เชื้อเอชเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) หรือเชื้ออีโคไล (E. coli) เป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในลำไส้ของสัตว์เลือดอุ่นรวมถึงมนุษย์ เชื้ออีโคไลส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ที่ไม่มีอันตรายและอาจมีประโยชน์ เช่น เชื้ออีโคไลที่สร้างวิตามินเคและวิตามินบี 6 และยังช่วยรักษาพื้นที่ในลำไส้สำหรับแบคทีเรียที่มีประโยชน์อื่นๆ อย่างไรก็ตามเชื้ออีโคไลบางสายพันธุ์ก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
เชื้ออีโคไลที่ก่อโรคจะทำให้เกิดความเจ็บป่วยจากอาหารคือเมื่อมีอุจจาระของสัตว์เหล่านั้นแม้ปริมาณเพียงเล็กน้อยจนมองไม่เห็นปนเปื้อนมาในอาหารที่คนกิน ภาวะอาหารเป็นพิษจะเกิดขึ้นเมื่ออาหารหรือน้ำดื่มปนเปื้อนเชื้ออีโคไลทำให้เชื้อเข้าสู่ลำไส้และเกิดความเจ็บป่วยขึ้น โดยแหล่งที่มักปนเปื้อนได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- เนื้อบด
- พืชผักโดยเฉพาะผักใบเขียวที่ใช้น้ำจากฟาร์มปศุสัตว์
- นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม น้ำผลไม้ และน้ำผลไม้หมักที่ดิบหรือไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์
แม้ว่าการระบาดของเชื้ออีโคไลจะทำให้มีการปนเปื้อนของอาหารในวงกว้างแต่เชื้ออีโคไลก็ยังสามารถติดต่อแพร่จากคนสู่คนโดยตรงได้
เชื้ออีโคไลติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างไร
โดยปกติแล้วเชื้ออีโคไลจะไม่แพร่จากคนสู่คนผ่านทางการไอ การจูบ หรือการสัมผัสกันตามปกติระหว่างเพื่อนหรือคนในครอบครัว อย่างไรก็ตามการติดต่อจากคนสุ่คนเกิดขึ้นได้หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ เช่นเดียวกันกับปศุสัตว์ เชื้ออีโคไลในคนจะแพร่ผ่านทางอุจจาระที่ปนเปื้อนในอาหารและน้ำ ตัวอย่างเช่น จะติดอีโคไลจากคนสู่คนได้ถ้าเข้าห้องน้ำแล้วไม่ได้ล้างมือแล้วไปเตรียมอาหารให้คนอื่นทาน และการติดต่อวิธีนี้ยังเกิดกับทารกผ่านทางจุกขวดนม จุกนมปลอม ของเล่นที่เข้าปาก นอกจากนี้การเอามือที่มีเชื้ออีโคไลเข้าปากโดยตรงก็ทำให้ติดได้ และแม้ว่าตนเองจะไม่ได้ติดเชื้อก็สามารถส่งผ่านเชื้อสู่คนอื่นได้ รวมถึงการเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กแล้วไม่ล้างมือก็ทำให้เชื้อในอุจจาระของเด็กแพร่กระจาย และตัวเราเองจะติดเชื้ออีโคไลและแพร่เชื้อต่อได้เช่นเดียวกันเมื่อสัมผัสสัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบๆที่สัตว์อยู่ ท้ายที่สุดอาจทำให้มีการปนเปื้อนเชื้อในทะเลสาบ สระว่ายน้ำ บ่อน้ำ หรือแม่น้ำได้ถ้าไปว่ายน้ำขณะที่ตนเองมีการติดเชื้ออีโคไล
การติดเชื้ออีโคไลในผู้ใหญ่
หากแบคทีเรียชนิดนี้เข้าไปอยู่ในทางเดินปัสสาวะจะทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โดยตามรายงานของวารสารโรคระบาดติดเชื้อ (Journal Emerging Infectious Diseases) ในปี 2012 พบว่าความจริงแล้วเชื้ออีโคไลเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะกว่า 85 % และเมื่อเชื้ออีโคไลเข้าสู่ปอดก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยเกี่ยวกับระบบหายใจ และส่วนน้อยยังทำให้เกิดปอดอักเสบได้ และยังเป็นที่รู้จักกันว่าทำให้เกิดการติดเชื้อในลำไส้และการระบาดของอาหารเป็นพิษ
การติดเชื้ออีโคไลในเด็ก
เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ การติดเชื้อพาโธเจนิก อีโคไล (Pathogenic E. coli) ในเด็กเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษและการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health) ระบุว่าเด็กประมาณ 3% มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและต้องไปพบกุมารแพทย์ปีละประมาณ 1 ล้านคน และเนื่องจากลักษณะทางกายภาพ ทำให้เด็กผู้หญิงเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมากกว่าเด็กผู้ชาย 4 เท่า ส่วนเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 6 ปีและไม่ได้ขลิบปลายอวัยวะเพศก็มีโอกาสเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมากกกว่าเด็กผู้ชายในวัยเดียวกัน
ตามข้อมูลของมูลนิธิวิจัยเยื่อหุ้มสมองอักเสบระบุว่าเชื้อเอชเชอริเชีย โคไล ยังเป็นสาเหตุประมาณ 20% ของเยื่อหุ้มสมองอักเสบในทารก ซึ่งเป็นการติดเชื้อของเยื่อที่หุ้มสมองและไขสันหลังของทารก
เด็กก่อนวัยเรียนจะแพร่เชื้อแบคทีเรียไปยังเพื่อนที่เล่นด้วยกัน และผู้ใหญ่ก็แพร่เชื้อไปยังเด็กคนอื่นได้หากไม่ล้างมือหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม นอกจากนี้ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค เด็กยังสามารถแพร่เชื้อต่อได้อีก 2 สัปดาห์หลังจากหายป่วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการของการติดเชื้ออีโคไลอาจแตกต่างออกไปในเด็ก
เชื้ออีโคไลเป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่าเป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคลำไส้ติดเชื้อจากอาหาร(เช่น อาหารเป็นพิษ) แต่เชื้อพาโธเจนิก อีโคไล(pathogenic E. coli )ยังทำให้เกิดโรคอื่นๆได้ด้วย โดยธรรมชาติแล้ว อาการขึ้นอยู่กับการติดเชื้ออีโคไลเป็นชนิดใด
การติดเชื้ออีโคไลนอกลำไส้
เชื้ออีโคไลเป็นสาเหตุกว่า 85% ของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะตามรายงานในปี 2012 ของวารสารโรคระบาดติดเชื้อ(journal Emerging Infectious Diseases ) การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อเชื้ออีโคไลซึ่งปกติอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่เข้าสู่ทางเดินปัสสาวะผ่านทางท่อปัสสาวะ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะไม่จำเป็นต้องมีอาการเสมอไปแต่คนส่วนใหญ่มักมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้
- ปัสสาวะแสบ
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- ปัสสาวะบ่อยแต่ออกมาปริมาณน้อย
- ปัสสาวะมีกลิ่นผิดปกติ มีสีขุ่น หรือมีเลือดปน
- ไข้หรือหนาวสั่น
- ปวดบั้นเอว ปวดท้อง ปวดสะโพก หรือปวดสีข้าง
- ปวดท้องน้อยในผู้หญิงหรือปวดถ่ายในผู้ชาย
ตามรายงานของมูลนิธิวิจัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบระบุว่า เชื้ออีโคไลสายพันธุ์เควัน(K1)เป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบในทารกประมาณ 20% โดยทารกจะติดเชื้ออีโคไลสายพันธุ์เควันได้ขณะเกิดหรือติดได้จากในบ้านหรือโรงพยาบาล ถ้าทารกเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการต่อไปนี้
- กระสับกระส่าย
- หายใจลำบาก
- ถ่ายเหลว
- ผิวหนังเย็นหรืออุ่นผิดปกติ
- ดูดนมยาก
- เซื่องซึม หรือไม่ค่อยขยับ
- กระหม่อมหน้าปูด(frontanelle)
ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(Centers for Disease Control and Prevention)หรือซีดีซี(CDC)ระบุว่า เชื้อเสตรปโตค็อกคัส นิวโมนิเอ(Streptococcus pneumoniae) เป็นสาเหตุบ่อยที่สุดของปอดอักเสบ แต่เชื้ออีโคไลก็สามารถทำให้เกิดปอดอักเสบได้ ซึ่งอาการส่วนใหญ่ของปอดอักเสบได้แก่
