อาการปวดตาตุ้บๆ แสบตา ตาแห้ง รู้สึกเคืองตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา อาการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาการของการปวดตาทั้งสิ้น
สาเหตุสำคัญมาจากลักษณะการทำงาน การใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างขาดไม่ได้ ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ส่งผลให้คนใช้สายตานานขึ้นต่อวันจนเป็นสาเหตุของการปวดตาบ่อยๆ ได้
ตรวจตา รักษาโรคตาวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 437 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ปวดตาเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
การปวดตานั้นมีสาเหตุเกิดขึ้นได้หลายอย่าง นอกจากการใช้สายตามากๆ แล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
- การอักเสบ
- การติดเชื้อ
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา
- โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตนเองบางชนิด
- กระจกตาถลอก
- ตามีอาการล้า ตาแห้ง
- ปลายประสาทอักเสบ
- โรคตาแดง
- เลือดออกในตา
- โรคตากุ้งยิง
- โรคต้อหิน
- โรคไมเกรน
- โรคไซนัส
- โรคภูมิแพ้
- โรคไข้หวัด
- เนื้องอกในสมอง
- เส้นเลือดในสมองตีบ
- เส้นเลือดในสมองแตก
- หนังตาม้วนออก
การวินิจฉัยของแพทย์
จักษุแพทย์จะวินิจฉัยอาการปวดตาร่วมกับอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น มองเห็นไม่ชัด โดนแสงไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ในตา ปวดศีรษะ เห็นภาพซ้อน
รวมถึงการมีโรคประจำตัวบางโรค เช่น โรคเบาหวาน หรือเคยมีประวัติการผ่าตัดที่ดวงตา เคยได้รับบาดเจ็บรอบดวงตา หรือแม้แต่การใส่คอนแทคเลนส์ โดยแพทย์จะมีการตรวจด้วยเครื่อง Opthalmoscope (เครื่องส่องดูตาเพื่อตรวจจอประสาทตา) และอาจมีการตรวจพิเศษตามสิ่งที่คิดว่าเป็นสาเหตุของโรค
ทั้งนี้ผู้ป่วยควรจะต้องแจ้งแพทย์ผู้รักษาให้ละเอียดถึงการใช้ยาต่างๆ รวมทั้งการมีโรคประจำตัวอื่นๆ ที่กำลังเป็นอยู่ด้วยเพื่อช่วยให้การวินิจฉัยของแพทย์มีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น หากการปวดตามีอาการไม่มากและไม่มีอาการที่รุนแรงก็ยังคงสามารถบรรเทาอาการปวดตาได้ด้วยตนเอง
วิธีบรรเทาอาการปวดตาด้วยตนเอง
- ล้างตา
เมื่อมีอาการเคืองตา หรือปวดตาจากการโดนสิ่งแปลกปลอมกระแทก ควรล้างตาด้วยน้ำเกลือปลอดเชื้อเพื่อล้างเอาสิ่งแปลกปลอมที่อาจมีอยู่ในตาได้ หากเกิดจากสิ่งแปลกปลอมก็จะช่วยให้อาการปวดหายไป แต่ถ้ายังรู้สึกไม่ดีขึ้นห้ามขยี้ตาเป็นอันขาด และไม่ควรเอาสิ่งแปลกปลอมออกด้วยวิธีการใดๆ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด
- ใช้น้ำตาเทียมหยอด
ถ้ามีอาการตาแห้ง ฝืด หรือระคายเคืองจนรู้สึกปวดตา ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดเพื่อช่วยให้ตามีความชุ่มชื้นมากขึ้น แต่ควรใช้โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรและแพทย์เท่านั้น - พักตา
การใช้สายตาเพ่งจ้องนานๆ ในที่ที่มีแสงจ้า เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ การทำงาน หรือกิจกรรมต่างๆที่ต้องเพ่งมองมากๆ ควรจะต้องมีการพักสายตาเป็นระยะๆ
เช่น ไปทำอย่างอื่นหรือพักมองออกไปไกลๆ ใส่แว่นตาสำหรับป้องกันแสงสว่างจ้า ควรกลอกตาไปมาเป็นวงกลม หรือจากบนลงล่างและซ้ายไปขวา หรือแม้แต่การใช้นิ้วนวดขมับและรอบดวงตาเบาๆ จะช่วยทำให้ผ่อนคลายได้
- ปรับพฤติกรรม
อาการปวดตายังสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย เช่น สายตาสั้น หรือสายยาว การเมื่อยล้าจากการใช้สายตาเพ่งนานๆ สิ่งที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติเบื้องต้นคือ ปรับ หรือเปลี่ยนแว่นตา รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น เนื้อปลา ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นต้น นอกจากนี้ควรเลิกสูบบุหรี่และทำความสะอาดคอนแทคเลนส์อย่างสม่ำเสมอ
แต่ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ปวดตานานต่อเนื่องเกิน 2 วัน ตาบวมแดง มองเห็นไม่ชัดมากขึ้น อาเจียน คลื่นไส้ และกลอกตา หรือลืมตาลำบาก ร่วมกับปวดศีรษะมากๆ จะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที
ก่อนใช้ยาต่างๆ เช่น ยาแก้แพ้ ยาสมุนไพร สารสกัดจากพืช ควรศึกษาและปรึกษาเภสัชกร หรือไปรับการตรวจรักษากับแพทย์เสียก่อน เพื่อวินิจฉัยให้ได้ว่า อาการปวดตานั้นเกิดจากสาเหตุใดจึงสมควรที่จะรักษาด้วยการใช้ยาต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวเอง
นอกจากนี้การประสบอุบัติเหตุที่ตา เช่น ตาแตก กะโหลกยุบ มีน้ำไหลออกมาจากตา โดนของมีคมฟันบริเวณตา โดนสารเคมีสาด หรือกระเด็นเข้าที่ตา ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะทุกนาทีมีผลต่อการมองเห็นของผู้ป่วย
ที่สำคัญการซื้อยามารับประทานเองอาจเกิดผลข้างเคียง หรือผลกระทบและรักษาไม่ตรงกับโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดตา ทำให้เสียทรัพย์รวมทั้งเสียเวลากับผู้ป่วยได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยควรไปพบจักษุแพทย์โดยเฉพาะเพื่อสามารถตรวจพบโรคที่เกี่ยวกับดวงตาในระยะแรกได้ ทั้งนี้การเข้ารับการรักษาโรคที่พบในระยะเริ่มต้นถือว่า เป็นผลดีต่อตัวผู้ป่วยอย่างมาก
ดูแพ็กเกจตรวจตา เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android