เมื่อพูดถึงคำว่า “ยาฆ่าเชื้อ” โดยทั่วไปแล้วมักจะหมายถึงยาต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือ “ยาปฏิชีวนะ” ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotic drug) โดยตัวยาอาจออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรีย (Bacteriostatic) ทำให้แบคทีเรียอ่อนแรง ไม่สามารถขยายพันธุ์และเจริญเติบโตได้ จนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อออกไปจากร่างกายได้ หรือออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Bactericidal) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้
ยาปฏิชีวนะมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่าเกิดปัญหาการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด เนื่องจากการใช้ยาเกินจำเป็น และใช้อย่างไม่เหมาะสม เช่นนำไปรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้ออย่างอื่นนอกเหนือจากแบคทีเรีย เช่น รา ไวรัส ทำให้ยาที่เคยออกฤทธิ์ดีในการทำลายหรือยับยั้งเชื้อนั้นๆ ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ในบทความนี้จึงจะกล่าวถึงทั้ง ยาปฏิชีวนะ หรือ “ยาฆ่าเชื้อ” ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจ รวมถึงให้รายละเอียดเกี่ยวกับยาฆ่าเชื้อไวรัส และยาฆ่าเชื้อราด้วย
ยาฆ่าเชื้อ มีอะไรบ้าง?
ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotic Drug)
ยาต้านเชื้อแบคทีเรียสามารถแบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรียได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
- ยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Bactericidal)
ยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียยังแบ่งย่อยลงไปได้อีก ตามการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้- การสร้างผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ซึ่งแบคทีเรียเกือบทุกชนิด (ยกเว้นไมโคพลาสมา (Mycoplasma)) จะมีผนังหุ้มรอบเซลล์ เพื่อให้เซลล์แข็งแรงและคงรูปร่างอยู่ได้ ฤทธิ์ของยาจะทำให้เซลล์แตกและตายทันที
กลุ่มนี้เป็นยาที่ออกฤทธิ์กว้าง สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด แต่มักจะมีผลทำลายเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกมากกว่าแกรมลบ เนื่องจากผนังเซลล์ของแบคทีเรียแกรมบวกมีความซับซ้อนน้อยกว่าแกรมลบ ยาจึงเข้าไปในผนังเซลล์แบคทีเรียแกรมบวกได้ง่ายกว่า
ยากลุ่มนี้มีความปลอดภัยต่อคนมากที่สุด เพราะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของคน เนื่องจากเซลล์ของคนไม่มีผนังเซลล์
ตัวอย่างยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่- กลุ่มยาเพนนิซิลลิน (Penicillins) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งตามโครงสร้างว่า กลุ่มเบต้าแลคแตม (β-lactam) ได้แก่
- แอมพิซิลลิน (Ampicillin) เช่น Unasyn®, Amicilin®, Ampac®, Ampi Frx®, Ampicin®, Ampillin®, Ampihof® ยาแอมพิซิลลิน สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด การติดเชื้อที่หัวใจ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ รวมถึงโรคติดเชื้อที่ทางเดินอาหารอีกด้วย
- อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) เช่น Amoxil® ยานี้ดูดซึมทางลำไส้ได้ดีกว่า และใช้ในขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของยาแอมพิซิลลิน รวมทั้งรับประทานยาหลังอาหารได้ ในปัจจุบันจึงนิยมใช้ยานี้แทนยาแอมพิซิลลิน
อะม็อกซีซิลลินเป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อย่างกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมบวก (Gram-positive bacteria) ที่มักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อของอวัยวะที่อยู่นอกช่องท้อง (เช่น ทางเดินหายใจ ตา หู และผิวหนัง) และเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (Gram-negative bacteria) ที่มักเป็นสาเหตุของการติดเชื้อของอวัยวะที่อยู่ในช่องท้อง (เช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ และอวัยวะสืบพันธุ์)
