทำอย่างไรเมื่อรับประทานยาเกินขนาด
อาการแสดงเมื่อรับประทานยาเกินขนาด ได้แก่ อาการสั่น กระสับกระส่าย อาเจียน ง่วงซึมมาก และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวและคิดว่าตนเองรับประทานยาเกินขนาด ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน
ควรทำอย่างไรเมื่อลืมรับประทานยา
หากคุณลืมรับประทานยาโซลอฟท์ ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่หากเวลาดังกล่าวใกล้ถึงเวลารับประทานยามื้อถัดไปแล้ว ให้ข้ามมื้อยาที่ลืมรับประทานไปเลย และไม่ต้องเพิ่มขนาดยามื้อถัดไปเป็น 2 เท่า
ยาโซลอฟต์ เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หรือหยุดยา-เพิ่มขนาดยาด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android