ภาวะนิ่วในไต (Kidney stones) เกิดขึ้นได้กับไตทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง โดยมักเกิดกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 30 ถึง 60 ปี ซึ่งภาวะนี้สามารถพบได้บ่อยมาก โดยผู้ชายประมาณ 16 % และผู้หญิง 8 % จะประสบกับภาวะนิ่วในไตเมื่ออายุ 70 ปี
คำศัพท์ภาษาอังกฤษของภาวะนิ่วในไตจะเรียกว่า Nephrolithiasis แต่หากมีอาการเจ็บปวดรุนแรงร่วมด้วยจะเรียกว่า Renal colic
ตรวจคัดกรองนิ่ว สลายนิ่ว รักษานิ่ว วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 1,930 บาท ลดสูงสุด 4,518 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนิ่วในไต?
อย่างที่ทราบกันดีว่า ไตมีหน้าที่ขับของเสียจากเลือดออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ แต่บางครั้งของเสียที่มาจากเลือดจะตกตะกอนและเข้าไปสะสมอยู่ในไต เมื่อเวลาผ่านไป ตะกอนเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นก้อนแข็งๆ คล้ายหิน เรียกว่า นิ่ว ซึ่งมักเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ กำลังใช้ยาบางประเภท หรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่าง ที่ทำให้ร่างกายมีสารก่อนิ่วในปัสสาวะสูงขึ้นได้ เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น
ภาวะนิ่วในไตมักเกิดขึ้นหลังจากการสะสมของสารเคมีบางอย่างในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นสารดังต่อไปนี้
- แคลเซียม
- แอมโมเนีย
- กรดยูริก: ของเสียที่ผลิตออกมา เมื่อร่างกายพยายามสลายอาหารให้เป็นพลังงาน
- ซิสเทอิน: กรดอะมิโนที่ช่วยในการสร้างโปรตีน
หลังจากที่นิ่วก่อตัวขึ้นแล้ว ร่างกายจะพยายามกำจัดนิ่วในรูปแบบของปัสสาวะ ซึ่งหมายความว่านิ่วจะไหลผ่านระบบขับถ่ายออกมานั่นเอง และหากไม่สามารถขับเอานิ่วออกมาได้ นิ่วจะคั่งค้างที่บริเวณระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกาย
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต
ยาบางชนิดสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้ เช่น
- ยาขับปัสสาวะ
- ยาลดกรดที่ทำแคลเซียม
- Indinavir (Crixivan), ยาต้านไวรัส HIV
- Topiramate (Topamax), ยากันชัก
คุณอาจมีความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้นได้หากคุณมีภาวะดังต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ข้อ
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนิ่วในไต
- อ้วน
- เคยผ่าตัดหลายครั้งในทางเดินอาหาร
- ภาวะที่ทำให้มีระดับแคลเซียม, oxalate, cystine, หรือกรดยูริกในปัสสาวะสูงเรื้อรัง
- ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูง ซึ่งจะทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูง
- ภาวะที่ทำให้มีการอักเสบของลำไส้เรื้อรัง
- โรคเกาท์
- มีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ
- โรคถุงน้ำในไต
- Renal tubular acidosis เป็นโรคที่สามารถทำให้เลือดเป็นกรดมากกว่าปกติ
อาการของภาวะนิ่วในไต
ภาวะนิ่วในไตที่มีขนาดเล็กมากมักไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ และร่างกายสามารถขับออกมาพร้อมปัสสาวะได้ตามปกติ แต่บางครั้งก้อนนิ่วอาจเข้าไปอุดกั้นระบบทางเดินปัสสาวะส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น หลอดไต (ureter: ท่อที่เชื่อมไตเข้ากับกระเพาะปัสสาวะ) หรือ ท่อปัสสาวะ (urethra: ท่อที่ใช้ลำเลียงปัสสาวะออกจากร่างกาย)
