อาการปวดหลัง (Back Pain)
เมื่อมีอาการปวดหลัง มักเกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาที่ส่วนต่างๆ ของหลัง เช่น
- เอ็น (Ligaments)
- กล้ามเนื้อ
- เส้นประสาท
- กระดูกสันหลัง (Vertebrae)
ข้อมูลจากสมาคมประสาทศัลยแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ประมาณ 75-85% ของประชากรเคยมีอาการปวดหลัง และประมาณ 50% ของผู้ที่มีอาการปวดหลังจะมีอาการมากกว่า 1 ครั้งต่อปี
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ประมาณ 90% ของผู้ที่มีอาการปวดหลังทั้งหมด จะมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด เพราะฉะนั้นอาการปวดหลังโดยทั่วไปจึงไม่จัดอยู่ในโรคร้ายแรง หรือความผิดปกติของร่างกาย
อาการปวดหลัง เป็นอย่างไร?
อาการปวดหลัง อาจเกิดขึ้นได้หลายอาการ เช่น
- ปวดตื้อๆ ที่บริเวณหลังส่วนล่าง
- เจ็บปวดเหมือนถูกอะไรทิ่มแทงที่ร้าวลงมาที่ขา
- ไม่สามารถยืนตัวตรงโดยไม่ปวดได้
- ระยะการเคลื่อนไหวลดลง และความสามารถในการงอหลังน้อยลง
อาการปวดหลังที่เกิดจากกล้ามเนื้อฉีกขาดหรือใช้งานผิดปกติ มักปวดเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็สามารถปวดนานหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์ได้ และจะถือว่ามีอาการปวดหลังเรื้อรัง เมื่อปวดติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน
อาการปวดหลังที่อาจบ่งชี้ถึงการเป็นโรคร้ายแรง
หากอาการปวดหลังไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีอาการ และมีอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการปวดหลังของคุณ อาจเกิดจากโรคร้ายแรงอื่นๆ
- ไม่สามารถควบคุมการทำงานของลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะได้
- ชา เสียวซ่าน อ่อนแรงที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง
- มีอาการปวดหลังเกิดขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บ เช่น หกล้ม หรือมีแรงกระแทกที่หลัง
- มีอาการปวดมาก ต่อเนื่อง และมีอาการแย่ลงตอนกลางคืน
- น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการปวดร่วมกับความรู้สึกตุบๆ ในช่องท้อง
- มีไข้ร่วมกับอาการปวดหลัง
อาการปวดหลังกับการตั้งครรภ์
อาการปวดหลังขณะตั้งครรภ์ เป็นอาการที่สามารถพบได้บ่อย โดยสาเหตุหลักๆ ของอาการปวดหลังขณะตั้งครรภ์ ได้แก่
- จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป : เมื่อทารกในครรภ์เติบโตขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทำให้กระดูกสันหลังและหลังของคุณต้องแบกรับน้ำหนักมากขึ้น
- น้ำหนักตัวเพิ่ม : น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงกระทำที่หลังและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว จนทำให้เกิดอาการปวดหลัง
- ฮอร์โมน : เมื่อตั้งครรภ์ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเพื่อคลายเส้นเอ็นที่ยึดกระดูกเชิงกราน และกระดูกสันหลังระดับเอว ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้อาจทำให้กระดูกสันหลังของคุณเคลื่อนที่ จึงทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและมีอาการปวดหลังตามมา
อาการปวดหลังจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection (UTI)) มักเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์หรือเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจเป็นไต ท่อไต ท่อปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะ คุณอาจรู้สึกปวดหลัง และยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะแสบขัด
- มีเลือดออกในปัสสาวะ
- ปัสสาวะขุ่น
- ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- ปัสสาวะน้อย แม้จะรู้สึกปวดปัสสาวะมากก็ตาม
สาเหตุของอาการปวดหลัง
