กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

ท้องอืดคืออะไร สาเหตุและวิธีรักษาโรคท้องอืดด้วยตัวเอง

อาการไม่สบายท้องที่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ เพียงแค่รู้สาเหตุที่แน่ชัด
เผยแพร่ครั้งแรก 29 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 2023 ตรวจสอบความถูกต้อง 11 ก.พ. 2019 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
ท้องอืดคืออะไร สาเหตุและวิธีรักษาโรคท้องอืดด้วยตัวเอง

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • อาการท้องอืด คือภาวะที่ระบบย่อยอาหารมีลม หรือแก๊สเยอะเกินไป ทำให้รู้สึกแน่นท้อง หากมีอาการติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ
  • สาเหตุของโรคท้องอืดมักเกิดจากพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือรับประทานอาหารรสจัดเป็นประจำ
  • การเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำสมุนไพร เช่น น้ำขิง น้ำตะไคร้ หรือชาคาโมมายล์ จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้
  • วิธีป้องกันอาการท้องอืด เช่น หลีกเลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหาร รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่รับประทานอาหารปริมาณมากเกินไป หรืองดสูบบุหรี่
  • หากเกิดอาการท้องอืดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากภูมิแพ้อาหารแฝงได้ เช่น แพ้โปรตีนในนมวัว 
  • ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงได้ที่นี่

ท้องอืดเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยมักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม หรืออาจเป็นเพราะระบบย่อยอาหารทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ 

ดังนั้น การรับรู้ถึงสาเหตุ วิธีบรรเทา และวิธีป้องกันท้องอืดนั้นจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณรับมือกับอาการดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ความหมายของอาการท้องอืด

อาการท้องอืด (Bloated stomach) คือ ภาวะที่ระบบย่อยอาหารมีลมหรือแก๊สเยอะเกินไปจนทำให้รู้สึกแน่นท้อง โดยอาการจะแสดงออกบริเวณกลางท้องส่วนบน ซึ่งอยู่ระหว่างใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือ 

ทั้งนี้ หากคุณมีอาการท้องอืดต่อเนื่องนานๆ โดยไม่มีสาเหตุ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของอาการ

สาเหตุของโรคท้องอืด

สาเหตุของโรคท้องอืดที่พบบ่อย มี 3 สาเหตุ ดังนี้

1. แก๊สและอากาศ

หลายๆ พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ สูบบุหรี่ หัวเราะ หรือพูดคุย จะมีการกลืนอากาศเข้าไปด้วย ซึ่งร่างกายจะขับออกด้วยการเรอ หรือการผายลม 

แต่หากคุณกลืนอากาศเข้าไปมากกว่าปกติ ก็จะทำให้ลมเข้าท้องจำนวนมาก และอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและมีอาการสะอึกร่วมด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

2. สาเหตุทางการแพทย์

  • โรคในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร พยาธิในทางเดินอาหาร และลำไส้อุดตัน 

  • ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

  • ผู้ป่วยมีลำไส้ที่ไวต่อการกระตุ้น แม้ว่าลม หรือแก๊สในลำไส้จะมีไม่มาก

  • ยา เช่น ยาแก้ปวดหรือลดอักเสบ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะบางอย่าง

3. ปัจจัยอื่นๆ

  • แบคทีเรียในกระเพาะอาหารเจริญเติบโตมากเกินไป

  • ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในภาวะก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิง

  • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เช่น เหล้า เบียร์

  • การสูบบุหรี่

  • การรับประทานอาหารที่ย่อยยาก มีเส้นใยมาก หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของนม

  • การรับประทานอาหารรสจัด

  • ภูมิแพ้อาหาร

อาการของโรคท้องอืด

ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง จุกเสียด รู้สึกตึงๆ ท้อง ท้องอืดคล้ายมีลม หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหาร เมื่อเรอออกมาจะส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว และบางช่วงจะมีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกเหนือลิ้นปี่ บางราย เมื่อรับประทานอาหารแล้วอาจรู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

วิธีรักษาโรคท้องอืดด้วยตัวเอง

  • เคลื่อนไหวร่างกายเมื่อมีอาการจุกเสียด เมื่อคุณรู้สึกจุกเสียดในท้อง แนะนำให้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยอาจเลือกวิธีเดินช้าๆ เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะอาหาร และลำไส้ทำงานและขับลมออกมา

  • ดื่มน้ำอุ่น กรณีที่ผู้ป่วยท้องอืดเพราะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยเจือจางกรดและบรรเทาอาการท้องอืดได้ นอกจากนี้ น้ำอุ่นยังช่วยคลายอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อช่วงท้อง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้น

  • ดื่มน้ำสมุนไพร โดยน้ำสมุนไพรที่สามารถบรรเทาอาการได้ ได้แก่ น้ำขิง เพราะขิงมีฤทธิ์ร้อน เมื่อดื่มแล้วจะช่วยขับลม และช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้อาการท้องอืดบรรเทาลงได้ หรือเลือกดื่มน้ำตะไคร้ ชาคาโมมายล์ (Chamomile tea) ชาเปปเปอร์มินต์ (Peppermint Tea) ก็ได้

12 วิธีป้องกันอาการท้องอืด

1. หลีกเลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหาร

หากไม่อยากให้เกิดอาการแน่นท้อง คุณควรหลีกเหลี่ยงพฤติกรรมการนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที เพราะจะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นได้ง่าย เป็นผลทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และท้องอืดได้

2. รับประทานทานอาหารมื้อเย็นให้เร็วขึ้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