- ไข้
- หนาวสั่น
- ไอมีเสมหะ
- หายใจไม่อิ่ม
- เจ็บหน้าอกจากอาการไอหรือหายใจหอบลึก
การติดเชื้ออีโคไลในลำไส้
มีเชื้ออีโคไลหลายสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษตามรายงานของสำนักจุลชีววิทยาของอเมริกา(American Academy of Microbiology) โดยเชื้อเอนเทอโรท็อกซิเจนิก อีโคไล(Enterotoxigenic E. coli) จะใช้รยางค์ที่ลักษณะคล้ายเส้นผมเกาะติดกับลำไส้และโจมตีร่างกายด้วยสารพิษซึ่งทำให้ถ่ายเหลวแต่ไม่มีไข้ เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ยังทำให้เกิดโรคอุจจาร่วงจากการเดินทาง(traveller's diarrhea)อีกด้วย ส่วนเชื้อเอนเทอโรอินเวซีฟ อีโคไล(Enteroinvasive E. coli) จะจู่โจมเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่ทำให้ถ่ายเหลวและมีไข้ ส่วนเชื้อเอนเทอโรพาโธเจนิก อีโคไล(Enteropathogenic E. coli,) เป็นสาเหตุของท้องเสียในเด็กทารกในประเทศกำลังพัฒนาทำให้ถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือมีเลือดปนหลังจากเชื้อยึดเกาะกับเซลล์ลำไส้ด้วยโปรตีนชนิดพิเศษ และเชื้อเอนเทอโรแอกกรีเกทีฟ อีโคไล(enteroaggregative E. coli ) จะกระจุกตัวอยู่บนเซลล์เยื่อบุลำไส้และใช้พิษทำให้เกิดท้องเสียเป็นเวลานานโดยเฉพาะในเด็ก ส่วนเชื้ออีโคไลที่สร้างพิษชิก้า(Shiga toxin-producing E. coli ) หรือเอสเทค(STEC) เป็นชนิดที่ได้ยินบ่อยที่สุดในข่าวเนื่องจากมีการระบาด การติดเชื้อเอสเทคในลำไส้ซึ่งเกิดจากเชื้อที่ปกติอยู่ในปศุสัตว์เข้าสู่คนผ่านทางการปนเปื้อนอุจจาระสัตว์ในอาหารที่คนกินทำให้เกิดอาการ
คนส่วนใหญ่มักหายจากเชื้อเอสเทคประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่บางคนโดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก-ยูรีเมีย(hemolytic uremic syndrome) หรือย่อว่าเอชยูเอส(HUS) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิตจากไตวาย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- อาการแรกๆของเอชยูเอสได้แก่
- อุจจาระมีเลือดปน (มักมีอาการท้องเสีย)
- อาเจียน
- ไม่มีแรง และ เซื่องซึม
- กระสับกระส่าย
- ไข้
มีเป็นมากขึ้นจะมีอาการ
- จ้ำเลือด และมีจุดเลือดออกที่ผิว
- ปัสสาวะออกน้อย
- ผิวซีด
- ดีซ่าน
- ชัก (พบได้น้อย)
อาหารเป็นพิษจากเชื้ออีโคไล
สาเหตุหลักของอาหารเป็นพิษในสหรัฐอเมริกาคือ โนโรไวรัส (Norovirus) ซึ่งทำให้มีผู้ป่วยอาหารเป็นพิษประมาณ 5.5 ล้านคนต่อปี รองลงมาคือเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella) เชื้อคลอสทริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium perfringens) เชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) และเชื้อสแตฟไฟโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) แต่เชื้อเอชเชอริเชีย โคไล (Escherichia coli) ก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้เช่นกัน
เชื้ออีโคไลสายพันธุ์ที่สร้างพิษชิก้า (Shiga toxin-producing E. coli) หรือที่ย่อว่าเอสเทค (STEC) เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยจากอาหารในผู้ป่วยประมาณ 176,000 คนต่อปี และประมาณ 36% ของผู้ป่วยเหล่านี้เกิดจากสายพันธุ์เฉพาะที่เรียกว่า โอ157:เอช7 (O157:H7) หรือย่อว่าโอ157 (O157) นอกจากนี้เชื้ออีโคไลสายพันธุ์โอ157 เป็นสาเหตุของการนอนโรงพยาบาลในผู้ป่วยอาหารเป็นพิษประมาณ 4% และปศุสัตว์เป็นแหล่งสะสมของเชื้ออีโคไลที่ใหญ่ที่สุดที่แพร่เชื้อสู่คนผ่านการกินอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระของสัตว์ที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่ โดยแหล่งของการปนเปื้อนที่พบได้ เช่น