อะม็อกซีซิลลินเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และมักมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ยามากพอสมควร เช่น หลายครั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดมักจะถามหายาอะม็อกซีซิลลินเพื่อรับประทานแก้เจ็บคอ ทั้งที่ความจริงโรคไข้หวัดนั้นเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส - อะม็อกซีซิลลินและคลาวาลูนิก แอซิด (Amoxicillin+Clavalunic acid) เช่น Augmentin®, AMK®, Cavumox®, Fleming®, Amoksiklav® ในทางคลินิก หากใช้ยาคลาวาลูนิก แอซิด เป็นยาเดี่ยว จะไม่สามารถแสดงฤทธิ์ยาปฏิชีวนะได้เต็มที่ จึงต้องใช้ยาคลาวูลาเนทร่วมกับกลุ่มยาเพนิซิลลิน ทำให้ช่วยต่อต้านแบคทีเรียที่เคยดื้อต่อยากลุ่มเพนิซิลลินได้เป็นอย่างดี
- ไดคล็อกซาซิลลิน (Dicloxacillin) ยานี้สามารถใช้รักษาการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้หลายรูปแบบ ที่เกิดจากการติดเชื้อสตาฟิโลคอกคัส (Staphylococcus) เช่น ผิวหนังอักเสบติดเชื้อที่มีตุ่มหนอง เป็นต้น
- กลุ่มเซฟาโลสปอริน (Cephalosporins) มีลักษณะโครงสร้างเป็นกลุ่มเบต้าแลคแตม (β-lactam) สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 4 รุ่น (Generations) ตามประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและลบ ได้แก่
- เซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 1 ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวกได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบคทีเรียที่สร้างเอนไซม์เพนิซิลิลเนส แบคทีเรีย staphylococci และ streptococci ชนิดที่ไม่ดื้อต่อยาเมททิซิลิน และยังออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมลบได้บางชนิด เช่น Proteus mirabilis, Escherichia coli บางชนิด และ Klebsiella pneumoniae แต่ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Bacteroides fragilis, Pseudomonas, Acinetobacter, Enterobacter ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น Cefalexin (cephalexin; Keflex®), Cefazolin (Ancef®, Kefzol®), Cefadroxil (Duricef®), Cefapirin (cephapirin; Cefadryl®) เป็นต้น
- เซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 2 ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวกได้น้อยลง แต่ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมลบได้มากขึ้นกว่ารุ่นที่ 1 เช่น Haemophilus influenzae, Enterobacter aerogenes และ Neisseria บางชนิด ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น Cefaclor (Ceclor®, Distaclor®, Keflor®, Raniclor®), Cefuroxime (Zefu®, Zinnat®, Zinacef®, Ceftin®), Cefoxitin, Cefoxitin (Mefoxin®) เป็นต้น
- เซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 3 ยาส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวกได้น้อยลงกว่ารุ่นที่ 1 และ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤทธิ์ต่อเชื้อแบคทีเรีย staphylococci และ streptococci แต่ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมลบได้มากขึ้นกว่ารุ่นที่ 1 และ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล และยายังสามารถเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางเพื่อรักษาอาการติดเชื้อในบริเวณนั้นได้ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ที่มีเชื้อมาจาก pneumococci, meningococci, H. influenzae และ E. coli ชนิดที่ไม่ดื้อยา, Klebsiella และ N. gonorrhoeae ชนิดที่ดื้อต่อยาเพนิซิลลิน ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น Ceftriaxone (Rocephin®) ใช้เป็นยาหลักในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคหนองใน (gonorrhea), Cefdinir (Omnicef®, Zinir®, Kefnir®), Cefixime (Fixx®, Zifi®, Suprax®), Cefodizime, Cefotaxime (Claforan®), และ Cefoperazone (Cefobid®) เป็นต้น
- เซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 4 ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวกได้เช่นเดียวกับเซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 1 โดยเซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 4 มีข้อดีที่ตัวมันมีทั้งประจุบวกและลบ จึงสามารถเข้าสู่เชื้อแกรมลบได้ดีมากขึ้น สามารถต้านต่อเอนไซม์เบต้าเล็คตาเมสของเชื้อที่สร้างขึ้นมาทำลายตัวยาได้ดีกว่าเซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 3 นอกจากนี้ ตัวยาสามารเข้าสู่เส้นเลือดในสมองเพื่อรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) ได้ดี ซึ่งยาทั่วไปไม่สามารถซึมผ่านได้ง่าย และยังออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ Pseudomonas aeruginosa ชื่อยาในรุ่นนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก เนื่องจากแพทย์มักใช้เฉพาะกรณีที่มีการติดเชื้อจำเพาะบางชนิดในโรงพยาบาล ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น Cefclidine, Cefepime (Maxipime), Cefluprenam, Cefozopran, Cefpirome (Cefrom), Cefquinome เป็นต้น
- เซฟาโลสปอริน รุ่นที่ 5 ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น Ceftobiprole ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่ม pseudomonal, Ceftaroline ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย Staphylococcus aureus ที่ดื้อต่อยาเมททิซิลิน (MRSA) และ Ceftolozane ออกฤทธิ์รักษาอาการติดเชื้อในช่องท้องและกระเพาะปัสสาวะที่ซับซ้อนและรักษาได้ยาก Ceftolozane มักใช้ร่วมกับยา Tazobactam ซึ่งเป็นตัวยับยั้งเอนไซม์เบต้าแลคตาเมสจึงช่วยให้ยาออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้กว้างขึ้น
- กลุ่มยาอื่นๆ เช่น บาซิทราซิน (Bacitracin) และแวนโคมัยซิน (Vancomycin) เป็นต้น
- กลุ่มยาเพนนิซิลลิน (Penicillins) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งตามโครงสร้างว่า กลุ่มเบต้าแลคแตม (β-lactam) ได้แก่
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์รบกวนเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย
ยาปฏิชีวนะบางชนิดมีผลเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้การแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ที่อยู่ในเซลล์และอยู่นอกเซลล์ของแบคทีเรียผิดปกติ เชื้อแบคทีเรียจึงตายในที่สุด ยาที่ออกฤทธิ์ผ่านกลไกนี้จัดว่าเป็นพิษต่อเซลล์ของคนมากกว่ายาในกลุ่มอื่น เนื่องจากเซลล์ของคนก็มีเยื่อหุ้มเซลล์เช่นกัน ยาจึงมีผลต่อการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ของคนด้วย แต่ไม่มีผลมากเท่าเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย
ตัวอย่างยาที่ออกฤทธิ์รบกวนเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ โพลิมิกซิน บี (Polymyxin B) โคลิสติน (Colistin) หรือ โพลิมิกซิน อี (Polymyxin E) แอมโฟเทอริซิน บี (Amphotericin B) กรามิซิดิน (Gramicidin) เป็นต้น
- การสร้างผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย
- ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรีย (Bacteriostatic)
ยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรียสามารถแบ่งย่อยออกตามการออกฤทธิ์ ดังนี้- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ทำให้การสร้างโปรตีนของเชื้อแบคทีเรียผิดปกติ
ยาฆ่าเชื้อมีกลไกทำให้แบคทีเรียไม่สามารถสร้างโปรตีนได้ จึงมีผลให้แบคทีเรียหยุดการเจริญเติบโตและหยุดการแบ่งตัว แต่เชื้อแบคทีเรียจะยังไม่ตายในทันที ถ้าผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง ก็จะสามารถกำจัดเชื้อออกไปจากร่างกายได้เอง หรืออาจต้องใช้ยาต่อเนื่องระยะหนึ่งจึงจะสามารถกำจัดเชื้อได้ ยายับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อย ตามตำแหน่งที่ยาไปมีผลต่อการทำงานของไรโบโซม ดังนี้- ออกฤทธิ์ที่ไรโบโซมส่วนที่เป็น 30s ได้แก่ กลุ่มยาเตตร้าซัยคลิน (Tetracyline) เช่น Tetracyline, Oxytetracycline, Chlortetracycline, Doxycycline และ Minocycline เป็นต้น