สาเหตุของอาการปวดหลังที่พบบ่อย คือ
- กล้ามเนื้อฉีก (Strain) : เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไป จึงทำให้รู้สึกปวดและเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง พบได้บ่อยในผู้ที่ยกของหนักไม่ถูกท่า หรือเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อกะทันหันซึ่งไม่ใช่ท่าทางที่ถูกต้อง
- โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท (Herniated Disks) : จะมีอาการปวดมาก ถ้าหมอนรองกระดูกเคลื่อนมาทับเส้นประสาทที่วิ่งจากหลังไปยังขา (Sciatic Nerve) โดยอาการเพิ่มเติมที่พบคือ
- ปวดขา
- เสียวซ่าน และชาที่ขา
- ข้อเสื่อม (Arthritis) หรือข้อกระดูกสันหลังเสื่อม (Spinal Osteoarthritis) : เกิดจากความเสียหายหรือการลดลงของกระดูกอ่อนของข้อที่บริเวณหลังส่วนล่าง เมื่อเวลาผ่านไป ภาวะนี้จะทำให้เกิดการตีบแคบของโพรงกระดูกสันหลัง (Spinal Stenosis) ได้
- กระดูกพรุน (Osteoporosis) : การสูญเสียมวลกระดูก (Bone Density) และกระดูกบางลง ทำให้กระดูกสันหลังอาจแตกหักได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังอย่างรุนแรง
สาเหตุอื่นๆ ของอาการปวดหลัง
นอกจากสาเหตุที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้มีอาการปวดหลัง แต่เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย ได้แก่
- โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน (Degenerative Spondylolisthesis)
- สูญเสียการทำงานของเส้นประสาทที่บริเวณไขสันหลังส่วนล่าง เรียกว่า กลุ่มอาการรากประสาทหางม้า (Cauda Equina Syndrome) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
- การติดเชื้อราหรือติดเชื้อแบคทีเรียที่กระดูกสันหลัง เช่น เชื้อ Staphylococcus, E. coli หรือเชื้อวัณโรค (Tuberculosis)
- มะเร็ง หรือก้อนเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง ซึ่งเกิดขึ้นในกระดูกสันหลัง
- การติดเชื้อที่ไต หรือนิ่วในไต
การวินิจฉัยอาการปวดหลัง
การตรวจของแพทย์ ที่จำเป็นสำหรับการวินิจฉัยอาการปวดหลัง มีดังนี้
- ตรวจความสามารถในการยืน และเดิน
- ตรวจระยะเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง (Spine’s Range of Motion)
- ตรวจการตอบสนองที่เรียกว่า รีเฟล็กซ์ (Reflexes)
- ตรวจความแข็งแรงของขา
- ตรวจความสามารถในการรับความรู้สึกที่ขา
หากแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นโรคที่ร้ายแรง แพทย์อาจตรวจด้านอื่นๆ เพิ่มเติม ได้แก่
- การตรวจเลือด และตรวจปัสสาวะ เพื่อหาสาเหตุจากโรคอื่นๆ
- การตรวจเอกซเรย์กระดูกสันหลัง เพื่อดูการเรียงตัวของกระดูก และดูว่ามีการแตกหักหรือไม่
- การตรวจซีทีสแกน (CT Scan) หรือการถ่ายภาพทางการแพทย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging (MRI)) เพื่อประเมินหมอนรองกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ เอ็น เส้นประสาท และหลอดเลือด
- ตรวจสแกนกระดูก (Bone Scan) เพื่อดูความผิดปกติในเนื้อเยื่อกระดูก
- การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography (EMG)) เพื่อทดสอบการนำสัญญาณประสาท
การรักษาอาการปวดหลัง
ผู้ที่มีอาการปวดหลังทั่วไป สามารถซื้อยาแก้ปวดจากร้านขายยาทั่วไปมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดได้ แต่ในผู้ที่มีอาการปวดหลังรุนแรง อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์
อาการปวดหลังส่วนใหญ่สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory medications (NSAIDs)) เช่น
ส่วนยาแก้ปวดอื่นๆ เช่น Paracetamol สามารถใช้ได้ เพียงแต่ไม่มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ เมื่อยาหมดฤทธิ์ก็อาจจะกลับมาปวดเหมือนเดิม
ยาชนิดอื่นๆ สำหรับรักษาอาการปวดหลัง