ตรวจคัดกรองนิ่ว สลายนิ่ว รักษานิ่ว วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 1,930 บาท ลดสูงสุด 4,518 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
การอุดตันจากนิ่วจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดภายในท้องน้อย เอว หรือขาหนีบได้อย่างรุนแรง และบางครั้งถ้าปัสสาวะเกิดคั่งค้าง จะเกิดการสะสมของแบคทีเรีย ซึ่งนำไปสู่ภาวะติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infection - UTI) ในที่สุด
ลำดับการเกิดภาวะนิ่วในไตมีดังนี้:
- เกิดนิ่วอุดตันในไต
- นิ่วเริ่มเคลื่อนตัวลงไปตามท่อไต
- ท่อไตมีขนาดตีบแคบ ทำให้ขณะที่นิ่วเคลื่อนลงมาจะสร้างความเจ็บปวด ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
อาการของภาวะนิ่วในไตที่สามารถเกิดขึ้นได้ดังนี้
- ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง บางครั้งอาจเจ็บลงไปยังขาหนีบก็ได้
- ผู้ชายอาจรู้สึกเจ็บปวดที่อัณฑะหรือถุงอัณฑะ
- ปวดประจำเดือนรุนแรงที่แผ่นหลังหรือสีข้างของท้อง หรือเจ็บลงขาหนีบเป็นเวลานานหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง
- รู้สึกกระสับกระส่ายและไม่สามารถนอนนิ่งๆ ได้
- คลื่นไส้ อยากปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
- อยากปัสสาวะแล้วจะปัสสาวะทันที ปัสสาวะกลางคืน เจ็บปวดขณะปัสสาวะ
- มีเลือดปนปัสสาวะซึ่งอาจเกิดจากการที่นิ่วขูดกับผนังไตหรือท่อปัสสาวะ
ท่อไตอุดตันและการติดเชื้อที่ไต
ภาวะนิ่วในไตที่ไปอุดกั้นหลอดไตจะทำให้เกิดภาวะไตติดเชื้อ เพราะว่าของเสียจะไม่สามารถไหลผ่านหลอดที่ถูกอุดกั้นได้จนทำให้เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนขึ้น โดยอาการของภาวะติดเชื้อที่ไตจะคล้ายกับอาการของภาวะนิ่วที่ไตแต่อาจจะมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย คือ
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- หนาวสั่น
- รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อ่อนแรง
- ท้องร่วง
- ปัสสาวะมีสีขุ่นและกลิ่นแรง
การเป็นภาวะนิ่วในไตซ้ำ
บางคนอาจประสบกับภาวะนิ่วในไตหลายๆ ครั้ง ซึ่งมักเกิดกับกลุ่มคน ดังนี้
- ผู้ที่รับประทานอาหารโปรตีนสูงแต่ใยอาหารต่ำ
- ผู้ที่นอนติดเตียงหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนิ่วในไต
- ผู้ที่เคยประสบกับภาวะติดเชื้อที่ไตหรือระบบทางเดินปัสสาวะรุนแรง
- ผู้ที่เคยเป็นนิ่วไตมาก่อน โดยเฉพาะก่อนอายุ 25 ปี
- ผู้ที่มีไตสามารถทำงานได้ข้างเดียว
- โรคไตเกือกม้า
- ผู้ที่เคยเข้ารับการผ่าตัดบายพาสลำไส้ หรือภาวะที่ส่งผลต่อลำไส้เล็ก เช่น โรคโครห์น
การใช้ยาที่ก่อให้เกิดภาวะนิ่วในไต
มีหลักฐานที่กล่าวว่า ยาบางประเภทส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะนิ่วในไต เช่น ยาแอสไพริน ยาแอนทาซิด ยาขับน้ำ ยาปฏิชีวนะบางประเภท ยาต้านรีโทไวรัส (ที่ใช้เพื่อดูแลผู้ป่วย HIV) ยากันชัก (anti-epileptic) บางประเภท
ชนิดของนิ่วในไต
นิ่วในไตสามารถเกิดขึ้นจากหลายๆ สาเหตุ โดยมีสาเหตุหลัก 4 อย่าง ดังนี้
- นิ่วในไตแคลเซียม
- นิ่วในไตสตรูไวท์
- นิ่วในไตกรดยูริก
- นิ่วในไตซีสทีน
นิ่วจากแคลเซียมเป็นชนิดของนิ่วในไตที่พบได้บ่อยที่สุด และเกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะมากเกินไป ซึ่งเกิดมาจากสาเหตุ ดังต่อไปนี้ คือ
