ท้องอืดเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยมักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม หรืออาจเป็นเพราะระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้น การรับรู้ถึงสาเหตุ วิธีบรรเทา และวิธีป้องกันท้องอืดนั้นจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณรับมือกับอาการดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ความหมายของอาการท้องอืด
อาการท้องอืด (Bloated stomach) คือ ภาวะที่ระบบย่อยอาหารมีลมหรือแก๊สเยอะเกินไปจนทำให้รู้สึกแน่นท้อง โดยอาการจะแสดงออกบริเวณกลางท้องส่วนบน ซึ่งอยู่ระหว่างใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือ
ทั้งนี้ หากคุณมีอาการท้องอืดต่อเนื่องนานๆ โดยไม่มีสาเหตุ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของอาการ
สาเหตุของโรคท้องอืด
สาเหตุของโรคท้องอืดที่พบบ่อย มี 3 สาเหตุ ดังนี้
1. แก๊สและอากาศ
หลายๆ พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ สูบบุหรี่ หัวเราะ หรือพูดคุย จะมีการกลืนอากาศเข้าไปด้วย ซึ่งร่างกายจะขับออกด้วยการเรอ หรือการผายลม
แต่หากคุณกลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ ก็จะทำให้ลมเข้าท้องจำนวนมาก และอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและมีอาการสะอึกร่วมด้วย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
2. สาเหตุทางการแพทย์
- โรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร และลำไส้อุดตัน
- ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
- ผู้ป่วยมีลำไส้ที่ไวต่อการกระตุ้น แม้ว่าลม หรือแก๊สในลำไส้จะมีไม่มาก
- ยา เช่น ยาแก้ปวดหรือลดอักเสบ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง
3. ปัจจัยอื่นๆ
- แบคทีเรียในกระเพาะอาหารเจริญเติบโตมากเกินไป
- ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในภาวะก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิง
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น เหล้า เบียร์
- การสูบบุหรี่
- การรับประทานอาหารที่ย่อยยาก มีเส้นใยมาก หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของนม
- การรับประทานอาหารรสจัด
- ภูมิแพ้อาหาร
อาการของโรคท้องอืด
ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง จุกเสียด รู้สึกตึงๆ ท้อง ท้องอืดคล้ายมีลม หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหาร เมื่อเรอออกมาจะส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว และบางช่วงจะมีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกเหนือลิ้นปี่ บางราย เมื่อรับประทานอาหารแล้วอาจรู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
วิธีรักษาโรคท้องอืดด้วยตัวเอง
- เคลื่อนไหวร่างกายเมื่อมีอาการจุกเสียด เมื่อคุณรู้สึกจุกเสียดในท้อง แนะนำให้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยอาจเลือกวิธีเดินช้าๆ เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะอาหาร และลำไส้ทำงานและขับลมออกมา
- ดื่มน้ำอุ่น กรณีที่ผู้ป่วยท้องอืดเพราะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยเจือจางกรดและบรรเทาอาการท้องอืดได้ นอกจากนี้ น้ำอุ่นยังช่วยคลายอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อช่วงท้อง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้น
- ดื่มน้ำสมุนไพร โดยน้ำสมุนไพรที่สามารถบรรเทาอาการได้ ได้แก่ น้ำขิง เพราะขิงมีฤทธิ์ร้อน เมื่อดื่มแล้วจะช่วยขับลม และช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้อาการท้องอืดบรรเทาลงได้ หรือเลือกดื่มน้ำตะไคร้ ชาคาโมมายล์ (Chamomile tea) ชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Tea) ก็ได้
12 วิธีป้องกันอาการท้องอืด
1. หลีกเลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหาร
หากไม่อยากให้เกิดอาการแน่นท้อง คุณควรหลีกเหลี่ยงพฤติกรรมการนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที เพราะจะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นได้ง่าย เป็นผลทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และท้องอืดได้
2. รับประทานทานอาหารมื้อเย็นให้เร็วขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
หลายคนอาจคิดว่ามื้อเย็นจะรับประทานดึกแค่ไหนก็ได้ ซึ่งความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดีในการรับประทานอาหารมื้อเย็น ควรอยู่ในช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดการเกิดอาการกรดไหลย้อน แต่หากคุณยังเกิดอาการท้องอืดอยู่ ลองขยับเวลาอาหารมื้อสุดท้ายให้เร็วขึ้นอีกราว 1-2 ชั่วโมง
3. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งปริมาณมาก
หมากฝรั่งมักมีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม เช่น ไซลิทอล (Xylitol) และซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้จะดึงน้ำเข้ามาในลำไส้ และทำให้เกิดแก็สได้โดยแบคทีเรีย จึงทำให้มีอาการท้องอืดขึ้น
4. หมั่นเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหาร
การเดินเล่นประมาณ 5-10 นาทีหลังจากรับประทานอาหารแต่ละมื้อ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการท้องอืดได้ เพราะวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5. รักษามาตรฐานของน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน มกมีความดันในช่องท้องมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งความดันในช่องท้องนี้จะทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน แน่นท้อง จุกเสียดได้
6. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับ
การสวมใส่เสื้อผ้าที่คับเกินไปจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดได้ง่าย โดยเฉพาะการสวมใส่กางเกง หรือกระโปรงที่รัดเข็มขัดแน่นจนเกินไป จะเป็นการเพิ่มความดันภายในช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน
7. งดเครื่องดื่มบางชนิดและบุหรี่
การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แอลกอฮอล์ โซดา น้ำอัดลม จะทำให้เกิดกรดในกระเพาะมากขึ้น และจะทำให้รู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ อีกยังทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหารมากขึ้นด้วย
8. ควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารให้เหมาะสม
การรับประทานอาหารปริมาณมาก จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ดังนั้น คุณควรควบควบคุมปริมาณการรับประทานให้เหมาะสม และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้งเพื่อป้องกันอาการท้องอืดได้
9. หลีกเลี่ยงการรับประทานผักดิบ
เราต่างรู้กันดีว่าพืชผักใบเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผักบางชนิด เช่น กะหล่ำปลี บรอกโคลี กะหล่ำดอก ก็สามารถทำให้ท้องอืดได้เช่นกัน
ผักตระกูลนี้มี “สารแรฟฟิโนส” (Raffinose) ซึ่งเป็นสารน้ำตาลที่ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ จึงทำให้สารดังกล่าวเมื่อถูกลำเลียงต่อไปยังลำไส้ใหญ่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรียภายในลำไส้แล้ว ระหว่างนั้นกากอาหารจากผักตระกูลนี้ก็จะเกิดการหมักหมมเป็นแก๊ส และทำให้มีอาการท้องอืดตามมา
10. หลีกเลี่ยงการรับประทานนม
โดยปกติคนแถบเอเชียมักไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยนมได้ หรือถ้ามีก็มีในปริมาณน้อย บ่อยครั้งที่ท้องเสียหรืออาหารไม่ย่อย หากคุณสังเกตว่าตนเองมีอาการท้องอืดเป็นประจำหลังจากรับประทานอาหารประเภทนี้ คุณควรงด หรือบริโภคนมทีละน้อย เพื่อให้ทางเดินอาหารค่อยๆ ปรับตัว
11. หลีกเลี่ยงความเครียด
ความเครียดมักจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดมากกว่าปกติ และทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เช่น ดูดซึมอาหารได้น้อยลง ปริมาณเลือดและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงกระเพาะต่ำลง จึงทำให้เกิดอาการท้องอืด
12. ระมัดระวังการเลือกซื้อยาแก้ท้องอืด
โดยปกติยาแก้อาการท้องอืดสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป แต่ยาบางชนิดก็อาจส่งผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็วกว่าปกติ จุกเสียดบริเวณเหนือลิ้นปี่ ซึ่งหากคุณเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ควรรีบเข้ารับการตรวจจากแพทย์ให้เร็วที่สุด
ยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืด
ยาที่ใช้ในการรักษาอาการท้องอืดมีหลายชนิด เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว และยาลดกรดในกระเพาะ โดยยาแต่ละตัวจะออกฤทธิ์แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
- ยาขับลม ทำหน้าที่ขับลมในกระเพาะและลำไส้ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (Peppermint oil)และ ไซเมทิโคน (Simethicone)
- ยาช่วยย่อย เป็นยาที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ช่วยย่อย ได้แก่ อะไมเลส (Amylase)
- ยาลดกรด เป็นยาที่ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในกระเพาะอาหาร ให้มีความเป็นกลางมากขึ้น ได้แก่ อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminum Hydroxide) โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) และ แมกนีเซียม ไฮดอกไซต์ (Magnesium Hydroxide)
- ยาลดอาการปวดเกร็งในท้อง ได้แก่ ไฮออสซีน บิวทิลโบรไมด์ (Hyoscine-N-Butylbromide)
เนื่องจากยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืดมีหลายชนิด การเลือกใช้จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหากคุณรับประทานยาที่ซื้อมาในเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียดกว่าแทน
อาการท้องอืดมักเกิดจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมเป็นหลัก หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ ไม่รับประทานอาหารรสจัด เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ หลีกเลี่ยงความเครียด และพักผ่อนเพียงพอ ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
แต่หากมีอาการท้องอืดเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยอาจเกิดจากลำไส้ไวต่อสิ่งกระตุ้น หรือภูมิแพ้อาหารแฝงก็ได้
ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android