กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

วิธีการกินยาแก้แพ้ที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอันตรายจากผลข้างเคียง

ยาแก้แพ้ไม่ใช่ยานอนหลับ ใช้ถูกจะเป็นประโยชน์ แต่หากใช้ผิดจะเป็นภัย
เผยแพร่ครั้งแรก 28 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 2021 ตรวจสอบความถูกต้อง 23 เม.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
วิธีการกินยาแก้แพ้ที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอันตรายจากผลข้างเคียง

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ยาแก้แพ้ จะมีคุณสมบัติหลักๆ คือ ต้านการหลั่งสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ขึ้น ซึ่งหากอาการผู้ป่วยไม่ดีขึ้น แพทย์อาจเปลี่ยนเป็นให้ฉีดวัคซีนแทน
  • ยาแก้แพ้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มดั้งเดิม และกลุ่มใหม่ ความแตกต่างจะอยู่ที่ฤทธิ์ยาของกลุ่มยาตัวใหม่จะไม่ทำให้ผู้ป่วยง่วงซึมเหมือนยากลุ่มดั้งเดิม
  • ห้ามรับประทานยาแก้แพ้ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด รวมถึงห้ามเคี้ยว หรือบดยาเพื่อรับประทาน และในผู้ป่วยแต่ละช่วงวัย จะมีปริมาณการรับประทานยาที่ต่างกันด้วย
  • คุณควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ อยู่กับเครื่องจักรอันตราย หรือสารเคมีหลังจากรับประทานยาแก้แพ้ เพราะอาการง่วงซึม ตาพร่ามัว หรืออ่อนเพลียจากยาอาจทำให้คุณไม่มีสติในการทำงาน และอาจเกิดอันตรายในภายหลังได้
  • เพื่อความปลอดภัย ก่อนจะรับประทานยาชนิดใดก็ตาม คุณควรเข้ารับการตรวจสุขภาพ และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการภูมิแพ้เสียก่อน (ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้ และภาวะแพ้ได้ที่นี่)

ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) นับเป็นยาที่หลายคนคุ้นเคย ไม่แพ้ยาพาราเซตามอลที่ช่วยแก้ปวดลดไข้ ยาธาตุน้ำแดงที่ช่วยแก้ปวดท้อง แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ

หนึ่งในยาแก้แพ้ยอดนิยม คงหนีไม่พ้น "คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)" หรืออาจจะเรียกสั้นๆ ว่า "ซีพีเอ็ม (CPM)" หรือ "คลอเฟน" นั่นเอง

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

เหตุผลที่ต้องรับประทานยาแก้แพ้

โรคภูมิแพ้ หรืออาการแพ้เกิดจากร่างกายหลั่งฮีสตามีน (Histamines) ออกมา หลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ ทำให้บางคนเกิดอาการแพ้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย 

เช่น หากเกิดที่ทางเดินหายใจ มักเกิดอาการหลอดลมตีบ หายใจไม่ออก หากเป็นผิวหนังมักเกิดอาการคัน มีผดผื่นขึ้น หากเกิดที่ทางเดินอาหารมักเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง 

วิธีบรรเทาอาการแพ้ที่นิยมในระยะแรก ได้แก่ การรับประทานยาแก้แพ้ แต่หากอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้วัคซีนภูมิแพ้แทน

ประเภทของยาแก้แพ้

ยาแก้แพ้ที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน มีด้วยกันหลักๆ 2 ประเภท ดังนี้

1. ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) 

ใช้เพื่อบรรเทาอาการแพ้ในระบบต่างๆ ของร่างกายผ่านการยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะการออกฤทธิ์ 

1.1 ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มแรก หรือกลุ่มดั้งเดิม (First Generation Antihistamine)

เป็นยากลุ่มที่สามารถเข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนภายในสมองของผู้ป่วยได้อย่างละเอียด จึงทำให้ช่วยลดการหลั่งของสารฮิสตามีนได้ มีประสิทธิภาพรักษาอาการแพ้ได้ดี เหมาะสำหรับการรักษาอาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ อาการจาม น้ำมูกไหล อาการคัน ผดผื่น ลมพิษขึ้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