- เนื้อบด
- ผลิตภัณฑ์จากนม หรือน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์
- พืชผักที่ใช้น้ำจากฟาร์มปศุสัตว์
- บ่อน้ำหรือแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น ทะเลสาบ แม่น้ำ ที่มีสัตว์ใช้บ่อยๆ
นอกจากนี้คนก็สามารถแพร่เชื้ออีโคไลได้หากสัมผัสอาหารโดยไม่ล้างมือแล้วรับประทานเข้าไป รวมถึงในกรณีที่ว่ายน้ำแล้วดื่มน้ำในสระว่ายน้ำ แม่น้ำ หรือทะเลสาบที่ปนเปื้อน โดยจะเริ่มมีอาการจากการติดเชื้ออีโคไลในลำไส้หลังจากได้รับเชื้อไป 2-5 วัน
อาการของการติดเชื้ออีโคไลในลำไส้ที่สังเกตได้ มีดังนี้
อาการอื่นๆ ที่พบได้ แต่ไม่บ่อย ได้แก่ อาเจียน และมีไข้ต่ำ ในผู้ใหญ่ที่แข็งแรงจะหายจากการติดเชื้อได้ภายในประมาณ 1 สัปดาห์โดยไม่ได้รักษา
เชื้ออีโคไลและกลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก-ยูรีเมีย(Hemolytic Uremic Syndrome)
เชื้ออีโคไลสายพันธุ์เอสเทคประมาณ 5-15% สามารถทำให้เกิดภาวะที่อันตรายถึงชีวิต คือ กลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก-ยูรีเมีย (Hemolytic uremic syndrome) หรือเอชยูเอส (HUS) ซึ่งเกิดจากสารพิษของแบคทีเรียทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
ตามรายงานในปี 2012 ของวารสารด้านสารพิษระบุว่า เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อเอสเทค และเสี่ยงเกิดกลุ่มอาการเม็ดเลือดแดงแตก-ยูรีเมียมากขึ้น คนที่ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาการติดเชื้ออีโคไลก็มีความเสี่ยงเกิดเอชยูเอสเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อาการแรกเริ่มของเอชยุเอสส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับการติดเชื้ออีโคไลในลำไส้ปกติ แต่ในระยะท้ายๆ ของการติดเชื้อ จะทำให้ผิวซีด มีอาการดีซ่าน และผิวมีจ้ำเลือด หากไม่รักษาจะเกิดไตได้รับความเสียหายถาวรและไตวายได้
ภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้ออีโคไลในลำไส้
ผู้ใหญ่ที่แข็งแรงจะหายจากการติดเชื้ออีโคไลได้ใน 1 สัปดาห์ หากพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ แต่ถ้าไม่ดื่มน้ำเพื่อทดแทนน้ำที่เสียไปจากอาการท้องเสียและอาเจียนจะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ โดยในตอนแรกภาวะขาดน้ำจะทำให้มีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตามภาวะขาดน้ำรุนแรงจะมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น เวียนศีรษะ สับสน (เพ้อ) ชีพจรเต้นเร็ว หัวใจและไตมีปัญหา และยังสามารถทำให้มีอาการชัก สมองได้รับความเสียหายถาวร และเสียชีวิต
ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
แพทย์จะรักษาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะด้วยยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนอาจเกิดขึ้นได้หากการติดเชื้อไม่ได้ตรวจพบแต่เนิ่นๆ หรือยาปฏิชีวนะทำงานได้ไม่ดี (เชื้ออีโคไลบางสายพันธุ์ดื้อต่อยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่)
