ความหมายของโรคจิต
โรคจิต (Psychosis) คือ โรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจแบ่งออกได้หลายชนิดตามลักษณะอาการที่เด่นออกมา โดยส่วนมากผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตจะไม่ทราบว่าตนเองมีอาการผิดปกติอยู่ และจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นเป็นเรื่องจริง อีกทั้งไม่เคยคิดสงสัยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนรับรู้และเห็นอยู่นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือไม่สมเหตุสมผล
อาการของโรคจิต
อาการหลักๆ ของโรคจิต แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
1. อาการหลงผิด (Delusion) เป็นความผิดปกติทางความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความเชื่อและความคิดในเรื่องต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามหลักความจริง โดยมักเกิดจากความเชื่อที่ฝังใจ หรือเป็นความคิดที่ยากจะให้เหตุผลได้อย่างชัดเจน อาการหลงผิดที่เกิดขึ้นสังเกตได้ดังนี้
- คิดว่าตนเองใหญ่โต ร่ำรวย เป็นคนใหญ่คนโต (Grandeur delusion)
- คิดว่ามีคนอื่นปองร้าย (Persecution delusion)
- คิดว่าคนอื่นหลงรักหรือคลั่งไคล้ตนเอง (Self-accusatory delusion)
- คิดว่าตนเองเจ็บป่วย (Hypochondriacal delusion หรือ Somatic delusion)
- คิดว่าอวัยวะบางส่วนของร่างกายขาดหายไป (Nihilistic delusion)
2. อาการประสาทหลอน (Hallucination) เป็นความผิดปกติทางการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น และการรับรส โดยไม่มีสิ่งเร้าจริงๆ เกิดขึ้นหรือมากระตุ้นแต่อย่างใด แต่ผู้ป่วยกลับรับรู้ได้เอง เช่น
- ประสาทหลอนทางการเห็น (Visual hallucination) ผู้ป่วยมองเห็นภาพต่างๆ ที่ไม่มีอยู่จริง เช่น เห็นคนกำลังมาจะทำร้ายตน
- ประสาทหลอนทางการได้ยิน (Auditory hallucination) เช่น ผู้ป่วยได้ยินเสียงคนพูด หัวเราะ หรือด่าตน โดยที่ไม่มีสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น
- ประสาทหลอนทางการรับกลิ่น (Olfactory hallucination) เช่น ผู้ป่วยได้กลิ่นแปลกๆ โดยที่ผู้อื่นไม่ได้กลิ่นนั้นๆ
- ประสาทหลอนทางการรับรส (Gustatory hallucination) ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนได้รับรสแปลกๆ เกิดขึ้น เช่น มีรสหวาน หรือรสขมที่ลิ้น
- ประสาทหลอนทางการสัมผัส (Tactile hallucination) ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาไต่ตอมตามผิวหนัง รู้สึกคันผิวหนัง โดยที่ไม่มีสิ่งเร้าจริง
3. พฤติกรรมผิดไปจากเดิมอย่างมาก เช่น เก็บเนื้อเก็บตัว ก้าวร้าวขึ้นกว่าเดิม ไม่สนใจทำกิจกรรมหรือกิจวัตรประจำวัน ไม่นอนหลับ หมกมุ่นสนใจกับเรื่องทางไสยศาสตร์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรมและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคจิต
ทางการแพทย์ยังไม่มีการระบุสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคจิตได้อย่างแน่ชัด แต่ก็มีความเชื่อว่า ยังมีปัจจัยสำคัญบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยต้องเผชิญกับภาวะโรคจิต ได้แก่
1. ปัจจัยภายใน
- ความผิดปกติทางสมอง และระดับสารเคมีในสมอง โดยเฉพาะสารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการคิดและการรับรู้ที่นำไปสู่การเกิดพฤติกรรมต่างๆ หากการทำงานของสมองและสารสื่อประสาทดังกล่าวได้รับความกระทบกระเทือน ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการโรคจิตได้
- ความผิดปกติทางจิต หรือทางบุคลิกภาพ และการปรับตัว
- ความเจ็บป่วยทางร่างกายบางอย่างที่อาจส่งผลให้เกิดอาการโรคจิตได้ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือโรคชนิดเช่น
- ไข้จับสั่นหรือโรคมาลาเรีย (Malaria)
- โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)
- โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease)
- โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง หรือเรียกอีกชื่อว่า "โรคลูปัส" (Lupus)
- โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซิฟิลิส (Syphilis)
- การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV)
- มีเนื้องอกในสมอง
- การถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ หากคุณมีผู้ที่มีบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ พี่ น้องเป็นโรคจิต หรือโรคทางวิตเวชอื่นๆ มาก่อน คุณก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคโจรหรือโรคทางจิตเวชได้มากกว่า
2. ปัจจัยภายนอก
การใช้ยาหรือได้รับสารเคมีใดๆ เข้าสู่ร่างกายในทางที่ผิด หรือในปริมาณที่เกินไป อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการโรคจิตได้ เช่น
- การบริโภคแอลกอฮอล์
- การเสพยาเสพติด เช่น
- โคเคน (Cocaine)
- ยาบ้า (Amphetamine)
- ยาไอซ์ (Methamphetamine)
- ยาอี (MDMA: Ecstasy)
- ยาเค (Ketamine)
- กัญชา (Cannabis)
วิธีการรักษาโรคจิต
กระบวนการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยโรคจิตจะแบ่งได้เป็น 2 แบบ ได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- การรักษาโดยใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics): ยาที่ใช้รักษาโรคจิตจะมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน และจะต้องเป็นยาที่ถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ซึ่งแพทย์อาจให้ยาที่อยู่ในรูปของยารับประทาน หรือให้ผู้ป่วยมาพบเพื่อเข้ารับการฉีดยาเป็นระยะๆ ซึ่งความถี่ในการใช้ยาจะนานแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากแพทย์เช่นเดียวกัน
สำหรับคุณสมบัติของยาต้านอาการทางจิตนั้น ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งสารโดปามีนในสมอง เพื่อช่วยลดอาการประสาทหลอนและอาการหลงผิดที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยคิดและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนตามพื้นฐานของความเป็นจริงได้ดียิ่งขึ้น - การรักษาโดยทำจิตบำบัด: วิธีการรักษาแบบนี้มีหลายเทคนิคให้เลือกใช้ เช่น การบำบัดพฤติกรรมและความคิด การฝึกสติและสมาธิ โดยผู้บำบัดหรือแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายเอง
วิธีการป้องกันโรคจิต
เนื่องจากโรคจิตเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุก็ไม่อาจป้องกันได้อย่างเต็มที่ แต่การป้องกันหลักๆ ที่ทำได้ก็คือ การลดความเสี่ยงด้านต่างๆ เช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดให้โทษทุกชนิด ทั้งการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือการใช้ยาเสพติด
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาอย่างผิดวัตถุประสงค์ หรือใช้ยาเกินปริมาณที่แพทย์กำหนด
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองอย่างเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งจะช่วยในการกระตุ้นให้อารมณ์ผ่อนคลายลง
- เรียนรู้ทักษะในการจัดการกับความเครียด ปรับมุมมองความคิดใหม่ มองโลกแง่ดีมากขึ้น หรือคิดวิธีแก้ปัญหาด้วยที่ถูกต้องเหมาะสมกับตนเอง โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา
- หมั่นสังเกตอาการและความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด ทั้งอาการทางร่างกายและจิตใจ หากพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือบุคลากรที่มีความรู้ด้านจิตเวช
การดูแลและอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคจิต
สิ่งสำคัญที่ญาติ ผู้ดูแล หรือบุคคลอยู่ใกล้ชิดควรตระหนักในการดูแลผู้ป่วยโรคจิต คือ
