จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในบริการด้านสาธารณสุขหลายด้านเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้กว้างขวางขึ้น หนึ่งในนั้นรวมไปถึงบริการด้านการแพทย์ด้วย ซึ่งนั่นเป็นที่มาของ Telemedicine
Telemedicine คืออะไร?
เทเลเมดดิซีน (Telemedicine) หรือชื่อทับศัพท์ภาษาไทยว่า “ระบบโทรเวชกรรม” หมายถึง บริการทางการแพทย์โดยการนำเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ Video Conference หรือที่เรียกทั่วไปว่า วีดีโอคอล มาใช้ในการพูดคุยปรึกษาปัญหาสุขภาพระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย
ลักษณะการพูดคุยกับแพทย์กับผู้ป่วยผ่านระบบ Telemedicine แทบจะไม่ต่างจากการพูดคุยกันในห้องตรวจของโรงพยาบาล เพียงแต่ตัวแพทย์กับผู้ป่วยจะอยู่คนละสถานที่กันเท่านั้น และสื่อสารกันผ่านเทคโนโลยีการวีดีโอคอลแบบเห็นหน้าคู่สนทนาทั้งสองฝ่าย
ความแตกต่างระหว่าง Telemedicine กับ Telehealth
คุณอาจสงสัยว่าระหว่างบริการทางการแพทย์ 2 อย่างนี้ต่างกันอย่างไร หลักการจำง่ายๆ มีดังนี้
- Telehealth คือ บริการด้านสุขภาพซึ่งคุณจะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ แต่ไม่ใช่แพทย์โดยตรง
- Telemedicine คือ บริการด้านสุขภาพซึ่งคุณจะได้รับคำปรึกษา ได้ซักถาม ส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยกับแพทย์โดยตรง
ประเภทของ Telemedicine
ระบบ Telemedicine แบ่งออกได้ 3 ประเภทหลักๆ ตามลักษณะข้อมูลที่รับส่งระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย ระยะเวลาในการส่ง รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องในแต่ละระบบ ได้แก่
1. ประเภทรับและส่งต่อข้อมูลทางการแพทย์ (Store and forward telemedicine)
มักใช้ในการรับส่งข้อมูลของผู้ป่วยระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ด้วยกันเอง โดยฝั่งแพทย์ผู้รักษาอาจส่งข้อมูลไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ด้านอื่นๆ หรือเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรค รวมถึงวางแผนการรักษาต่อไป เช่น
- ภาพเอกซเรย์
- ภาพถ่าย
- คลิปวิดีโอ
- รายชื่อยาที่สั่งจ่ายให้ผู้ป่วย
Telemedicine ประเภทนี้ ทั้งฝั่งผู้ส่งและผู้รับข้อมูลการตรวจมักจะไม่ได้สื่อสารโต้ตอบแบบเห็นหน้าในเวลาเดียวกัน แต่มักเป็นการนำส่งข้อมูลผ่านระบบที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ หรือผ่านทางอีเมลมากกว่า
ดังนั้นแพทย์จะไม่สามารถพูดคุยเพื่อซักประวัติ สอบถามอาการอื่นๆ เพิ่มเติมหรือขอตรวจร่างกายจากผู้ป่วยโดยตรงได้ นอกจากจะมีการนัดหมายเพิ่มเติม
2. ประเภทติดตามผลการรักษาผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล (Remote Patient monitoring telemedicine)
นิยมใช้ในผู้ป่วยที่ต้องติดตามอาการของโรคอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยไม่สะดวกเดินทางมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลได้ เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคหอบหืด เช่น
- การส่งผลตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง
- การส่งค่าความแข็งตัวของเลือด
- การส่งบันทึกอาการเจ็บป่วย หรืออาการข้างเคียงอื่นๆ จากการใช้ยาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ฝั่งของแพทย์เองก็สามารถส่งข้อมูลจากการตรวจวินิจฉัยบางอย่างกลับไปให้ผู้ป่วย และแนะนำวิธีการดูแลตนเองให้ผู้ป่วยประกอบไปด้วย เช่น
- ผลการส่องตรวจผิวหนัง (Dermoscope)
- ผลการอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
- ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiography: EKG)
- ผลการวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse oximeter)
ข้อดีของ Telemedicine ประเภทนี้ นอกจากผู้ป่วยจะไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินเดินทางมาโรงพยาบาลแล้ว ยังทำให้แพทย์สามารถติดตามอาการ ให้คำปรึกษาด้านการรักษาเพิ่มเติม ตรวจผลลัพธ์จากการใช้ยาและปรับขนาดยาใหม่ รวมถึงวางแผนการรักษาตามอาการของผู้ป่วยต่อไปได้ง่ายขึ้น
3. ประเภทการพูดคุยโต้ตอบระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย (Interact telemedicine)
เป็นการพูดคุยสนทนาระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยในเวลาเดียวกัน (Real time) ผ่านเทคโนโลยีวิดีโอคอลซึ่งคู่สนทนาจะสามารถเห็นหน้ากันได้ทั้ง 2 ฝ่าย
ระบบของเทคโนโลยีที่ใช้อาจเป็นของทางโรงพยาบาลเอง หรือผ่านทางแอปพลิเคชัน Video Conference ที่แพทย์กับผู้ป่วยได้ตกลงจะใช้ร่วมกัน
ซึ่งในบทสนทนามักจะประกอบไปด้วยการซักประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว การตรวจร่างกาย เพื่อให้แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยได้
นอกจากนี้ Telemedicine ประเภทนี้ยังสามารถใช้ได้ในกรณีแพทย์ผู้รักษาผู้ป่วยต้องการคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ด้วย โดยในระหว่างนั้น แพทย์จะอยู่กับผู้ป่วยและพูดคุยสนทนากับแพทย์อีกคนผ่านการวีดีโอคอลเช่นเดียวกัน
บริการด้านการแพทย์ที่มักนิยมใช้ Telemedicine
นอกเหนือจากการรักษาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง ประเภทของบริการด้านการแพทย์ที่มักนิยมใช้ Telemedicine เข้ามาเป็นตัวช่วยในการสื่อสารระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย จะได้แก่
1. การทำรังสีวิทยา (Radiology)
เนื่องจากภาพถ่ายรังสีวิทยาหรือภาพถ่ายเอกซเรย์จะต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ วินิจฉัยโรค และวางแผนการรักษา
การใช้ Telemedicine เข้ามาจึงช่วยจะทำให้แพทย์ได้รับภาพถ่ายที่มีคุณภาพความละเอียดสูง และสามารถส่งรายละเอียดการวิเคราะห์ผลตรวจกลับไปที่โรงพยาบาลจากสถานที่ใดก็ได้ ทำให้ช่วยย่นระยะเวลาของผู้ป่วยในการรอผลตรวจได้อย่างมาก
2. การให้คำปรึกษาด้านจิตเวช (Mental Health)
เป็นอีกหนึ่งบริการทางการแพทย์ผ่าน Telemedicine ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กับการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับภาวะทางจิตใจ หรือโรคทางจิตเวช เช่น ภาวะหรือโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล
ซึ่งในปัจจุบันหลายหน่วยงานหรือโรงพยาบาลได้มีการพัฒนาระบบการให้คำปรึกษาทางจิตเวชที่เป็นมิตรและตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยมากขึ้น เช่น สามารถนัดหมายหรือยกเลิกตารางนัดได้โดยไม่เปิดเผยชื่อ สามารถกรอกลักษณะอาการที่ต้องการเจาะจงก่อนพบแพทย์ได้
แล้วหลังจากนั้น ทางโรงพยาบาลก็จะจัดตารางการนัดหมายระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยให้ได้พูดคุยสนทนากันผ่านการวิดีโอคอล และแพทย์อาจจ่ายยาให้ผ่านการพูดคุยครั้งนั้นไปด้วยเลย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการรักษา
3. อาการเจ็บป่วยของเด็ก
เด็กๆ หลายคนมีอาการกลัวโรงพยาบาล กลัวเข็มฉีดยา จนไม่กล้าพบแพทย์ นอกจากนี้ ผู้ปกครองหลายคนอาจไม่สบายใจที่จะพาลูกที่กำลังป่วยออกนอกบ้านซึ่งอาจเป็นการรับเชื้อโรคเพิ่ม
ดังนั้นพ่อแม่หลายคนจึงเลือกใช้ระบบ Telemedicine ในการปรึกษาอาการป่วยของเด็กกับแพทย์แทนที่จะพาเด็กไปโรงพยาบาลโดยตรง
4. โรคผิวหนัง Dermatology
เพราะโรคเกี่ยวกับผิวหนังมักต้องส่งข้อมูลภาพถ่ายรังสี (Teleradiology) หรือภาพชิ้นเนื้อจากกล้องจุลทรรศน์ (Telepathology) เพื่อให้แพทย์นำมาวิเคราะห์และวินิจฉัยอาการของโรคต่อไป
การใช้เทคโนโลยี Telemedicine เข้ามาช่วย จะทำให้กระบวนการวางแผนการรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็วได้มากขึ้น
6 ประโยชน์ของ Telemedicine
Telemedicine เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางแพทย์ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมที่สุด และยังมีประโยชน์ต่อตัวผู้ใช้บริการด้านอื่นๆ อีก เช่น
1. ลดปัญหาขาดแคลนแพทย์ในบางพื้นที่
หลายคนคงเคยได้ยินว่าในบางพื้นที่ที่ห่างไกลขาดแพทย์ดูแล การใช้เทคโนโลยี Telemedicine และ Telehealth จะช่วยให้ผู้คนทุกพื้นที่สามารถติดต่อกับแพทย์ได้
2. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
Telemedicine ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผู้จะใช้บริการไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ค่าบริการรถโดยสาร หรือต้องตื่นแต่เช้า เผื่อเวลา เพื่อไปเข้าแถวรอพบแพทย์
เพียงแค่รอเวลาตามนัดหมายของแพทย์ผ่านการใช้ Telemedicine เพียงเท่านี้คุณก็สามารถพูดคุยกับแพทย์ได้เหมือนอยู่ในห้องตรวจจริงๆ และยังสามารถได้รับยารักษาอย่างเหมาะสมที่สั่งจ่ายจากแพทย์โดยตรงด้วย
นอกจากนี้ ค่าบริการทางการแพทย์ผ่านทาง Telemedicine มักจะถูกกว่าการมาพบแพทย์โดยตรงที่โรงพยาบาลด้วย
3. ไม่ต้องลางาน
หลายคนไม่สะดวกใจที่จะลางานไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล กรณีนี้เทคโนโลยี Telemedicine สามารถเข้ามาช่วยให้ตารางการทำงานของคุณไม่สะดุดได้ เพียงแค่เผื่อเวลาในช่วงที่ต้องพูดคุยกับแพทย์ไว้เล็กน้อย หลังจากนั้นคุณก็สามารถกลับไปทำงานต่อได้ตามปกติ
4. อยู่บนเตียงก็พบแพทย์ได้
เนื่องจากมีผู้ป่วยหลายกลุ่ม เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก เทคโนโลยี Telemedicine จะช่วยทำให้คุณพูดคุยกับแพทย์ได้แม้กำลังนอนอยู่บนเตียง
5. มีบันทึกการรักษาที่เป็นระบบ
