กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)

เผยแพร่ครั้งแรก 10 ก.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 7 นาที
Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)

บทนำ

selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) เป็นกลุ่มยาต้านโรคซึมเศร้าที่ถูกสั่งใช้อย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในรายที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาเป็นระยะเวลานาน และโดยมากจะใช้ร่วมกับการรักษาประเภทที่ไม่ใช้ยา เช่น การพูดคุย ปรับตัวปรับพฤติกรรม เป็นต้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ยากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) จะเป็นยาตัวเลือกแรกที่ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้า เพราะยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงต่ำ เมื่อเทียบกับยากลุ่มอื่น แต่นอกจากโรคซึมเศร้า ยากลุ่มนี้ยังสามารถใช้รักษาอื่นได้ ดังนี้

  • โรคกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder, GAD)
  • โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder, OCD)
  • โรคแพนิค (Panic Disorder) หรือ โรคตื่นตระหนก
  • โรคกลัว (Phobias) เช่น โรคกลัวที่แคบ กลัวสังคม เป็นต้น
  • โรคบูลิเมียหรือโรคล้วงคอ (bulimia)
  • โรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง (Post-traumatic stress disorder, PTSD)
  • โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)

ยากลุ่ม SSRIs ทำงานอย่างไร

ยากลุ่มนี้ทำงานโดย เพิ่มระดับซีโรโทนิน (serotonin) ในสมอง โดยซีโรโทนิน คือ สารสื่อประสาท โดยเป็นสารสื่อประสาทที่มีผลต่อการปรับอารมณ์และการนอนหลับ โดยซีโรโทนินจะถูกดูดกลับโดยเซลล์ประสาท หรือเรียกขั้นตอนการดูดกลับว่า reuptake

ยากลุ่ม SSRIs ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งกระบวนการ reuptake หรือ ดูดกลับของซีโรโทนิน นั่นหมายถึงปริมาณซีโรโทนินจะถูกกำจัดน้อยลง ทำให้สามารถส่งต่อสารสื่อประสาทได้มากขึ้น

โรคทางสุขภาพจิตนั้นโดยมาก มีสาเหตุมาจากระดับของซีโรโทนินต่ำ หากมีการเพิ่มระดับซีโรโทนินได้นั้นสามารถช่วยให้อาการของโรคนั้นดีขึ้นและทำให้ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีปรับพฤติกรรมได้ด้วย

ขนาดการใช้ยาและระยะเวลาในการใช้ยากลุ่ม SSRIs

ยากลุ่นนี้นิยมใช้ในรูปแบบของยาเม็ด เมื่อต้องเริ่มใช้ยา ผู้ป่วยจะเริ่มต้นใช้ยาจากขนาดที่ต่ำที่สุดที่สามารถรักษาอาการได้ โดยยาจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ในการเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาการ หรือผู้ใช้รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง

ผู้ใช้ยาอาจจะรู้สึกถึงผลข้างเคียงขณะใช้ยาได้บ้างแต่ผู้ป่วยต้องทน และใช้ยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้จะลดลงหรือผู้ป่วยจะทนได้ในระยะเวลาอันสั้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

หากผู้ป่วยได้ใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4-6 สัปดาห์แล้วยังไม่รู้สึกถึงผลดี หรืออาการที่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาเพิ่มขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นยาชนิดใหม่ โดยระยะเวลาการรักษาปกติจะใช้ระยะเวลาทั้งหมดอย่างน้อยประมาณ 6 เดือน หรือนานกว่านั้น ในบางรายอาจต้องใช้ยาตลอดชีวิต

สิ่งที่ต้องพิจาณาในการใช้ยากลุ่ม SSRIs

ยากลุ่มนี้ไม่ได้เหมาะสมกับผู้ป่วยทุกราย แพทย์จะไม่แนะนำให้ใช้ยาหากผู้ป่วยเป็นหญิงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือมีอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะปัจจัยเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงชนิดที่ร้ายแรงมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีข้อยกเว้นได้แล้วแต่กรณีไป ถ้าการใช้ยามีประโยชน์มากกว่าโทษที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย

ยากลุ่ม SSRIs ต้องมีการใช้อย่างระมัดระวังภายใต้การดูแลของแพทย์ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ลมชัก โรคไต เป็นต้น

