โรคโครห์น (Crohn's Disease) เป็นความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดการระคายเคืองและทางเดินอาหารบวม ซึ่งโรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel diseases หรือ IBD) โรคโครห์นส่วนใหญ่มีความผิดปกติที่ลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น แต่การอักเสบนี้ก็สามารถเกิดส่วนใดของทางเดินอาหารก็ได้ โรคโครห์นรักษาไม่หาย แต่มีการรักษาหลายวิธีที่ช่วยคุมอาการได้ ผู้ป่วยโรคโครห์นส่วนใหญ่จะมีช่วงทุเลา คือ ไม่มีอาการและช่วงที่โรคกำเริบ ซึ่งอาการจะแย่ลง
อุบัติการณ์ของโรค
คนอเมริกันทุก 100,000 คนจะเป็นโรคโครห์น 201 คน ซึ่งหมายความว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกามีคนเป็นโรคโครห์น 700,000 คนตามรายงานของสมาคมโรคโครห์นและลำไส้ใหญ่อักเสบแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (the Crohn's & Colitis Foundation of America) โรคโครห์นมักได้รับการวินิจฉัยในช่วงอายุ 15-35 ปี แต่ก็สามารถเกิดได้ในทุกช่วงอายุ โดยผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเกิดเท่าๆ กัน และโรคนี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดกับคนคอเคเซียน (Caucasians) กับชาวยิวแอสคีนาซี (Ashkenazi Jewish) มากกว่าเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์อื่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคโครห์น
สาเหตุที่แท้จริงของโรคโครห์นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ายีนและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมร่วมกันทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรค ปัจจัยเสี่ยงของโรคโครห์นบางอย่าง ได้แก่
- ยีน : ยังไม่อาจกล่าวได้ว่ามียีนที่ทำให้เกิดโรคโครห์น แต่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบยีนมากกว่า 100 ยีนที่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคโครห์น
- ประวัติครอบครัว : โรคโครห์นมีแนวโน้มจะถ่ายทอดในครอบครัว ประมาณ 5-20% ของผู้ป่วยโรคโครห์นมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคโครห์น
- ที่อยู่ : โรคโครห์นพบบ่อยในประเทศที่พัฒนาแล้วมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาและพบในชุมชนเมืองบ่อยกว่าชนบท
- การสูบบุหรี่ : ผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคโครห์นเป็นสองเท่าเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่ตามข้อมูลจากสมาคมโรคโครห์นและลำไส้อักเสบแห่งอเมริกา (the Crohn's & Colitis Foundation of America) และมีหลักฐานบางอย่างว่าโรคนี้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันผิดพลาดไปโจมตีแบคทีเรียที่เติบโตเป็นปกติในลำไส้ของคน
อาการและการวินิจฉัยโรคโครห์น (Crohn's Disease)
อาการของโรคโครห์นนั้นหลากหลายขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรงของการอักเสบที่ลำไส้
โรคโครห์นเป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นกับส่วนต่างๆ ของทางเดินอาหาร ผู้ป่วยโรคโครห์นส่วนใหญ่จะมีการอักเสบทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่ขับอุจจาระสู่ไส้ตรง
อาการและอาการแสดง
