การติดเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella) จะเรียกว่าภาวะซัลโมเนลโลซิส (Salmonellosis) สามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อสัตว์ปีกดิบๆ ไข่ เนื้อวัว ผักและผลไม้ที่ไม่ได้ทำความสะอาด นอกจากนี้ สัตว์เลี้ยงบางชนิด โดยเฉพาะในกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู เต่า หรือกิ้งก่า ก็สามารถทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้เช่นกัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ชนิดของเชื้อ Salmonella
เชื้อซัลโมเนลลา สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- Typhoidal Salmonella เป็นกลุ่มของแบคทีเรียสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคไข้รากสาดน้อยหรือไข้รากสาด ประกอบด้วยเชื้อ Salmonella Typhi, Paratyphi A, Paratyphi B, และ Paratyphi C
- Non-typhoidal Salmonella หมายถึงเชื้อซัลโมเนลลาสายพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมด โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดคือ Salmonella Typhimurium และ Salmonella Enteritidis
อาการของการติดเชื้อ Salmonella
เชื้อซัลโมเนลลา กลุ่ม non-typhoidal สามารถทำให้เกิดท้องเสียเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรงได้ โดยมักมีอาการแสดงหลังจากสัมผัสแบคทีเรียไปแล้ว 12-72 ชั่วโมง อาการที่พบ ได้แก่
- ท้องเสียโดยอาจมีเลือดปน
- ปวดท้อง
- มีไข้
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้อาเจียน
- เบื่ออาหาร
หากเป็นโรคไข้รากสาดน้อยสามารถทำให้เกิดไข้สูงลอย (39-40องศาเซลเซียส) และอาจทำให้เกิดอาการ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้อง เบื่ออาหาร และมีผื่นขึ้นร่วมด้วย
ผู้ป่วยบางคนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อซัลโมเนลลาได้ ถ้าเชื้อนั้นมีความรุนแรงและส่งผลต่ออวัยวะอื่นนอกระบบทางเดินอาหาร เช่น กระดูก ข้อ ระบบประสาทส่วนกลาง (สมองและไขสันหลัง) หรืออวัยวะภายในอื่น ๆ รวมถึงการติดเชื้อในกระแสเลือดด้วย
การรักษาการติดเชื้อ Salmonella
อาการของการติดเชื้อซัลโมเนลลาในทางเดินอาหาร จะหายไปได้เองใน 5-7 วัน หากเกิดภาวะขาดน้ำจากการท้องเสีย อาจจำเป็นต้องมีการให้สารน้ำทดแทน
ส่วนการให้ยาปฏิชีวนะ จะใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อขั้นรุนแรง หรือการติดเชื้อในคนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยยาปฏิชีวนะที่สามารถใช้รักษาได้ เช่น
- กลุ่ม Fluoroquinolone เช่น Ciprofloxacin
- กลุ่ม Cephalosporins รุ่นที่ 3 เช่น Ceftriaxone, Cefepime หรือ Ceftazidime
- Ampicillin