บางกรณียากลุ่ม SSRIs สามารถเกิดปฏิกิริยากับยาบางกลุ่ม เช่น ยาแก้ปวด หรือ สมุนไพรบางชนิด เช่น เซนต์จอนเวิร์ด (St John’s wort) ดังนั้น ก่อนใช้ยาทุกชนิดหรือซื้อยามาใช้ด้วยตนเองควรอ่านฉลากก่อนทุกครั้ง และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เสมอ

ผลข้างเคียงของยากลุ่ม SSRIs

ผลข้างเคียงไม่ร้ายแรง ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทนได้เหม่อใช้ไปในระยะหนึ่ง มีดังนี้

ข้อควรระวังและปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นหากใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น

 ยากลุ่ม SSRIs อาจไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีโรคร่วม หรือ ใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ดังนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

  • โรคไบโพล่า (bipolar disorder) โดยถ้าผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เป็นอารมณ์รุนแรง (manic phase) แต่ยากลุ่มนี้สามารถใช้ได้ดีในช่วงระยะที่ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า
  • ภาวะที่มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ฮีโมฟีเลีย (haemophilia)
  • โรคเบาหวาน ชนิดที่ 1 หรือ ชนิดที่ 2
  • โรคลมชัก กลุ่มยา SSRIs ควรใช้ในผู้ป่วยโรคลมชักที่ควบคุมอาการได้แล้วเท่านั้น และควรหยุดยาหากอาการชักมีมากขึ้น
  • โรคต้อชนิดมุมปิด (narrow angle glaucoma)
  • โรคตับ โรคไต หรือ โรคหัวใจ

หญิงตั้งครรภ์กับการใช้ยากลุ่ม SSRIs

ดังที่กล่าวไปแล้วว่าหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยากลุ่ม SSRIs โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากยาจะส่งผลถึงทารกในครรภ์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีการยกเว้นในบางกรณีหากผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าแล้วแต่วิจารณญาณของแพทย์

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ในหญิงตั้งครรภ์ที่ใช้ยากลุ่ม SSRIs มีดังนี้

  • แท้งบุตร
  • ทารกในครรภ์อาจมีปัญหาโรคหัวใจ
  • เด็กทารกที่เกิดมาอาจมีปัญหาเรื่องการหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต

แต่อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์หากมีภาวะซึมเศร้าควรปรึกษาแพทย์ถึงการใช้ยากลุ่ม SSRIs เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และโทษที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับวิจารณญาณของแพทย์ โดยยา SSRIs ที่อาจใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์คือ ฟลูออกซีทิน (fluoxetine), ซิตาโลแพรม (citalopram) และ เซอทราลีน (sertraline) เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ

หญิงให้นมบุตรกับการใช้ยากลุ่ม SSRIs

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นในข้อควรระวัง ยากลุ่ม SSRIs นั้นไม่แนะนำให้ใช้ในสตรีให้นมบุตร เนื่องจากตัวยาสามารถส่งผ่านไปในน้ำนมได้ แต่อย่างไรก็ตามยากลุ่ม SSRIs อาจใช้ได้เมื่อคำนึงถึงผลดีและผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยอย่างดีแล้วพบผลดีมากกว่า โดยตัวยาที่อาจใช้ได้ในหญิงให้นมบุตรคือ เซอทราลีน (Sertraline) และ พารอกซีติน (paroxetine)

เด็กและวัยรุ่นกับการใช้ยากลุ่ม SSRIs

ในเด็กหรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม SSRIs เนื่องจากมีหลักฐานพบว่าอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการทำร้ายตนเองและเพิ่มความคิดฆ่าตัวตายได้ และทั้งยังอาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยากลุ่ม SSRIs จะใช้ได้กับเด็กเมื่อพิจารณาถึงประโยชน์แล้วและต้องใช้ร่วมกับการพูดคุยกับเด็กและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย ภายใต้ความควบคุมอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมากยาที่นิยมใช้เป็นตัวเลือกแรกคือ ฟลูออกซีทีน (fluoxetine)

การขับขี่และใช้เครื่องจักรขณะใช้ยากลุ่ม SSRIs

ยากลุ่ม SSRIs สามารถก่อให้เกิดอาการข้างเคียงคือวิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยเพิ่งเริ่มใช้ยา ดังนั้นหากผู้ป่วยมีอาการข้างต้นหลังจากใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร

ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นหากใช้ยากลุ่ม SSRIs ร่วมกับยาชนิดอื่น