อาการของโรคโครห์นแตกต่างกันในแต่ละคนขึ้นอยู่กับส่วนของทางเดินอาหารที่เกิดโรคและความรุนแรงของการอักเสบ อาการที่เกิดจากทางเดินอาหาร ได้แก่
- ท้องเสียเรื้อรัง
- ถ่ายเป็นเลือด
- ปวดบิดท้อง
- ท้องผูก
อาการทั่วไป เช่น
และโรคโครห์นยังทำให้เกิดอาการกับส่วนอื่นของร่างกาย ได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ปวดข้อหรือเจ็บในข้อ
- ตาแดง เคืองตา หรือเจ็บตา
- ผิวแดง เจ็บ หรือเป็นตุ่ม
การวินิจฉัยโรคโครห์น
การตรวจหลายอย่างสามรถช่วยในการวินิจฉัยโรคโครห์นและตัดภาวะอื่นที่มีอาการใกล้เคียงกันออกไปได้ ซึ่งภาวะที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคโครห์น ได้แก่
- โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome หรือ IBS)
- ภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis ) เป็นภาวะที่มีการอักเสบคล้ายกับโรคโครห์น
โดยการตรวจสำหรับโรคโครห์น ได้แก่
- การตรวจร่างกาย : แพทย์จะตรวจว่ามีอาการปวดท้องหรือไม่
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ : แพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดและอุจจาระเพื่อหาลักษณะที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อหรือเลือดออก ซึ่งการตรวจทางห้องปฏิบัติการนี้ช่วยตัดภาวะอื่นๆ ออกไปได้
- ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) : แพทย์จะใส่ท่อเล็กๆ ที่มีกล้อง ซึ่งโค้งงอได้ที่เรียกว่า โคโลโนสโคป (colonoscope) เข้าไปในไส้ตรงและเลื่อนผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่เพื่อมองหาความผิดปกติ ระหว่างทำการส่องกล้องแพทย์อาจสุ่มเก็บชิ้นเนื้อหลายชิ้นในลำไส้ใหญ่เพื่อไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ต่อ
- การถ่ายภาพรังสี : แพทย์อาจให้เอ็กซเรย์หรือเอ็กวเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อหาความผิดปกติในทางเดินอาหารเพิ่มเติมที่อยู่เหนือโคโลโนสโคปเข้าถึง
- แคปซูลตรวจทางเดินอาหารแบบไร้สาย (Wireless capsule endoscopy) : คุณจะต้องกลืนแคปซูลที่มีกล้องวีดีโอเล้กๆ อยู่ (ขนาดประมาณเม็ดวิตามินใหญ่ๆ) ซึ่งทำให้แพทย์มองเห็นความผิดปกติตลอดระบบทางเดินอาหาร
โรคโครห์นในเด็ก
โรคโครห์นเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุ แต่มักได้รับการวินิจฉัยหลังอายุ 15 ปี มีงานวิจัยประเมินว่า 20-25% ของผู้ป่วย โรคโครห์นได้รับการวินิจฉัยก่อนอายุ 18 ปี และโรคโครห์นเกิดน้อยมากในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี เด็กที่เป็นโรคมักมีอาการคล้ายกับผู้ใหญ่ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยสำหรับโรคโครห์นในเด็ก ได้แก่
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย
- น้ำหนักลด
เด็กที่เป็นโรคโครห์นอาจมีภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นเพิ่มขึ้นที่ไม่เกิดในผู้ใหญ่ ได้แก่
- เข้าสู่วัยรุ่นช้า
- อัตราการเจริญเติบโตช้า (ประมาณหนึ่งในสามของเด็กที่เป็นโรคโครห์นจะเตี้ยกว่าความสูงที่ควรเป็นในวัยผู้ใหญ่)
การรักษาโรคโครห์น (Crohn's Disease)
มียาหลายหลายตัวต่างกันและมีทางเลือกในการผ่าตัดที่อาจช่วยลดอาการของโรคโครห์น