- ออกฤทธิ์ที่ไรโบโซมส่วนที่เป็น 50s ได้แก่
- กลุ่มคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) เช่น Chloramphenicol และ Thiamphenicol
- กลุ่มมาโครไลด์ (Macrolide) เช่น Roxithromycin, Erythromycin, Clarithromycin, และ Azithromycin
- ยาอื่นๆ ได้แก่ คลินดามัยซิน (Clindamycin) และลินโคมัยซิน (Lincomycin)
- การสร้างกรดนิวคลิอิก (Nucleic acid)
กรดนิวคลิอิกเป็นส่วนประกอบของสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของแบคทีเรีย เมื่อแบคทีเรียไม่สามารถสร้างดีเอ็นเอได้ จึงไม่สามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวได้ กลไกแบบนี้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่- กลุ่มยาฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolone) เช่น Norfloxacin, Ofloxacin, Ciprofloxacin, Levofloxacin, Moxifloxacin และ Pefloxacin เป็นต้น
- ยาชนิดอื่นๆ เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) และไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์
กระบวนการเมตาบิลึซึม คือกระบวนการสร้างและสลายสารต่างๆ ในเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนที่เกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้ากระบวนการเหล่านี้ถูกขัดขวาง จะมีผลทำให้แบคทีเรียหยุดการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ ตัวอย่างยา ได้แก่- ยากลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide) เช่น Sulfamethoxazole, Sulfadiazine, Sulfadimethoxine และ Cotrimoxazole (สูตรผสมระหว่าง Sulfamethoxazole และ Trimethoprim) เป็นต้น
- ยาอื่นๆ เช่น ไตรเมโธพริม (Trimethoprim) และไอโสนัยอะซิด (Isonizaid) ซึ่งนิยมใช้เป็นยารักษาวัณโรค
- กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ทำให้การสร้างโปรตีนของเชื้อแบคทีเรียผิดปกติ
แม้คนทั่วไปจะรู้จักคำว่า “ยาฆ่าเชื้อ” ในความหมายของยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ดังที่ได้อธิบายรายละเอียดไปข้างต้น แต่ความจริงแล้ว “เชื้อ” ชนิดอื่นนอกเหนือจากแบคทีเรียก็ยังมีอีก เช่น ไวรัส รา ทั้งสองต้องใช้ยาต้านโดยเฉพาะ จึงจะกำจัดหรือยับยั้งเชื้อได้ผล
ยาต้านเชื้อไวรัส (Antiviral drugs)
เป็นยาที่ใช้รักษาอาการต่างๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาต้านไวรัสมีหลายชนิด ออกฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัสชนิดที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ ดังนี้
- ยารักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus (HIV))
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีวิธีรักษาเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ ยาที่ใช้บำบัดรักษาในปัจจุบันจะช่วยควบคุมเชื้อไวรัสไม่ให้เพิ่มจำนวนและลดลง ซึ่งจะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ยาต้านเชื้อเอชไอวีเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แอนตี้เรโทรไวรัล (Antiretrovirals (ARV)) ยาต้านไวรัสไม่สามารถทำลายเชื้อเอชไอวีให้หมดไป แต่จะช่วยชะลอการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกายผู้ป่วย และช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์ของไวรัสมีการแบ่งตัวขยายตัวแล้วแพร่กระจายลุกลามไปสร้างความเสียหายแก่เซลล์เนื้อเยื่ออวัยวะบริเวณอื่นๆ ต่อไปได้ ตัวอย่างยาในกลุ่มยาต้านรีโทรไวรัส ได้แก่- Non-nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) เช่น ยาเอฟฟาไวเรนซ์ (Efavirenz; EFV; Sustiva®) เนวิราปีน (Nevirapine; NVP; Viramune®)
- Nucleotide Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) เช่น ยาอะบาคาเวียร์ (Abacavir; Ziagen®) ยาที่นิยมใช้ร่วมกัน ได้แก่ ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir disoproxil fumarate; TDF; Viread®) กับเอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine; FTC; Emtriva®) และลามิวูดีน (Lamivudine; 3TC; Epivir®) กับซิโดวูดีน (Zidovudine; AZT; Retrovir®)