หลายครั้งที่คุณอาจหลงลืมว่าแพทย์สั่งยาอะไรไปบ้าง คราวที่แล้วแพทย์พูดถึงอาการป่วยว่าอะไร ซึ่งการรักษาผ่าน Telemedicine อาจช่วยให้คุณสามารถจัดเก็บระบบข้อมูลการรักษาให้กับตนเองได้ง่ายขึ้น สามารถกลับไปตรวจเช็กรายละเอียดการรักษาในครั้งก่อนๆ ได้ง่ายกว่า
6. ให้ความเป็นส่วนตัว
อาจมีกลุ่มผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่สะดวกใจจะออกมาพบปะผู้คน หรือกลัวจะเจอคนรู้จักที่โรงพยาบาลได้ การปรึกษาแพทย์ผ่าน Telemedicine จะช่วยให้การรักษาโรคของคุณเป็นความลับมากขึ้น รู้สึกสบายใจกว่า ไม่ต้องออกไปพบปะใครให้ต้องกังวลใจ
ข้อเสียของ Telemedicine
ถึงแม้ Telemedicine จะให้ประโยชน์และอำนวยความสะดวกต่อทั้งฝั่งแพทย์และผู้ป่วย แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่เทคโนโลยีนี้ไม่สามารถทำได้ เช่น
1. ยากต่อการวินิจฉัยอาการบางอย่าง
การตรวจโรคหรืออาการเจ็บป่วยบางอย่างจำเป็นต้องมีการสัมผัสตัว หรือสังเกตร่างกายของผู้ป่วยในระยะใกล้ ซึ่งการรักษาด้วย Telemedicine อาจทำให้แพทย์ไม่สามารถสังเกตอาการผู้ป่วย หรือได้สัมผัสตัวเพื่อวินิจฉัยอาการให้แม่นยำได้มากขึ้น
2. เปลืองค่าใช้จ่ายหลายส่วน
ถึงแม้ Telemedicine จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง หรือประหยัดเวลา แต่ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีนี้ก็อาจทำให้คุณต้องจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงระบบนี้ คุณอาจต้องซื้อโทรศัพท์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพพอในการใช้เทคโนโลยีนี้มาใช้ด้วย
นอกจากนี้ ทางฝั่งโรงพยาบาลเองก็ต้องมีการจัดวางระบบ มีการสอนและทดลองให้บุคลาการทางการแพทย์ใช้เทคโนโลยีนี้ในการรักษาผู้ป่วยเช่นกัน ซึ่งอาจเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่ากัน
3. อาจมีการสื่อสารคลาดเคลื่อน
ถึงแม้จะมีการพูดคุยแบบเห็นหน้าทั้ง 2 ฝ่าย แต่การสื่อสารผ่านภาพ ไม่ใช่การพบหน้าตัวต่อตัวก็อาจทำให้ทั้งฝั่งแพทย์และผู้ป่วยรับข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปได้
4. ยังไม่มีกฎหมายรับรองและคุ้มครองเต็มรูปแบบ
การใช้เทคโนโลยี Telemedicine อาจเสี่ยงทำให้เกิดการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบการสื่อสารของโลกออนไลน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
นอกจากนี้ อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้ามาปลอมแปลงหรือนำข้อมูลทางการแพทย์ของคุณไปใช้ประโยชน์ในด้านที่ไม่ดีได้ ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่มีกฎหมายเข้ามาคุ้มครองเทคโนโลยีนี้ให้ปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ
หลายโรงพยาบาลในประเทศไทยเริ่มมีการใช้เทคโนโลยี Telemedicine ในการรักษาผู้ป่วยหลายกลุ่มแล้ว คุณอาจลองสอบถามกับโรงพยาบาลที่ไปตรวจสุขภาพเป็นประจำว่า มีบริการด้านนี้หรือไม่
เพราะเทคโนโลยีนี้อาจทำให้อาการเจ็บป่วยของคุณดีขึ้น รวมถึงสุขภาพแข็งแรงขึ้นได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปพบแพทย์ถึงที่โรงพยาบาลให้เสียเวลา
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android