ตรวจคัดกรองนิ่ว สลายนิ่ว รักษานิ่ว วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 1,930 บาท ลดสูงสุด 4,518 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ภาวะทางพันธุกรรมที่เรียกว่า ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcuria) ที่ทำให้มีปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะมาก, การทำงานมากเกินไปของต่อมพาราไทรอยด์ (ต่อมที่ช่วยควบคุมปริมาณแคลเซียมในร่างกาย) โรคไต ภาวะโรคซาร์คอยโดสิส (Sarcoidosis) และมะเร็งบางประเภท
นิ่วสตรูไวท์ (Struvite stones) มักเกิดมาจากการติดเชื้อ และส่วนมากเกิดขึ้นหลังภาวะติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะที่เป็นมาช่วงเวลาหนึ่ง นิ่วสตรูไวท์มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ป่วยมักจะมาโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด
นิ่วจากกรดยูริกสามารถเกิดขึ้นได้ หากมีปริมาณกรดยูริกในปัสสาวะสูง โดยอาจจะเป็นผลมาจากปัจจัยต่อไปนี้ คือ การรับประทานอาหารโปรตีนสูง ภาวะต่างๆ เช่น โรคเก๊าท์ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถสลายสารเคมีบางประเภทได้ ภาวะทางพันธุกรรมที่ทำให้มีกรดยูริกในร่างกายสูงกว่าปรกติ หรือการทำเคมีบำบัด
นิ่วซีสทีน (Cystine stones) เป็นชนิดของนิ่วที่หายากที่สุดซึ่งเกิดจากภาวะทางพันธุกรรมที่เรียกว่า Cystinuria ซึ่งส่งผลให้ปัสสาวะมีกรดสูง
การวินิจฉัยภาวะนิ่วในไต
แพทย์จะวินิจฉัยภาวะนิ่วในไตได้จากการสอบถามอาการ ซักประวัติสุขภาพ และตรวจร่างกาย ควบคู่กับการทดสอบต่างๆ ดังนี้
- การตรวจปัสสาวะเพื่อมองหาภาวะติดเชื้อและชิ้นส่วนของนิ่ว
- การตรวจหานิ่วในปัสสาวะ
- การตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบการทำงานของไต และเพื่อวัดระดับสารต้นเหตุที่ทำให้เกิดนิ่ว เช่น แคลเซียม เป็นต้น
ทั้งนี้คุณสามารถเก็บตัวอย่างนิ่วมาให้แพทย์ได้ด้วยการปัสสาวะใส่ถุงพลาสติก ซึ่งตัวอย่างนิ่วจะทำให้การวินิจฉัยทำได้ง่ายขึ้น และช่วยให้แพทย์สามารถกำหนดแนวทางรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงหรือมีไข้สูงร่วมด้วย แพทย์จะส่งต่อให้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะแทน
การวินิจฉัยด้วยการ X-ray
เพื่อยืนยันข้อวินิจฉัย หรือระบุหาตำแหน่งของนิ่วในไต
- การสแกนคอมพิวเตอร์ (CT): เป็นการถ่ายภาพชุดเอกซเรย์ในมุมที่ต่างกันเล็กน้อย และนำภาพที่ได้รวมเข้าด้วยกัน
- เอกซเรย์: เทคนิคถ่ายภาพที่ใช้พลังรังสีตรวจหาความผิดปรกติในร่างกาย
- การสแกนอัลตราซาวด์: วิธีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพภายในร่างกายออกมา
- การฉีดสารทึบรังสี (intravenous urogram – IVU หรือ intravenous pyelogram - IVP): เป็นการฉีดสารสีที่จะแสดงออกมาบนภาพเอกซเรย์อย่างเด่นชัดเข้าในเส้นเลือดก่อนทำการถ่ายภาพเอกซเรย์เพื่อมองหาการอุดตันขณะที่ไตกรองสารสีออกจากเลือดไปเป็นปัสสาวะ
การสแกน CT เป็นเทคนิคที่ใช้กันบ่อยที่สุดเพราะว่ามีความแม่นยำมากกว่าเทคนิคอื่นๆ แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
การรักษาและป้องกันภาวะนิ่วในไต
ภาวะนิ่วในไตส่วนมากจะมีขนาดเล็กมาก (เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 4 mm) จึงสามารถขับออกพร้อมกับปัสสาวะได้ ซึ่งผู้ป่วยสามารถรักษาได้เองที่บ้าน แม้ว่านิ่วจะมีขนาดเล็กมาก แต่ก็สร้างความเจ็บปวดขึ้นได้ โดยอาการเจ็บปวดจะหายไปเมื่อนิ่วถูกขับออกจากร่างกายสำเร็จ