โรคโครห์นไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่มีการรักษาหลายอย่างที่ช่วยคุมอาการได้ ผู้ป่วยโรคโครห์นส่วนใหญ่สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้ด้วยการรักษา โดยการรักษาที่แพทย์แนะนำนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงและประเภทของอาการที่เกิด รวมถึงส่วนของทางเดินอาหารที่เป็นโรค ซึ่งการรักษาหลักๆ สองวิธีของโรคโครห์น คือ การใช้ยาและการผ่าตัด
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การใช้ยารักษาโรคโครห์น
มียาหลายตัวที่ใช้รักษาโรคโครห์นได้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยามากกว่าหนึ่งตัวขึ้นอยู่ส่วนของลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการ ยาส่วนใหญ่ที่ใช้รักษาโรคโครห์นนั้นจะลดการอักเสบและกดภูมิคุ้มกัน โดยยาบางตัวจะใช้รักษาเวลาที่ตัวโรคกำเริบและอาการแย่ลงและยาตัวอื่นก็จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการกลับมาเป็นซ้ำ ยาทั่วไปที่ใช้รักษาโรคโครห์น ได้แก่
- 5-อะมิโนซาลิไซเลต (aminosalicylates หรือ 5-ASAs) : ยากลุ่มนี้จะลดการอักเสบของทางเดินอาหาร โดย 5-เอเอสเอ มักใช้รักษาเวลาตัวโรคกำเริบ แต่ก็อาจจะใช้ต่อไปได้แม้ว่าอาการจะหายไปแล้ว ซึ่งยาตัวนี้จะออกฤทธิ์เฉพาะที่ลำไส้และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาตัวอื่นที่ใช้รักษาโรคโครห์น
- ยาเมซาลามีน (Mesalamine) ที่มีชื่อการค้าว่า เอพริโซ (Apriso) และเดลซิคอล (Delzicol) เป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาโรคโครห์น
- ยาปฏิชีวนะ : แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะช่วงหนึ่งหากใช้ยา 5-เอเอสเอ ไม่ได้ผล โดยยาปฏิชีวนะจะลดปริมาณแบคทีเรียในลำไส้ทำให้การอักเสบลดลง
- สเตียรอยด์ : แพทย์อาจใช้ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) ที่มีชื่อการค้าว่า เดลตาโซน (Deltosone) หรือใช้ยาบูเดโซไนด์ (Budesonide) ที่มีชื่อการค้าว่า เอนโทคอทอีซี (Entocort EC) ถ้ายา 5-เอเอสเอ และยาปฏิชีวนะไม่ได้ผลเพียงพอที่จะคุมอาการได้ ซึ่งยาสเตียรอยด์มักใช้ในช่วงสั้นๆ เพื่อลดการอักเสบ
- ยาปรับภูมิคุ้มกัน (Immunomodulators) : ยากลุ่มนี้จะลดการอักเสบ
ซึ่งแพทย์จะใช้ยาปรับภูมิคุ้มกันเมื่อมีอาการรุนแรงหรือมีอาการแย่ลงหลังจากลดขนาดของยาสเตียรอยด์ โดยยาปรับภูมิคุ้มกันที่ใช้ทั่วไป ได้แก่
- อะซาไธโอปริน (Azathioprine) มีชื่อการค้าว่า อิมมูแรน (Imuran)
- 6-เมอร์แคบโตพิวรีน (6-Mercaptopurine) มีชื่อการค้าว่า พิวรินีทอล (Purinethol)
- เมทโธเทรกเซท (Methotrexate) มีชื่อการค้าว่า เทรกซอลล์ (Trexall)
- ยาปรับการตอบสนองทางชีวภาพ (Biologic response modifiers) หรือเรียกว่า ไบโอโลจิกส์ (biologics) : ไบโอติกส์จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบ ซึ่งมักใช้ร่วมกับยาตัวอื่นโดยให้ทางหลอดเลือดดำหรือการฉีดยาไบโอติกส์บางตัวใช้เองที่บ้านได้ แต่บางตัวต้องให้ในสถานพยาบาล
และยากลุ่มไบโอติกส์ที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่
- อินฟลิกซิแมบ (Infliximab) มีชื่อการค้าว่า เรมิเคด (Remicade)
- อะดาลิมูแมบ (Adalimumab) มีชื่อการค้าว่า ฮูมิรา (Humira)