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค อาการของโรค และวิธีการรักษาที่ถูกต้อง
- ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากผู้ป่วยโรคจิตมักจะไม่รู้ว่าตนเองป่วยอยู่ และไม่เข้าใจความสำคัญของการรับประทานยา อีกทั้งยาต้านอาการจิตมักจะมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สุขสบายตัว จึงทำให้ไม่อยากรับประทานยา
- พาผู้ป่วยไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ผู้ป่วยจะมีอาการกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ผู้ดูแลก็ต้องพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ตามนัดอย่าให้ขาด เนื่องจากผู้ป่วยโรคจิตบางรายอาจต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมอาการไปตลอดชีวิต และการหยุดยาเองมักจะมีผลทำให้อาการกำเริบซ้ำ ซึ่งหากผู้ป่วยมีอาการกำเริบซ้ำบ่อยๆ จนเรื้อรัง การรักษาครั้งต่อไปก็จะทำได้ยากมากขึ้น
- คอยดูแลและเตือนให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองได้ตามศักยภาพ และให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย รวมถึงผู้ดูแลยังต้องเฝ้าระวังไม่ให้ผู้ป่วยใช้สารเสพติดต่างๆ ซึ่งอาจกระตุ้นให้โรคกำเริบได้อีกครั้ง
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้
เพราะโรคจิตเป็นโรคทางวิตเวชชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น "โรคทางจิตเวช" แล้ว หลายคนจึงมักมีความเชื่อ และเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคอีกหลายๆ อย่าง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว โรคจิตก็ถือว่าเป็นการเจ็บป่วยชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาและบรรเทาอาการได้ ไม่ต่างจากโรคทั่วไปที่หลายคนพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น
- คิดว่าโรคจิตคือ อาการผีเข้าหรืออาการทางไสยศาสตร์ จึงทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี จึงทำให้โรคกำเริบรุนแรงขึ้น เกิดเป็นอาการก้าวร้าวหรืออาจทำร้ายบุคคลรอบข้าง คนใกล้ชิดที่เข้าใจผิดแบบนี้มักจะกักขัง หรือผูกมัดล่ามโซ่ผู้ป่วยไว้กับที่ ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่ผิด
- คิดว่า "โรคจิต" คือ อาการของผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม ทำให้หลายคนมักจะนำคำว่า "โรคจิต" ไปใช้ในการต่อว่าหรือล้อเลียนผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมนี้จะยิ่งทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตจริงๆ มีภาพจำที่ดูแย่ อันตราย และหลายรายจึงไม่กล้ามารับการรักษาอย่างถูกต้อง
- หลายคนยังเข้าใจผิดว่า โรคจิตคือ โรคร้ายแรงที่เป็นอันตรายมาก ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคจิตจะต้องอยู่ในห่างผู้คนและห้ามใครเข้าใกล้เด็ดขาด ทั้งๆ ที่ความจริง โรคจิตก็คือ อาการป่วยชนิดหนึ่งที่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีเท่านั้น หลังจากนั้นผู้ป่วยก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้
- ทำให้การไปพบจิตแพทย์ดูเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะเมื่อนึกถึงผู้ป่วยที่ต้องพบจิตแพทย์ หลายคนก็มักจะนึกถึงภาพผู้ป่วยที่พูดคนเดียว มีอาการเพ้อฝัน ดูเป็นอันตราย และจะเหมารวมว่า คนเหล่านั้นคือผู้ป่วยที่เป็น "โรคจิต" ทั้งหมด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว การไปพบจิตแพทย์ก็ไม่ต่างจากการขอคำปรึกษาเกี่ยวอาการผิดปกติทางร่างกายส่วนอื่นเลย อีกทั้งจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วย
หนูมีเสียงนินทาหนูได้ยินอยู่คนเดียวทั้งคืนทั้งวันไม่ได้หลับได้นอนมา2-3วัน พูดในใจด่าในใจเสียงมันยังรู้เลยก็เลยตอบโต้งในใจกับเสียงมันก็ด่าหนูก็ด่ามันในใจกลับ