อย่างไรก็ตาม ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มแรกก็ยังมีผลข้างเคียงที่คุณควรระวัง โดยตัวยาจะเข้าไปรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง จึงมักทำให้ผู้ป่วยง่วงซึม อ่อนเพลียมาก ตาพร่าเบลอ ปากแห้ง และคอแห้งได้

และเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้นอนหลับง่าย จึงเป็นสาเหตุให้ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิมมักถูกใช้เป็นยานอนหลับได้ด้วย แต่ยานี้จะต้องถูกจ่ายโดยแพทย์ หรือเภสัชกรเท่านั้น

สำหรับกลุ่มตัวอย่างยาแก้แพ้ในกลุ่มนี้ มีดังนี้

1.2 ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่ (New Generation Antihistamine)

เป็นยาที่ถูกพัฒนามาจากยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิม ซึ่งจะไม่เข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนข้างในสมองมากเท่ากลุ่มดั้งเดิม โดยจะออกฤทธิ์เข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนชนิดเอชหนึ่ง (H-1 Recepter) ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณกล้ามเนื้อเรียบ หัวใจ และทางเดินหายใจ

ซึ่งผลจากฤทธิ์ยาที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ได้เข้าไปรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่ไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกง่วงนอนมากนัก และทำให้ยากลุ่มนี้ได้รับนิยมในการบรรเทาอาการแพ้อากาศมากกว่าแพ้ผื่นคัน

สำหรับตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ จะได้แก่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจภูมิแพ้และภาวะแพ้วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 1,376 บาท ลดสูงสุด 69%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

2. ยาคลอร์เฟนิรามีน

ยาคลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine: C.P.M.) จัดเป็นยาแก้แพ้ที่เราคุ้นเคยกันดีกับการใช้บรรเทาอาการหวัด จาม ลดน้ำมูก ลดอาการคัน โดยรูปแบบของยาคลอร์เฟนิรามีนจะแบ่งออกได้หลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน เช่น

  • ยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อม เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปีลงไป แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เสมหะเหนียว ขับออกยาก
  • ยาแก้แพ้ชนิดเม็ด เป็นชนิดที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มักอยู่ในรูปแบบเม็ดกลมสีขาว หรือเหลือง

สาเหตุที่ยาตัวนี้ได้รับความนิยม ก็เพราะมีราคาถูก มีความปลอดภัยสูง มีโอกาสแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงน้อย และหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป 

อย่างไรก็ตาม หากอยู่ระหว่างตั้งครรภ์แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยาทุกชนิด มีรายงานว่า คลอร์เฟนิรามีนอาจไม่เหมาะกับหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตรเพราะตัวยาสามารถขับออกได้ทางน้ำนม

สรรพคุณของยาแก้แพ้

สรรพคุณของยาแก้แพ้มีดังต่อไปนี้

  • บรรเทาอาการหวัดคัดจมูก 
  • ลดน้ำมูก 
  • บรรเทาอาการจาม 
  • บรรเทาอาการแพ้ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้
  • บรรเทาอาการคัน และระคายเคืองจากสาเหตุต่างๆ 

วิธีรับประทานยาแก้แพ้ที่ถูกต้อง 

แพทย์หรือเภสัชกรเป็นคนจ่ายยาให้ อาจให้คำแนะนำแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนมากแล้วจะประกอบไปด้วยข้อดังต่อไปนี้

  • ควรรับประทานยาแก้แพ้ วันละ 2-4 ครั้ง หรือหลังจากรับประทานยาแก้แพ้ครั้งแรกต้องรอให้ผ่านไปอีก 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย จึงจะเริ่มรับประทานยาครั้งต่อไป
  • ไม่ควรใช้ยาแก้แพ้เพื่อให้นอนหลับ แม้มีประโยชน์ในผู้ป่วยที่มีอาการคันรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่ต้องการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
  • หากรับประทานยาแก้แพ้แล้วแต่กลับมีอาการไอเพิ่มขึ้นมาก ควรหยุดรับประทานทันที เพราะอาจทำให้เสมหะมีความเหนียวข้นมากกว่าเดิม
  • ยาแก้แพ้ควรกินตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ ห้ามเคี้ยว หรือบดตัวยาโดยพลการอย่างเด็ดขาด
  • ห้ามรับประทานยาแก้แพ้ร่วมกันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกลุ่มยาระงับประสาทเด็ดขาด เพราะจะทำให้ง่วงเพิ่มขึ้น

