ยาแก้แพ้ หรือ ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) นับเป็นยาที่หลายคนคุ้นเคย ไม่แพ้ยาพาราเซตามอลที่ช่วยแก้ปวดลดไข้ ยาธาตุน้ำแดงที่ช่วยแก้ปวดท้อง แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
หนึ่งในยาแก้แพ้ยอดนิยม คงหนีไม่พ้น "คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)" หรืออาจจะเรียกสั้นๆ ว่า "ซีพีเอ็ม (CPM)" หรือ "คลอเฟน" นั่นเอง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เหตุผลที่ต้องรับประทานยาแก้แพ้
โรคภูมิแพ้ หรืออาการแพ้เกิดจากร่างกายหลั่งฮีสตามีน (Histamines) ออกมา หลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ ทำให้บางคนเกิดอาการแพ้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เช่น หากเกิดที่ทางเดินหายใจ มักเกิดอาการหลอดลมตีบ หายใจไม่ออก หากเป็นผิวหนังมักเกิดอาการคัน มีผดผื่นขึ้น หากเกิดที่ทางเดินอาหารมักเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
วิธีบรรเทาอาการแพ้ที่นิยมในระยะแรก ได้แก่ การรับประทานยาแก้แพ้ แต่หากอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้วัคซีนภูมิแพ้แทน
ประเภทของยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้ที่เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน มีด้วยกันหลักๆ 2 ประเภท ดังนี้
1. ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine)
ใช้เพื่อบรรเทาอาการแพ้ในระบบต่างๆ ของร่างกายผ่านการยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามลักษณะการออกฤทธิ์
1.1 ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มแรก หรือกลุ่มดั้งเดิม (First Generation Antihistamine)
เป็นยากลุ่มที่สามารถเข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนภายในสมองของผู้ป่วยได้อย่างละเอียด จึงทำให้ช่วยลดการหลั่งของสารฮิสตามีนได้ มีประสิทธิภาพรักษาอาการแพ้ได้ดี เหมาะสำหรับการรักษาอาการเยื่อจมูกอักเสบเนื่องจากภูมิแพ้ อาการจาม น้ำมูกไหล อาการคัน ผดผื่น ลมพิษขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อย่างไรก็ตาม ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มแรกก็ยังมีผลข้างเคียงที่คุณควรระวัง โดยตัวยาจะเข้าไปรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง จึงมักทำให้ผู้ป่วยง่วงซึม อ่อนเพลียมาก ตาพร่าเบลอ ปากแห้ง และคอแห้งได้
และเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้นอนหลับง่าย จึงเป็นสาเหตุให้ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิมมักถูกใช้เป็นยานอนหลับได้ด้วย แต่ยานี้จะต้องถูกจ่ายโดยแพทย์ หรือเภสัชกรเท่านั้น
สำหรับกลุ่มตัวอย่างยาแก้แพ้ในกลุ่มนี้ มีดังนี้
- ไซโพรเฮปทาดีน (Cyproheptadine)
- โปรเมทธาซีน (Promethazine)
- คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)
- ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine)
1.2 ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่ (New Generation Antihistamine)
เป็นยาที่ถูกพัฒนามาจากยาต้านฮิสตามีนกลุ่มดั้งเดิม ซึ่งจะไม่เข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนข้างในสมองมากเท่ากลุ่มดั้งเดิม โดยจะออกฤทธิ์เข้าไปจับตัวรับฮิสตามีนชนิดเอชหนึ่ง (H-1 Recepter) ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณกล้ามเนื้อเรียบ หัวใจ และทางเดินหายใจ
ซึ่งผลจากฤทธิ์ยาที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ได้เข้าไปรบกวนระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มใหม่ไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกง่วงนอนมากนัก และทำให้ยากลุ่มนี้ได้รับนิยมในการบรรเทาอาการแพ้อากาศมากกว่าแพ้ผื่นคัน
สำหรับตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ จะได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- เซทิริซีน (Cetirizine)
- ลอราทาดีน (Loratadine)
- เฟกโซเฟนาดีน(Fexofenadine)
2. ยาคลอร์เฟนิรามีน
ยาคลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine: C.P.M.) จัดเป็นยาแก้แพ้ที่เราคุ้นเคยกันดีกับการใช้บรรเทาอาการหวัด จาม ลดน้ำมูก ลดอาการคัน โดยรูปแบบของยาคลอร์เฟนิรามีนจะแบ่งออกได้หลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน เช่น
- ยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อม เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปีลงไป แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เสมหะเหนียว ขับออกยาก
- ยาแก้แพ้ชนิดเม็ด เป็นชนิดที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มักอยู่ในรูปแบบเม็ดกลมสีขาว หรือเหลือง
สาเหตุที่ยาตัวนี้ได้รับความนิยม ก็เพราะมีราคาถูก มีความปลอดภัยสูง มีโอกาสแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงน้อย และหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป
อย่างไรก็ตาม หากอยู่ระหว่างตั้งครรภ์แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยาทุกชนิด มีรายงานว่า คลอร์เฟนิรามีนอาจไม่เหมาะกับหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตรเพราะตัวยาสามารถขับออกได้ทางน้ำนม