สำหรับนิ่วที่มีขนาดใหญ่แพทย์จะใช้วิธีสลายด้วยอัลตราซาวด์หรือเลเซอร์ ในบางกรณีอาจต้องหัตถการ เพื่อสลายนิ่วโดยตรง ซึ่งคาดกันว่าผู้ป่วยนิ่วในไตครึ่งหนึ่งจะประสบกับภาวะเดิมอีกครั้งภายในระยะเวลาห้าปี
การลดโอกาสเสี่ยงเป็นภาวะนิ่วในไตซ้ำนั้น ทำได้ด้วยการดื่มน้ำมากๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยวิธีสังเกตว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ ให้ดูที่สีปัสสาวะถ้ามีสีใส ถือว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ แต่หากปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มในตอนเช้า ก็ไม่ต้องกังวลเพราะร่างกายสะสมของเสียมาตลอดทั้งคืน
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มพวกน้ำชา กาแฟ หรือแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดนิ่วได้ และควรดื่มน้ำเปล่าอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นตัวช่วยป้องกันการเกิดนิ่วที่ดีที่สุด ยิ่งถ้าคุณอาศัยในสภาพอากาศร้อนหรือเมื่อคุณออกกำลังกาย ก็ควรดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อชดเชยของเหลวที่สูญเสียไปในรูปแบบของเหงื่อ
การใช้ยารักษาโรคนิ่วในไต
หากมีอาการเจ็บปวดรุนแรง แพทย์จะบรรเทาอาการปวดด้วยการฉีดยาแก้ปวด หากอาการไม่ทุเลาลง แพทย์จึงจะจ่ายยาโดสที่ 2 โดยห่างจากโดสแรกครึ่งชั่วโมง ซึ่งการใช้ยาฉีดยังสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้และอาเจียนได้ด้วย
นอกจากนี้แพทย์จะประเมินว่านิ่วเกิดจากสารประกอบชนิดใด เพื่อจ่ายยาที่เหมาะสมในการขับนิ่ว โดยแพทย์อาจจ่ายยาแก้ปวด ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน หรือยาทั้งสองกลุ่มให้คุณกลับไปรับประทานที่บ้าน
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคนิ่วในไต
หากแพทย์แนะนำว่าต้องรอจนกว่านิ่วจะถูกขับออกมาเอง คุณควรเก็บก้อนนิ่วจากปัสสาวะด้วยการกรองปัสสาวะของตนเองด้วยถุงพลาสติก แล้วนำนิ่วไปให้กับแพทย์เพื่อทำการวิเคราะห์และกำหนดวิธีการรักษา นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ปัสสาวะมีสีใส หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ ปัสสาวะของคุณจะมีสีเหลืองหรือสีน้ำตาล และอาจกลับมาเป็นนิ่วอีกครั้ง
การเข้าพักรักษาตัวจากภาวะนิ่วในไตที่โรงพยาบาล
หากนิ่วในไตเคลื่อนตัวเข้าไปยังหลอดไต (ท่อที่ลำเลียงของเสียจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ) และทำให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรงขึ้น แพทย์จะให้คุณพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อไป
โดยการพักฟื้นที่โรงพยาบาลจะถูกแนะนำในกรณีดังต่อไปนี้
- มีความเสี่ยงต่อภาวะไตล้มเหลวมากขึ้น เช่น มีไตที่ใช้การได้เพียงข้างเดียว
- การติดเชื้อในกระแสเลือดจากการติดเชื้อระบบปัสสาวะ
- นิ่วในไตมีขนาดมากกว่า 10 มิลลิเมตร
- อาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาแก้ปวดหรือยาแก้คลื่นไส้ประมาณ 1 ชั่วโมง
- มีภาวะขาดน้ำ และอาเจียนมากเกินไป
- กำลังตั้งครรภ์
- มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
การรักษาภาวะนิ่วในไตขนาดใหญ่
หากนิ่วในไตมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะถูกขับออกมาโดยปัสสาวะ หรือมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 6 - 7 มิลลิเมตร อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดนำนิ่ว ซึ่งมีทั้งการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก (Extracorporeal shock wave lithotripsy - ESWL) การส่องกล้องท่อไต (Ureteroscopy) การผ่าตัดนิ่วโดยใช้กล้องผ่านผิวหนัง (Percutaneous nephrolithotomy - PCNL) หรือการผ่าตัดแบบเปิด (Open surgery)