ปริมาณการรับประทานยาแก้แพ้ชนิดเม็ด  

ปริมาณยาอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์และเภสัชกร แต่โดยส่วนมากมักมีปริมาณการกินดังต่อไปนี้

  • เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี ต้องรับประทานยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อมเท่านั้น เพราะหากรับประทานยาแก้แพ้เกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการชักรุนแรงขึ้นได้
  • เด็กที่มีอายุ 4-7 ปี ควรกินครั้งละ 1 ใน 4 ของเม็ด
  • เด็กที่มีอายุ 7-12 ปี ควรรับประทานครั้งละครึ่งเม็ด
  • วัยผู้ใหญ่และเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป ควรรับประทานยาครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2-4 ครั้ง หรือทุก 4-6 ชั่วโมง

ปริมาณการรับประทานยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อม

  • เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่เกินวันละ 2 ครั้งต่อวันเด็กอายุ 1-4 ปี รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่เกินวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน
  • เด็กอายุ 1-4 ปี รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่เกินวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน 
  • เด็กอายุ 4-7 ปี รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนชา วันละ 2-4 ครั้ง

ข้อควรระวังจากการใช้ยาแก้แพ้ 

  • คุณควรแจ้งแพทย์ และเภสัชกรถึงประวัติโรคที่เป็น และประวัติการแพ้ยา เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ยา และผลเสียต่างๆ ที่อาจเกิดจากการใช้ยาแก้แพ้
  • ห้ามขับขี่รถ หรือควบคุมเครื่องจักร หลังรับประทานยาแก้แพ้ที่มีผลทำให้ง่วงซึม เนื่องจากอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในช่วงที่ใช้ยาแก้แพ้ชนิดง่วง เนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปเสริมฤทธิ์ยาแก้แพ้ชนิดง่วง จนอาจมีผลทำให้ยาเข้าไปกดการหายใจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • หากคุณกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยา เพราะอาจมีผลให้ทารกในครรภ์มีภาวะพิการ หรือผิดปกติแต่กำเนิด
  • หลังใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกควรบ้วนปากทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดเชื้อราในช่องปาก

บางครั้งการรับประทานยาแก้แพ้เป็นเพียงแค่หนทางในการบรรเทาอาการแพ้ที่เกิดขึ้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาไปแล้วอาการก็มีโอกาสกำเริบขึ้นได้อีก ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุด คือ การหาสาเหตุ หรือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ให้เจอก่อน แล้วหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ หรือสัมผัสปัจจัยเหล่านั้น

ซึ่งวิธีหลีกเลี่ยงนั้นทำได้ไม่ยาก โดยให้คุณหมั่นสังเกตตนเองว่า มีปฏิกิริยาต่อสารใดรอบตัวเป็นพิเศษหรือไม่ หากมีก็ให้หลีกเลี่ยง หรือกำจัดสารก่อภูมิแพ้นั้นซะ เช่น หากแพ้อาหารทะเล ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทะเล หากแพ้ฝุ่น ก็ต้องหลีกเลี่ยงการพาตัวเองไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองมาก

นอกจากนี้ควรหายาที่ดีที่สุดมาไว้กับตัวด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ 
  • ออกกำลังกายให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ

เพราะกุญแจสำคัญของการรักษาโรคที่ดี คือ สุขภาพ และภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง คุณจึงไม่ควรมองข้ามการใช้ชีวิตประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ และหมั่นใส่ใจดูแลตนเองไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายของคุณได้

ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้ และภาวะแพ้ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Fischer, Jnos; Ganellin, C. Robin (2006). Analogue-based Drug Discovery. John Wiley & Sons. p. 546. ISBN 9783527607495.
Yasuda SU, Wellstein A, Likhari P, Barbey JT, Woosley RL (1995). "Chlorpheniramine plasma concentration and histamine H1-receptor occupancy". Clin. Pharmacol. Ther. 58 (2): 210–20. doi:10.1016/0009-9236(95)90199-X. PMID 764877

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)