สรรพคุณของยาแก้แพ้
สรรพคุณของยาแก้แพ้มีดังต่อไปนี้
- บรรเทาอาการหวัดคัดจมูก
- ลดน้ำมูก
- บรรเทาอาการจาม
- บรรเทาอาการแพ้ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้
- บรรเทาอาการคัน และระคายเคืองจากสาเหตุต่างๆ
วิธีรับประทานยาแก้แพ้ที่ถูกต้อง
แพทย์หรือเภสัชกรเป็นคนจ่ายยาให้ อาจให้คำแนะนำแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยส่วนมากแล้วจะประกอบไปด้วยข้อดังต่อไปนี้
- ควรรับประทานยาแก้แพ้ วันละ 2-4 ครั้ง หรือหลังจากรับประทานยาแก้แพ้ครั้งแรกต้องรอให้ผ่านไปอีก 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย จึงจะเริ่มรับประทานยาครั้งต่อไป
- ไม่ควรใช้ยาแก้แพ้เพื่อให้นอนหลับ แม้มีประโยชน์ในผู้ป่วยที่มีอาการคันรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่ต้องการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
- หากรับประทานยาแก้แพ้แล้วแต่กลับมีอาการไอเพิ่มขึ้นมาก ควรหยุดรับประทานทันที เพราะอาจทำให้เสมหะมีความเหนียวข้นมากกว่าเดิม
- ยาแก้แพ้ควรกินตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ ห้ามเคี้ยว หรือบดตัวยาโดยพลการอย่างเด็ดขาด
- ห้ามรับประทานยาแก้แพ้ร่วมกันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกลุ่มยาระงับประสาทเด็ดขาด เพราะจะทำให้ง่วงเพิ่มขึ้น
ปริมาณการรับประทานยาแก้แพ้ชนิดเม็ด
ปริมาณยาอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์และเภสัชกร แต่โดยส่วนมากมักมีปริมาณการกินดังต่อไปนี้
- เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี ต้องรับประทานยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อมเท่านั้น เพราะหากรับประทานยาแก้แพ้เกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการชักรุนแรงขึ้นได้
- เด็กที่มีอายุ 4-7 ปี ควรกินครั้งละ 1 ใน 4 ของเม็ด
- เด็กที่มีอายุ 7-12 ปี ควรรับประทานครั้งละครึ่งเม็ด
- วัยผู้ใหญ่และเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป ควรรับประทานยาครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2-4 ครั้ง หรือทุก 4-6 ชั่วโมง
ปริมาณการรับประทานยาแก้แพ้ชนิดน้ำเชื่อม
- เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่เกินวันละ 2 ครั้งต่อวันเด็กอายุ 1-4 ปี รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่เกินวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน
- เด็กอายุ 1-4 ปี รับประทานครั้งละครึ่งช้อนชา ไม่เกินวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน
- เด็กอายุ 4-7 ปี รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนชา วันละ 2-4 ครั้ง
ข้อควรระวังจากการใช้ยาแก้แพ้
- คุณควรแจ้งแพทย์ และเภสัชกรถึงประวัติโรคที่เป็น และประวัติการแพ้ยา เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ยา และผลเสียต่างๆ ที่อาจเกิดจากการใช้ยาแก้แพ้
- ห้ามขับขี่รถ หรือควบคุมเครื่องจักร หลังรับประทานยาแก้แพ้ที่มีผลทำให้ง่วงซึม เนื่องจากอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในช่วงที่ใช้ยาแก้แพ้ชนิดง่วง เนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปเสริมฤทธิ์ยาแก้แพ้ชนิดง่วง จนอาจมีผลทำให้ยาเข้าไปกดการหายใจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- หากคุณกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยา เพราะอาจมีผลให้ทารกในครรภ์มีภาวะพิการ หรือผิดปกติแต่กำเนิด
- หลังใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกควรบ้วนปากทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดเชื้อราในช่องปาก
บางครั้งการรับประทานยาแก้แพ้เป็นเพียงแค่หนทางในการบรรเทาอาการแพ้ที่เกิดขึ้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาไปแล้วอาการก็มีโอกาสกำเริบขึ้นได้อีก ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุด คือ การหาสาเหตุ หรือปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ให้เจอก่อน แล้วหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ หรือสัมผัสปัจจัยเหล่านั้น
ซึ่งวิธีหลีกเลี่ยงนั้นทำได้ไม่ยาก โดยให้คุณหมั่นสังเกตตนเองว่า มีปฏิกิริยาต่อสารใดรอบตัวเป็นพิเศษหรือไม่ หากมีก็ให้หลีกเลี่ยง หรือกำจัดสารก่อภูมิแพ้นั้นซะ เช่น หากแพ้อาหารทะเล ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทะเล หากแพ้ฝุ่น ก็ต้องหลีกเลี่ยงการพาตัวเองไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองมาก
นอกจากนี้ควรหายาที่ดีที่สุดมาไว้กับตัวด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ
เพราะกุญแจสำคัญของการรักษาโรคที่ดี คือ สุขภาพ และภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง คุณจึงไม่ควรมองข้ามการใช้ชีวิตประจำวันที่ดีต่อสุขภาพ และหมั่นใส่ใจดูแลตนเองไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายของคุณได้
ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้ และภาวะแพ้ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android