- Protease Inhibitors (PIs) ยายับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส เช่น ยาอะทาซานาเวียร์ (Atazanavir; ATV; Reyataz®), ริโทรนาเวียร์ (Ritonavir; RTV; Norvir®), โลปินาเวียร์+ริโทรนาเวียร์ (Lopinavir+ritonavir; LPV/r; Kaletra®) และอินดินาเวียร์ (Indinavir;IDV; Crixivan®)
- Entry/Fusion Inhibitors ยายับยั้งไม่ให้ไวรัสรวมตัวหรือเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น เอนฟูเวอไทด์ (Enfuvirtide; ENF; Fuzeon®)
- CCR5 Antagonist เช่น มาราไวรอก (Maraviroc; MVC; Selzentry®)
- Integrase Inhibitors ยายับยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์อินทีเกรส เช่น ราลทีกราเวียร์ (Raltegravir; RAL; Isentress) เอลวิทีกราเวียร์ (Elvitegravir; EVG; Vitekta) โดลูทีกราเวียร์ (Dolutegravir; DTG; Tivicay) เป็นต้น
- ยารักษาอาการติดเชื้อเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ไวรัส (Herpes simplex virus) และเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัส (Varicella-zoster virus)
Herpes simplex virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม อาการของโรคจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส พบได้บ่อยตามริมฝีปากและอวัยวะเพศ หากตุ่มน้ำใสแตกออกจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณนั้นๆ และเชื้อวาริเซลลาซอสเตอร์ไวรัส (Varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด อาการของโรคมีลักษณะเป็นตุ่มแดงเจริญตามแนวเส้นประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้อนบริเวณรอยโรค ยาที่มีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อในกลุ่มดังกล่าว ได้แก่ ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) เพนไซโคลเวียร์ (Penciclovir) ไวดาราบีน (Vidarabine) และไตรฟลูริดีน (Trifluridine) เป็นต้น - ยารักษาอาการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza Virus)
เชื้อ Influenza Virus เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งแต่ละปีเชื้อ Influenza Virus ที่แพร่ระบาดจะเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างกันไป โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จากกระทรวงสาธารณสุข การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ Influenza Virus สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ โดยแนะนำให้ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เด็ก และบุคลากรทางการแพทย์ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันทุกปี เนื่องจากบุคคลกลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง อาการเป็นจะค่อนข้างรุนแรง และรักษาให้หายได้ยาก อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวแล้วสามารถรักษาให้อาการบรรเทาได้โดยใช้ยา เช่น ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) อะแมนทาดีน (Amantadine) ไรแมนทาดีน (Rimantadine) และซานามิเวียร์ (Zanamivir) - ยารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ (Viral hepatitis) และโรคหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminatam, Genital warts)
โรคไวรัสตับอักเสบเป็นโรคที่ตับมีอาการอักเสบและติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี ซึ่งไวรัสตับอักเสบดี และอี พบได้น้อยมากในปัจจุบัน โรคไวรัสตับอักเสบเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกัน สำหรับยาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบและโรคหูดหงอนไก่ เช่น ไรบาไวริน (Ribavirin) เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) อะดีโฟเวียร์ (Adefovir) เอ็นทีคาเวียร์ (Entecavir) ลามิวูดีน (Lamivudine) เทลบิวูดีน (Telbivudine) ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) และอินเตอร์เฟรอน (Interferon (IFN)) เป็นต้น - ยารักษาอาการติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสหรือซีเอ็มวี (Cytomegalovirus (CMV))