- เซอร์โตลิซูแมบพีกอล (Certolizumabpegol) มีชื่อการค้าว่า ซิมเซีย (Cimzia)
การผ่าตัดรักษาโรคโครห์น
แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดถ้าอาการไม่ดีขึ้นเมื่อใช้ยา โดยประมาณ 80% ของผู้ป่วยโรคโครห์นจะต้องได้รับการผ่าตัดในที่สุดในอายุช่วงใดช่วงหนึ่ง การผ่าตัดไม่ทำให้โรคโครห์นหายขาด แต่ทำให้ผู้ป่วยไม่มีอาการอยู่ช่วงหนึ่งหลังการผ่าตัดและตามการรายงานของอัพทูเดต (UpToDate) ระบุว่า 85-90% ของผู้ป่วยโรคโครห์นที่ได้รับการผ่าตัดจะไม่มีอาการในหนึ่งปีแรกหลังผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดที่ทำในโรคโครห์น ได้แก่
- ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกบางส่วน ที่เรียกว่า โคเลกโตมี (colectomy) โดยศัลยแพทย์จะผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ส่วนที่เป็นโรคออกแล้วต่อส่วนที่ยังดีอยู่ให้เชื่อมกัน
- ผ่าตัดเปิดลำไส้ที่อุดตัน ที่เรียกว่า สตริคเจอร์พลาสตี (strictureplasty) ทำโดยการเปิดขยายลำไส้ที่อุดตัน
การรักษาเสริมหรือการรักษาทางเลือก
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงเล็กน้อยว่าการรักษาเสริมหรือการรักษาทางเลือกนั้นเกิดประโยชน์ชัดเจนในผู้ป่วยโรคโครห์น ผู้ป่วยบางรายที่ใช้การรักษาเสริมร่วมกับการรักษาหลัก เช่น การใช้ยาหรือการผ่าตัดนั้นช่วยลดอาการได้ การรักษาเสริมสำหรับโรคโครห์น ได้แก่
- โปรไบโอติกส์ (อาหารหรืออาหารเสริมที่มีแบคทีเรียที่ดีต่อร่างกาย)
- การลดความเครียด เช่น โยคะ นั่งสมาธิ ไทเก็ก
- ฝังเข็ม
และควรแจ้งแพทย์ถ้าใช้การรักษาเสริมอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินอาหารเสริมหรือวิตามินอยู่ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจมีส่วนผสมซึ่งทำปฏิกิริยากับยาที่ใช้รักษาอยู่
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคโครห์น ได้แก่
- ลำไส้อุดตัน
- แผลปริที่ขอบทวารหนัก (Anal fissures) เป็นรอยฉีกเล็กๆ ที่รูทวารหนักทำให้คัน เจ็บ หรือมีเลือดออกได้
- แผลหลุม (Ulcers) เป็นแผลเปิดเป็นหลุมในทางเดินอาหาร
- รูแผล (Fistulas) แผลเปิดเป็นรูที่กระเพาะอาหารหรือลำไส้ทำให้ของที่อยู่ในทางเดินอาหารรั่วออกไปสู่ส่วนอื่นของร่างกาย
- ขาดสารอาหาร เช่น วิตามินและเกลือแร่
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนทั้งหมดของโรคโครห์นไม่อยู่แค่ทางเดินอาหารเท่านั้น ผู้ป่วยบางรายเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่วนอื่นของร่างกาย โดยภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ได้เกิดในทางเดินอาหาร ได้แก่
- ปวดตา ตาแดง หรือคันตา
- เจ็บปาก
- ข้อบวมหรือปวดข้อ
- ผิวเป็นตุ่มหรือมีผื่นและเจ็บ
- กระดูกพรุน
- นิ่วในไต
โรคโครห์นกับการตั้งครรภ์
ผู้หญิงที่เป็นโรคโครห์นอาจมีบุตรยากขณะที่โรคกำเริบหรือมีอาการรุนแรง ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีบุตรได้เมื่อโรคสงบเป็นปกติแล้ว และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ตั้งแต่แท้ง ทารกเสียชีวิต และพัฒนาการผิดปติเมื่อโรคกำเริบ ซึ่งสมาคมโรคโครห์นและลำไส้อักเสบแห่งอเมริกาแนะนำให้รออย่างน้อย 6 เดือนหลังโรคกำเริบครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจตั้งครรภ์