การสลายนิ่วในไตด้วยคลื่นกระแทก
การสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก (Extracorporeal shock wave lithotripsy - ESWL) เป็นวิธีรักษาที่แพทย์เลือกใช้มากที่สุด ในการรักษาภาวะนิ่วในไตที่ไม่สามารถเคลื่อนออกมาพร้อมกับปัสสาวะได้ โดย ESWL สามารถทำลายนิ่วที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 11 - 20 มิลลิเมตร ได้ถึง 60 %
กระบวนการนี้จะใช้อัลตราซาวด์ (คลื่นเสียงความถี่สูง) ชี้ตำแหน่งของนิ่วในไตก่อนที่จะใช้คลื่นอัลตราซาวด์ที่มาจากเครื่องจักรเข้าไปกระแทกสลายนิ่วให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนสามารถไหลออกมาพร้อมกับปัสสาวะได้
ESWL อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวบ้าง ดังนั้น จึงต้องให้ยาแก้ปวดร่วมด้วย และอาจต้องเข้าทำ ESWL มากกว่าหนึ่งครั้งกว่าจะสลายนิ่วในไตได้ทั้งหมด
การส่องกล้องท่อไต
หากนิ่วอุดกั้นในหลอดไต จำต้องเข้ารับการส่องกล้องท่อไต (Ureteroscopy) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Retrograde intrarenal surgery (RIRS)
กระบวนการนี้จะสอดท่อเรียวยาวที่มีกล้องขนาดเล็กติดอยู่ ผ่านท่อปัสสาวะและเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ก่อนเคลื่อนขึ้นไปยังหลอดไตในตำแหน่งที่นิ่วอุดตันอยู่ ศัลยแพทย์จะใช้วิธีค่อยๆ กำจัดนิ่วออกอย่างเบามือด้วยเครื่องมืออีกชิ้น หรือใช้เลเซอร์สลายนิ่วให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ได้
กระบวนการนี้จะมีการดามท่อพลาสติก (Stent) ภายใน เพื่อให้ชิ้นส่วนของนิ่วไหลไปสู่กระเพาะปัสสาวะง่ายขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ และการส่องกล้องท่อไตต้องดำเนินการโดยการใช้ยาสลบกับผู้ป่วย ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ผู้ป่วยควรพักฟื้นอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ไม่ควรขับรถหรือใช้งานเครื่องจักรหนัก
การผ่าตัดนิ่วในไตโดยใช้กล้องผ่านผิวหนัง
การผ่าตัดนิ่วในไตโดยใช้กล้องผ่านผิวหนัง (Percutaneous nephrolithotomy - PCNL) เป็นทางเลือกที่ใช้กำจัดนิ่วขนาดใหญ่ในกรณีที่ ESWL ไม่สามารถดำเนินการได้ เช่น
- นิ่วในไตก้อนขนาดใหญ่กว่า 2 เซนติเมตร
- นิ่วในไตชนิด Staghorn calculi ซึ่งรูปร่างผิดปกติ
- นิ่วในไตจาก Cysteine
- ไต หรือทางเดินปัสสาวะผิดปกติ เช่น ไตรูปเกือกม้า
PCNL จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Nephroscope สอดผ่านการกรีดผ่านแผ่นหลังเพื่อสอดเครื่องมือไปยังไต นิ่วจะถูกดึงออกหรือทำลายให้กลายเป็นชิ้นเล็กด้วยแสงเลเซอร์หรือพลังงานนิวมาติก (Pneumatic)
PCNL ต้องดำเนินการด้วยการใช้ยาสลบกับคนไข้ ดังนั้นจึงไม่ควรขับรถหรือใช้งานเครื่องจักรหนักหลังผ่าตัดเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
ข้อดี คือ ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 1 สัปดาห์ ต่างจากการผ่าตัดเปิด ที่ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 3 สัปดาห์
การผ่าตัดเปิด
การผ่าตัดเปิด (Open surgery) เพื่อรักษานิ่วในไตถือว่ามีน้อยรายมาก (น้อยกว่า 1% ) โดยเป็นการผ่าตัดที่แนะนำสำหรับกรณีที่นิ่วมีขนาดใหญ่มากๆ หรือมีรูปร่างที่ผิดปกติ ระหว่างการผ่าตัดแบบเปิด แพทย์จะกรีดแผ่นหลังไปยังหลอดไตและไต จากนัั้นทำจึงกำจัดนิ่วออกโดยตรง