เชื้อไซโตเมกะโลไวรัส เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อซีเอมวี เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้วเชื้อจะอาศัยอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต ในคนปกติที่มีสุขภาพแข็งแรงการติดเชื้อมักไม่ทำให้เกิดอาการหรือมีอาการที่ไม่รุนแรง แต่ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องจะทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลายอวัยวะและมีอาการที่รุนแรง สำหรับเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดามีโอกาสที่จะติดเชื้อผ่านทางรกและทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด การรักษาสามารถทำได้เพียงการรักษาประคับประคองตามอาการ และให้ยาต้านไวรัสเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสให้เหลือน้อยที่สุดจนไม่เกิดอาการของโรค ยาที่ใช้ต้านไวรัส ได้แก่ ยาแกนไซโคลเวียร์ (Ganciclovir) วาลแกนไซโคลเวียร์ (Valganciclovir) ไซโดโฟเวียร์ (Cidofovir) ฟอสคาร์เนท (Foscarnet) และโฟมิเวียร์เซน (Fomivirsen) เป็นต้น
คำเตือนและข้อควรระวังในการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างปลอดภัย
- ควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งถึงโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยาในปัจจุบัน และประวัติการแพ้ยา เพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้ยาซ้ำและยาตีกัน เนื่องจากยาปฏิชีวนะบางตัวอาจขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาชนิดอื่นหรือเสริมฤทธิ์ยาชนิดอื่นให้รุนแรงขึ้นได้
- การใช้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่มพร้อมกับยาเม็ดคุมกำเนิดอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงได้
- การใช้ยาปฏิชีวนะอาจมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับยาชนิดอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่จะเกิดอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเสีย ปวดท้อง เบื่ออาหาร วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น
- หากใช้ยาและมีอาการหายใจไม่สะดวก ลำคอตีบตัน ผื่นขึ้นตามตัว เนื้อเยื่ออ่อนต่างๆ บวม เช่น บริเวณตาและปาก ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันที เนื่องจากผู้ใช้อาจเกิดอาการแพ้ยาปฏิชีวนะชนิดนั้น ๆ
- ผู้ที่มีภาวะโรคตับและไต ควรระมัดระวังการใช้ยาฆ่าเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยาอาจทำให้โรคตับและไตที่เป็นอยู่ทรุดหนักลง
- ไม่ควรซื้อยาต้านจุลชีพหรือยาฆ่าเชื้อใช้เอง เนื่องจากเชื้อจุลชีพมีหลายชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จึงจำเป็นต้องให้แพทย์วินิจฉัยโรคก่อนจ่ายยาทุกครั้งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการรักษาสูงสุด ซึ่งยาจะต้องออกฤทธิ์จำเพาะต่อเชื้อนั้นๆ และป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจนกลายเป็นปัญหาใหญ่
- ควรรับประทานยาที่แพทย์หรือเภสัชกรจ่ายจนครบจำนวนแม้ว่าอาการจะเริ่มดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อให้ได้ผลในการรักษาและป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา การทานยาปฏิชีวนะให้หมดและครบตามกำหนดเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเพื่อที่จะได้กำจัดเชื้อไปให้หมดสิ้นจากร่างกาย หากคุณทานยาไม่ครบจำนวน หรือลืมทานบ่อยๆ การติดเชื้อนั้นก็อาจจะคงเหลืออยู่และทำให้อาการต่าง ๆ ที่เริ่มดีขึ้นกลับมาเป็นใหม่ได้อีกครั้ง และหากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นใหม่ การรักษาก็จะยากและลำบากมากขึ้นเนื่องจากเชื้อจะมีอาการดื้อยานั้นๆ แล้วนั่นเอง