ถ้าเชื้อแบคทีเรียกระจายทั่วทางเดินปัสสาวะจะก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ไต และอาจทำให้ไตได้รับความเสียหายถาวรเกิดเป็นแผลเป็นที่ไต การทำงานของไตลดลง ความดันโลหิตสูง และหากการติดเชื้อรุนแรงจะทำให้การทำงานของไตลดลงจนเกิดภาวะไตวายได้ และในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจะทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งจะส่งผลให้มีความดันโลหิตต่ำ การไหลของเลือดในร่างกายลดลงจนทำให้ระบบอวัยวะและร่างกายหยุดทำงาน หากไม่รักษาจะเสียชีวิตในที่สุด
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออีโคไล
วิธีที่ดีที่สุดที่ป้องกันการแพร่กระจายเชื้ออีโคไลสู่คนอื่นคือรักษาความสะอาด ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่าหลังจาก
- เข้าห้องน้ำ
- เปลี่ยนผ้าอ้อม
- สัมผัสกับสัตว์โดยตรง หรือสิ่งแวดล้อมรอบๆสัตว์ เช่น กรงขัง หรือคอกสัตว์
นอกจากนี้ควรล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสปากผู้อื่นหรือสิ่งที่ต้องนำเข้าปากผู้อื่นเช่น อาหาร จุกนม และหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำขณะป่วย ควรระมัดระวังในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากผู้อื่น และหากมีการติดเชื้ออีโคไลจะมีอาการดังนี้
อย่างไรก็ตามควรระลึกว่าอาจมีเชื้ออีโคไลที่ก่อโรคอยู่ในร่างกายก็ได้แม้จะไม่มีอาการใดเลย โดยตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคพบว่าความจริงแล้วคนเราจะปล่อยแบคทีเรียออกมานานหลายเดือนหลังจากหายป่วยแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ถ้าในร้านอาหารมีวิธีไม่มากนักที่จะป้องกันอาหารเป็นพิษจากเชื้ออีโคไลนอกจากให้นำเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดีกลับไปทำใหม่ เช่น เนื้อแฮมเบอเกอร์ที่สีชมพู แต่มีขั้นตอนหลายอย่างที่สามารถทำที่บ้านได้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออีโคไล
อย่างแรก ต้องแน่ใจว่าปรุงเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และไข่สุดทั่วทุกส่วนก่อนรับประทาน โดยเฉพาะเนื้อวัวบดเนื่องจากผิวของเนื้อวัวเกือบทุกชนิดสามารถปนเปื้อนเชื้ออีโคไลได้แต่การบดจะเป็นการผสมเชื้อเข้าไปในก้อนเนื้อ ดังนั้นเนื้อวัวบดควรปรุงจนส่วนที่หนาที่สุดมีความร้อน 160 องศาฟาเรนไฮต์(71 องศาเซลเซียส)ตามคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ส่วนผักและผลไม้ควรล้างจนสิ่งสกปรกหรือฝุ่นหมดไปและควรเก็บแยกกันกับเนื้อสด นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการปนเปื้อนระหว่างอาหารได้โดยล้างมือ ภาชนะ เคาท์เตอร์ ถาดเสิร์ฟอาหาร และเขียงหลังจากสัมผัสเนื้อสดหรือสัตว์ปีก ไม่วางเนื้อสัตว์ที่สุกแล้วในจานเดียวกับเนื้อสัตว์ดิบ สุดท้ายคือไม่ทิ้งอาหารที่เหลือไว้ยอกตู้เย็นเกินสี่ชั่วโมง
เคล็ดลับอื่นๆเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้ออีโคไล
หมั่นรักษาความสะอาดภายนอกห้องครัวสามารถลดความเสี่ยงตอดเชื้ออีโคไลได้และป้องกันการแพร่กระจายไปยังคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำเปล่าอย่างสม่ำเสมอ
- หลังเข้าห้องน้ำ
- หลังเปลี่ยนผ้าอ้อม
- ก่อนสัมผัสปากของทารกหรือสิ่งที่ทารกจะเอาเข้าปาก เช่น จุกนม ขวดนม หรือของเล่น
- ก่อนเตรียมหรือทำอาหาร
- หลังสัมผัสสัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวสัตว์ เช่น ลูบคลำสัตว์ในสวนสัตว์ หรืองานแสดงต่างๆ
นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงการกลืนน้ำสระว่ายน้ำหรือเล่นในทะเลวาบ สระน้ำ แม่น้ำ สวนน้ำ หรือแอ่งน้ำในสวนหลังบ้าน
เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดเดียวกันในช่วงๆเวลาใกล้กันได้หรือไม่คะ