หลายคนอาจคิดว่ามื้อเย็นจะรับประทานดึกแค่ไหนก็ได้ ซึ่งความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดีในการรับประทานอาหารมื้อเย็น ควรอยู่ในช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดการเกิดอาการกรดไหลย้อน แต่หากคุณยังเกิดอาการท้องอืดอยู่ ลองขยับเวลาอาหารมื้อสุดท้ายให้เร็วขึ้นอีกราว 1-2 ชั่วโมง

3. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งปริมาณมาก

หมากฝรั่งมักมีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม เช่น ไซลิทอล (Xylitol) และซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้จะดึงน้ำเข้ามาในลำไส้ และทำให้เกิดแก็สได้โดยแบคทีเรีย จึงทำให้มีอาการท้องอืดขึ้น

4. หมั่นเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหาร

การเดินเล่นประมาณ 5-10 นาทีหลังจากรับประทานอาหารแต่ละมื้อ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการท้องอืดได้ เพราะวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

5. รักษามาตรฐานของน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์

ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน มกมีความดันในช่องท้องมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งความดันในช่องท้องนี้จะทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน แน่นท้อง จุกเสียดได้

6. หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับ

การสวมใส่เสื้อผ้าที่คับเกินไปจะส่งผลให้เกิดอาการท้องอืดได้ง่าย โดยเฉพาะการสวมใส่กางเกง หรือกระโปรงที่รัดเข็มขัดแน่นจนเกินไป จะเป็นการเพิ่มความดันภายในช่องท้อง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน

7. งดเครื่องดื่มบางชนิดและบุหรี่

การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แอลกอฮอล์ โซดา น้ำอัดลม จะทำให้เกิดกรดในกระเพาะมากขึ้น และจะทำให้รู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ อีกยังทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหารมากขึ้นด้วย

8. ควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารให้เหมาะสม

การรับประทานอาหารปริมาณมาก จะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ดังนั้น คุณควรควบควบคุมปริมาณการรับประทานให้เหมาะสม และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้งเพื่อป้องกันอาการท้องอืดได้

9. หลีกเลี่ยงการรับประทานผักดิบ

เราต่างรู้กันดีว่าพืชผักใบเขียวมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผักบางชนิด เช่น กะหล่ำปลี บรอกโคลี กะหล่ำดอก ก็สามารถทำให้ท้องอืดได้เช่นกัน 

ผักตระกูลนี้มี “สารแรฟฟิโนส” (Raffinose) ซึ่งเป็นสารน้ำตาลที่ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้ จึงทำให้สารดังกล่าวเมื่อถูกลำเลียงต่อไปยังลำไส้ใหญ่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรียภายในลำไส้แล้ว ระหว่างนั้นกากอาหารจากผักตระกูลนี้ก็จะเกิดการหมักหมมเป็นแก๊ส และทำให้มีอาการท้องอืดตามมา

10. หลีกเลี่ยงการรับประทานนม

โดยปกติคนแถบเอเชียมักไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยนมได้ หรือถ้ามีก็มีในปริมาณน้อย บ่อยครั้งที่ท้องเสียหรืออาหารไม่ย่อย หากคุณสังเกตว่าตนเองมีอาการท้องอืดเป็นประจำหลังจากรับประทานอาหารประเภทนี้ คุณควรงด หรือบริโภคนมทีละน้อย เพื่อให้ทางเดินอาหารค่อยๆ ปรับตัว

11. หลีกเลี่ยงความเครียด

ความเครียดมักจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดมากกว่าปกติ และทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เช่น ดูดซึมอาหารได้น้อยลง ปริมาณเลือดและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงกระเพาะต่ำลง จึงทำให้เกิดอาการท้องอืด

12. ระมัดระวังการเลือกซื้อยาแก้ท้องอืด

โดยปกติยาแก้อาการท้องอืดสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป แต่ยาบางชนิดก็อาจส่งผลข้างเคียง เช่น ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็วกว่าปกติ จุกเสียดบริเวณเหนือลิ้นปี่ ซึ่งหากคุณเกิดผลข้างเคียงดังกล่าว ควรรีบเข้ารับการตรวจจากแพทย์ให้เร็วที่สุด

ยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืด

ยาที่ใช้ในการรักษาอาการท้องอืดมีหลายชนิด เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว และยาลดกรดในกระเพาะ โดยยาแต่ละตัวจะออกฤทธิ์แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

  • ยาขับลม ทำหน้าที่ขับลมในกระเพาะและลำไส้ ได้แก่ น้ำมันหอมระเหย (Peppermint oil)และ ไซเมทิโคน (Simethicone)

  • ยาช่วยย่อย เป็นยาที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ช่วยย่อย ได้แก่ อะไมเลส (Amylase)

  • ยาลดกรด เป็นยาที่ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดภายในกระเพาะอาหาร ให้มีความเป็นกลางมากขึ้น ได้แก่ อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminum Hydroxide) โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) และ แมกนีเซียม ไฮดอกไซต์ (Magnesium Hydroxide)

  • ยาลดอาการปวดเกร็งในท้อง ได้แก่ ไฮออสซีน บิวทิลโบรไมด์ (Hyoscine-N-Butylbromide)

เนื่องจากยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืดมีหลายชนิด การเลือกใช้จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหากคุณรับประทานยาที่ซื้อมาในเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียดกว่าแทน

อาการท้องอืดมักเกิดจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมเป็นหลัก หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ ไม่รับประทานอาหารรสจัด เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ หลีกเลี่ยงความเครียด และพักผ่อนเพียงพอ ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้

แต่หากมีอาการท้องอืดเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยอาจเกิดจากลำไส้ไวต่อสิ่งกระตุ้น หรือภูมิแพ้อาหารแฝงก็ได้

ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)