- เนื่องจากการแพ้ยาในกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillins) และยาซัลฟา (ซัลโฟนาไมด์; Sulfonamide) สามารถพบได้บ่อย ผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มดังกล่าวจึงควรระมัดระวังเวลาใช้ยาต้านจุลชีพ เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยาดังกล่าวมักจะแพ้ยาทุกตัวในกลุ่ม ไม่ใช่แค่แพ้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่ม
- ห้ามใช้ยาไซโดโฟเวียร์ (Cidofovir) ในผู้ป่วยที่แพ้ยาโพรเบเนซิด (Probenecid) หรือยาอื่นๆ ที่มีส่วนประกอบของยาซัลฟา
- การใช้ยาปฏิชีวนะบางประเภท เช่น Amoxycillin, Augmentin® (amoxicillin+clavulanate) และ Clindamycin อาจทำให้เกิดท้องเสียได้ เนื่องจากยาปฏิชีวนะจะทำลายแบคทีเรียที่เป็นจุลชีพเฉพาะถิ่นในลำไส้ จนอาจก่อให้เกิดภาวะเสียสมดุลของจุลชีพในลำไส้ อาการถ่ายเหลวที่เกิดขึ้นอาจเป็นแค่อาการเพียงเล็กน้อย และจะหายไปหลังจากหยุดยาปฏิชีวนะไม่นาน แต่ก็มีบางครั้งที่ยาปฏิชีวนะทำลายเชื้อแบคทีเรียไปมาก จนกระทั่งทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์ที่ก่อโรคบางชนิดแบ่งตัวแพร่กระจายโดยร่างกายไม่สามารถควบคุมได้และเกิดอาการข้างเคียงรุนแรงได้ หากเกิดอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์
- ยากลุ่ม Fluoroquinolones และ Tetracyclines จะไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ถ้ารับประทานพร้อมกับแคลเซียม ยาลดกรด นม หรืออาหาร/ยาที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากยาจะไปจับกับสารต่างๆ ข้างต้นและไม่ออกฤทธิ์ หากต้องการรับประทานให้ทานยาปฏิชีวนะก่อนหรือหลังที่จะรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- ยาปฏิชีวนะที่สามารถนำมาใช้กับหญิงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ ยากลุ่มเพนิซิลลิน กลุ่มเซฟาโลสปอริน และยาอิริโธรมัยซิน อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีและผลเสียของยาก่อนใช้ยาเสมอ
- รับประทานยาตามฉลากยาหรือคำแนะนำของแพทย์ให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ เช่น ยาบางชนิดควรรับประทานตอนท้องว่าง หรือไม่ควรรับประทานยาหากดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้ไม่เต็มที่
- ห้ามใช้ยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon; IFN) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบที่เกิดจากโรคออโตอิมูน (Auto-immune hepatitis) ผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้าย ผู้ป่วยที่ระดับเม็ดเลือดขาวและระดับเกล็ดเลือดต่ำ ผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักร และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากยานี้อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้ เช่น ปวดหัว มึนงง ง่วงซึม รวมถึงมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น ทำให้ซึมเศร้า สับสน โรคจิต ชัก เป็นต้น
- ไม่ควรใช้ยาแกนไซโคลเวียร์และยาวาลแกนไซโคลเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์เพราะยาทั้งสองชนิดเป็นพิษต่อทารกในครรภ์ (Teratogenicity)
- ไม่ควรใช้ยาอะแมนทาดีน (Amantadine) โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และซานามิเวียร์ (Zanamivir) ระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จะพิจารณาการใช้เมื่อแม่อาจมีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น ดังนั้น การใช้ยาดังกล่าวจึงต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ทุกครั้ง
- ยาอะแมนทาดีน (Amantadine) และไรแมนทาดีน (Rimantadine) มีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทส่วนกลางเช่น ซึมเศร้า กังวล มึนงง เห็นภาพหลอน ประสาทหลอน นอนไม่หลับ เป็นต้น และมีผลต่อระบบทางเดินอาหารเช่น เบื่ออาหาร ท้องผูกหรือท้องเสีย และคลื่นไส้ เป็นต้น
- ยาไรบาไวริน (Ribavirin) อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากยามีฤทธิ์กดการทำงานของไขกระดูก อาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolytic anemia) เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ (Flu-like symptoms) ได้