การรักษาภาวะนิ่วในไตจากกรดยูริก
หากคุณเป็นนิ่วที่มาจากกรดยูริก ควรดื่มน้ำมากกว่า 3 ลิตรต่อวัน เพื่อพยายามสลายนิ่ว ทั้งนี้นิ่วจากกรดยูริกจะมีความอ่อนนุ่มมากกว่านิ่วประเภทอื่นๆ และสามารถทำให้มีขนาดเล็กลงได้ด้วยอัลคาไลน์แบบเหลว ดังนั้นอาจต้องใช้ยาบางตัวเพื่อทำให้ปัสสาวะมีอัลคาไลน์มากขึ้น เพื่อให้นิ่วสลายตัวไปเอง
ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาภาวะนิ่วในไต
ภาวะนิ่วในไตมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างที่ดำเนินการรักษา โดยภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จะขึ้นอยู่กับประเภทของนิ่ว รวมทั้งขนาดและตำแหน่งของนิ่ว ดังนี้
- ภาวะเลือดเป็นพิษ (Sepsis): บริเวณที่มีการติดเชื้อลุกลามไปยังกระแสเลือดจนทำให้เกิดอาการผิดปกติทั่วร่างกาย
- หลอดไตอุดตัน: เกิดจากเศษของนิ่วเข้าไปอุดตันหลอดไต การบาดเจ็บที่หลอดไต ภาวะติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ มีเลือดออกขณะผ่าตัด
โดยคาดว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 5 - 9 % ที่ประสบกับภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษาแบบสอดกล้องท่อไต (Ureteroscopy)
อาหารกับนิ่วในไต
การหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดนิ่วนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาที่คุณไม่ควรละเลย โดยหากคุณมีความเสี่ยงในการเกิดนิ่วแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นนิ่วชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด คุณควรลดการบริโภคโซเดียม (เกลือ) เพราะโซเดียมจะไปเพิ่มการขับแคลเซียมไปในปัสสาวะ ทำให้เกิดนิ่วชนิดนี้มากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่อาหารที่ใส่เกลือปริมาณมากเท่านั้นที่มีโซเดียมสูง แต่ยังรวมถึงอาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารกระป๋อง อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารแช่แข็ง และขนมขบเคี้ยวต่างๆ รวมไปถึงเนื้อและโปรตีนจากสัตว์อื่นๆ ได้แก่ ไข่ และปลา เพราะโปรตีนเหล่านี้อาจเพิ่มการขับแคลเซียมและลดการขับซิเตรตในปัสสาวะได้
นอกจากนี้ คุณควรลดการบริโภคอาหารที่มีออกซาเลตสูงด้วย ได้แก่
- ผลไม้บางชนิด เช่น สตรอเบอร์รี่ และองุ่นคองคอร์ด
- พืชผักบางชนิด ได้แก่ บีทรูท กระเทียมต้น หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด กะหล่ำดอก และผักโขม
- อาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ได้แก่ โจ๊ก เต้าหู้ ช็อคโกแลต ชา กาแฟสำเร็จรูป แอลกอฮอล์ และรำข้าวสาลี
- พืชตระกูลถั่ว ได้แก่ ถั่วลิสง อัลมอนด์ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์
จากรายงานในวารสาร Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism ปี 2012 พบว่าการได้รับแคลเซียมจากอาหารน้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วแคลเซียมออกซาเลต ดังนั้นหากคุณมีความเสี่ยงในการเกิดนิ่วออกซาเลตในไต นอกจากการลดการบริโภคโซเดียมและโปรตีนจากสัตว์แล้ว คุณควรมั่นใจว่าตัวเองได้รับแคลเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอ
ส่วนผู้ป่วยที่มีนิ่วยูริกนั้นควรจำกัดการบริโภคโปรตีนจากสัตว์เพียง 170-280 กรัมต่อวัน เนื่องจากโปรตีนจากสัตว์ประกอบไปด้วยพิวรีน ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายจะสลายไปเป็นกรดยูริกในที่สุด