หากใช้ยา SSRIs ร่วมกับยาบางชนิด อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ซีโรโทนินซินโดรม (serotonin syndrome) ได้ ยางบางชนิดที่ไม่ควรใช้ร่วมกับยากลุ่ม SSRIs ได้แก่

ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นหากใช้ยากลุ่ม SSRIs ร่วมกับอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิด

ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ขณะที่ใช้ยากลุ่ม SSRIs เนื่องจากจะไปเพิ่มอาการง่วงซึมให้มากขึ้นและอาจทำให้อาการทางโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นได้

ยาฟลูวอกซามีน (Fluvoxamine) หนึ่งในยากลุ่ม SSRIs สามารถเสริมฤทธิ์ของคาเฟอีนได้ ดังนั้นผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนเป็นประจำ อาจจะรู้สึกใจสั่น กระวนกระวาย และนอนไม่หลับ มากกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือ โคคาโคล่า เป็นต้น

เซนต์จอห์นเวิร์ต (St John's Wort) คือพืชสมุนไพรที่ช่วยรักษาอาการซึมเศร้าได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายอาจไม่แนะนำให้ใช้เนื่องจากยังมีประสิทธิภาพที่ยังไม่แน่นอน การใช้สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St John's Wort)  ร่วมกับยากลุ่ม SSRIs อาจทำให้เกิดผลเสียตามมาได้

ขนาดการใช้ยากลุ่ม SSRIs

แพทย์จะให้เริ่มใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดก่อนที่จะสามารถรักษาอาการของผู้ป่วยได้ เนื่องจากยาขนาดต่ำจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่า และค่อยๆเพิ่มขนาดยาขึ้นได้ ยากลุ่ม SSRIs ส่วนมากจะเป็นรูปแบบเม็ด โดยใช้วันละ 1-3 เม็ดต่อวัน โดยยาจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ในการเห็นความเปลี่ยนแปลงของอาการ หรือผู้ใช้รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง และแพทย์จะนัดติดตามผลการรักษาอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยหากมีผลข้างเคียงหรืออาการผิดปกติควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนขนาดหรือเปลี่ยนชนิดยา

การลืมกินยา

การใช้ยากลุ่มนี้ ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืมกินยา เนื่องจากจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล หากผู้ป่วยลืมกินยา ให้กินทันทีที่นึกได้ นอกเสียจากว่านึกได้เวลาที่ใกล้กับมื้อถัดไป ให้ข้ามการกินมื้อนั้นไปและกินมื้อถัดไปแทน โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า 

การหยุดใช้ยากลุ่ม SSRIs

ไม่ควรหยุดกินยาทันทีถึงแม้ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น การหยุดยาทันทีอาจนำไปสู่อาการถอนยาได้ เช่น

  • ปวดท้องรุนแรง
  • อาการคล้ายเป็นหวัด
  • วิตกกังวล
  • วิงเวียนศีรษะ
  • เจ็บปวดเนื้อตัวคล้ายไฟช๊อต
  • ชัก

หากต้องการหยุดยา แพทย์จะแนะนำให้ค่อยๆลดขนาดยาลงในเวลา 2-3 สัปดาห์ และหยุดยาในที่สุด

ผลข้างเคียงของยากลุ่ม SSRIs

ผลข้างเคียงไม่ร้ายแรง ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทนได้เมื่อใช้ไปในระยะหนึ่ง ยากลุ่มนี้ผลข้างเคียงต่ำกว่ายาต้านซึมเศร้ากลุ่มอื่นๆ ถึงแม้ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงผลข้างเคียงบ้างแต่การกินยาอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลานั้นมีความสำคัญต่อผลการรักษามาก แต่หากทนต่อผลข้างเคียงไม่ได้ควรจะปรึกษาแพทย์ ห้ามหยุดยาด้วยตนเอง ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยากลุ่มนี้มีดังนี้

  • ใจสั่น หรือมีความวิตกกังวล
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • วิงเวียนศีรษะ
  • อาหารไม่ย่อย ท้องอืด
  • ท้องเสียหรือท้องผูก
  • น้ำหนักลด ไม่อยากอาหาร
  • ตาพร่ามัว มองไม่ชัด
  • ปากแห้งคอแห้ง
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ
  • นอนไม่หลับ
  • ง่วงซึม
  • ปวดศีรษะ
  • มีความต้องการทางเพศต่ำลง
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