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและไปพบแพทย์ตามนัดหมายเพื่อติดตามอาการก็สำคัญเช่นกัน เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อตัวคุณเอง รวมทั้งควรบริโภคคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักอย่างหักโหมหรือเร็วเกินไปด้วย
การใช้ยากับนิ่วในไต
ยาแก้ปวดสำหรับนิ่วในไต
ก้อนนิ่วที่เคลื่อนไปตามระบบร่างกายอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวด คุณสามารถใช้ยาแก้ปวดที่มีจำหน่ายตามร้านขายยา เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) พาราเซตามอล (Paracetamol) และนาพรอกเซน (Naproxen) ช่วยบรรเทาอาการปวดอ่อนๆ ที่เกิดขึ้นได้ แต่ในกรณีที่ปวดอย่างรุนแรง แพทย์อาจให้ใช้ยาแก้ปวดชนิดโอปิออยด์ (Opioid) หรืออาจจำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล
ยาช่วยขับนิ่วในไต
หากคุณมีปัญหาในการขับนิ่วตามธรรมชาติ แพทย์อาจสั่งยาอัลฟาบล็อกเกอร์ (Alpha-blocker) เช่น แทมซูโลซิน (Tamsulosin) ซึ่งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อต่างๆ ในทางเดินปัสสาวะ ทำให้นิ่วผ่านออกไปได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นแพทย์อาจให้ใช้ยาตัวอื่นเพิ่มเติมเพื่อช่วยสลายนิ่ว ลดสารก่อนิ่ว หรือป้องกันการสร้างนิ่ว ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและชนิดนิ่วที่คุณมี ได้แก่
ยาสำหรับนิ่วในไตที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ
- ยาขับปัสสาวะกลุ่มไธอะไซด์ไดยูเรติก (Thiazide diuretics) ได้แก่ ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ (Hydrochlorothiazide) คลอโรไทอะไซด์ (Chlorothiazide) และไตรโคลร์มไทอะไซด์ (Trichlormethiazide) ซึ่งควรรับประทานพร้อมกับโพแทสเซียมซิเตรท (Potassium citrate) เพื่อป้องกันการสูญเสียโพแทสเซียมและซิเตรท
- อะมิโลไรด์ (Amiloride) ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะในกลุ่ม Potassium-sparing diuretic
- ไซเตรท (Citrates) ได้แก่ โพแทสเซียมแมกนีเซียมซิเตรท โพแทสเซียมซิเตรท และแมกนีเซียมซิเตรท
- สารประกอบฟอสเฟต ได้แก่ โพแทสเซียมฟอสเฟต และเซลลูโลสฟอสเฟต
ยาสำหรับนิ่วในไตที่มีกรดยูริกเป็นส่วนประกอบ
- โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate)
- โพแทสเซียมซิเตรท (Potassium Citrate)
- อัลโลพูรินอล (Allopurinol)
ยาสำหรับนิ่วในไตที่มีสตรูไวท์ (Struvite) เป็นส่วนประกอบ
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เพื่อฆ่าเชื้อ เนื่องจากนิ่วสตรูไวท์เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
- กรดอะเซโทไฮดรอกซามิก (Acetohydroxamic acid)
- กรดอินทรีย์ เช่น กรดไซตริก กลูโคโน เดลต้า แลคโตน (Glucono-delta-lactone) และแมกนีเซียมคาร์บอเนต (Magnesium carbonate)
- ยาลดกรดอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminum hydroxide anti-acid gel)
สารเติมความเป็นด่าง เช่น ไบคาร์บอเนต เป็นยาอันดับแรกสำหรับรักษานิ่วในไตที่มีซิสตีนเป็นส่วนประกอบ ส่วนยาตัวอื่นที่ช่วยลดความเข้มข้นของซิสตีนก็อาจใช้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ยานี้ไม่ได้ผล ได้แก่
- ดี-เพนิซิลลามีน (D-pennicillamine)
- แคปโตพริล (Captopril)
- Alpha-mercaptopropionylglycine
เป็นนิ่วในไตแต่ไม่สามารถผ่าตัดมียาที่ทานแล้วนิ่วหายได้ใหมค่ะ