ผลข้างเคียงที่เกิดได้น้อย

  • เลือดออกง่าย มีรอยช้ำง่าย
  • มึนงง สับสน
  • มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว เช่น ตัวสั่น หรือตัวแข็ง
  • หูแว่ว
  • ปัสสาวะขัด

หากมีอาการเหล่านี้ขณะใช้ยากลุ่ม SSRIs ควรปรึกษาแพทย์ทันที

ซีโรโทนิน ซินโดรม (Serotonin syndrome)

ซีโรโทนิน ซินโดรม (Serotonin syndrome) เป็นผลข้างเคียงที่เกิดได้ไม่บ่อยนักและถือเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยอาการจะคล้ายกับผลข้างเคียงทั่วไปของการใช้ยากลุ่ม SSRIs โดยเกิดมาจากการที่สารซีโรโทนินในสมองสูงเกินไป ซึ่งเกิดจากการใช้ยากลุ่ม SSRIs ร่วมกับยาบางชนิดที่เพิ่มระดับซีโรโทนิน เช่น ยาต้านซึมเศร้าตัวอื่น หรือ สมุนไพรเซนต์จอนเวิร์ต (St John’s wort) เป็นต้น

อาการของซีโรโทนิน ซินโดรม มีดังนี้

หากผู้ป่วยมีอาการข้างต้นควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที

อาการของซีโรโทนิน ซินโดรมที่รุนแรง มีดังนี้

หากมีอาการข้างต้นให้พบแพทย์ใกล้บ้านทันที

ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia)

ในผู้สูงอายุที่ใช้ยากลุ่ม SSRIs อาจจะพบภาวะโซเดียมในเลือดต่ำได้มาก โดยภาวะนี้จะนำไปสู่อาการคั่งของของเหลวในร่างกายได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างมาก โดยสาเหตุของภาวะโซเดียมต่ำเกิดจากยา SSRIs ไปยับยั้งผลของฮอร์โมนที่ช่วยรักษาระดับโซเดียมและระดับของเหลวในร่างกายได้ ร่างกายของผู้สูงอายุจะกำจัดของเหลวได้ต่ำลง ดังนั้นผลข้างเคียงจึงก่อให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งอาการของภาวะโซเดียมในเลือดต่ำมีดังนี้

  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • เบื่ออาหาร
  • สับสัน มึนงง
  • เหนื่อยล้า ไม่มีแรง
  • ความสับสนในเวลา สถานที่ และบุคคล เลอะเลือน
  • ใจสั่น
  • ชัก
  • ในรายที่รุนแรงอาจทำให้หยุดหายใจ หรือ โคม่า

โดยภาวะนี้สามารถรักษาได้โดยการให้สารน้ำที่มีโซเดียมอยู่ โดยให้ทางหลอดเลือดดำ 

มีความคิดฆ่าตัวตาย (Suicidal thoughts)

อาการที่ผู้ป่วยมีความคิดอยากฆ่าตัวตายโดยมากจะเกิดในผู้ใช้ยากลุ่ม SSRIs ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี โดยหากมีอาการนี้ให้รีบปรึกษาแพทย์ และทางที่ดีควรมีการพูดคุยกับญาติหรือเพื่อนว่าตนนั้นได้ใช้ยาต้านซึมเศร้าอยู่ และบอกถึงรายละเอียดของยา และผลข้างเคียง และขอให้บุคคลเหล่านั้นช่วยสังเกตและบอกหากผู้ป่วยมีอาการที่แย่ลง หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
nhs.uk, Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) (https://www.nhs.uk/conditions/ssri-antidepressants/)
ncbi.nlm.nih.gov, Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK66628/)
drugs.com, Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) (https://www.drugs.com/drug-class/ssri-antidepressants.html), Apr 27, 2018.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
วิธีหาอุปกรณ์คลุมศีรษะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายระหว่างการทำเคมีบำบัด
วิธีหาอุปกรณ์คลุมศีรษะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายระหว่างการทำเคมีบำบัด

วิกผม หมวกมีปีก หมวกไหมพรม และผ้าพันคอที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

อ่านเพิ่ม
ฉันสามารถทำ CPR ได้หรือไม่หากฉันยังไม่ได้รับประกาศนียบัตรผ่านการอบรม
ฉันสามารถทำ CPR ได้หรือไม่หากฉันยังไม่ได้รับประกาศนียบัตรผ่านการอบรม

มันไม่เหมือนการขับรถหรอกนะ : คุณไม่จำเป็นต้องได้รับใบรับรองหรอก

อ่านเพิ่ม