- ยาทาภายนอก : ยาหลายชนิดที่มีส่วนประกอบของ Ibuprofen และ Lidocaine ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดได้ดี
- ยาแก้ปวดกลุ่ม Opioids : เป็นยาแก้ปวดชนิดแรง ซึ่งแพทย์จะต้องเป็นผู้สั่งจ่ายเท่านั้น เช่น ยา Oxycodone เป็นต้น ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์ที่สมองและร่างกายเพื่อบรรเทาอาการปวด ควรใช้ยาชนิดนี้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดยา
- ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxants) : เป็นยาที่ใช้รักษาอาการปวดหลังได้ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อร่วมกับอาการปวด ยานี้จะออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง เพื่อบรรเทาอาการปวด
- ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressants) : บางกรณี แพทย์อาจสั่งยารักษาโรคซึมเศร้าให้ เพื่อรักษาอาการปวดหลัง หากคุณมีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง แพทย์อาจสั่งยา Amitriptyline ที่ออกฤทธิ์ที่กลไกการตอบสนองต่อความเจ็บปวดส่วนอื่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะใช้ได้ผลดีกับอาการปวดที่มีสาเหตุมาจากเส้นประสาท (Nerve-Related Pain)
- ยาฉีดสเตียรอยด์ (Steroid Injections) : ในกรณีที่มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยา Cortisone ซึ่งเป็นยาสเตียรอยด์ชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน
การรักษาอาการปวดหลังโดยการผ่าตัด
การรักษาด้วยการผ่าตัดถือเป็นการรักษาทางเลือกสุดท้าย และมักใช้วิธีนี้ในกรณีที่มีความผิดปกติทางโครงสร้าง ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการบำบัด ได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ผู้ที่มีอาการปวดอย่างต่อเนื่องและรุนแรง
- มีการกดทับของเส้นประสาทซึ่งเป็นสาเหตุของกล้ามเนื้ออ่อนแรง
แพทย์อาจทำการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Spinal Fusion) เพื่อเชื่อมข้อกระดูกสันหลังที่มีอาการปวดตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป ซึ่งจะทำให้กระดูกมีความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยกำจัดอาการปวดที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลัง
นอกจากนี้แพทย์อาจทำการผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังบางส่วน เพื่อรักษาอาการปวดหลังที่เกิดจากโรคกระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative Bone Diseases)
การแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine)
การแพทย์ทางเลือกที่อาจช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ได้แก่
- การฝังเข็ม (Acupuncture)
- การนวด
- การรักษาด้วยไคโรแพรคติก หรือการจัดกระดูก (Chiropractic Adjustments)
- การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy)
- การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย
ก่อนจะเข้ารับการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก คุณควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันก่อนว่า สามารถทำได้หรือไม่
การบรรเทาอาการปวดหลังด้วยตนเอง
มีวิธีการบรรเทาอาการปวดหลังด้วยตนเองหลายวิธี ที่สามารถทำร่วมกับการรักษาจากแพทย์ เช่น
- การประคบร้อน / ประคบเย็น : การประคบเย็นจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบในช่วงที่มีอาการปวดเฉียบพลัน ส่วนการประคบร้อนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดในช่วงที่การอักเสบดีขึ้นแล้ว โดยให้สลับกันประคบระหว่างความร้อนและความเย็น
- การออกกำลังกาย : การออกกำลังกายจะช่วยแก้ไขท่าทางของร่างกาย (Posture) และช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง หรือเรียกว่า กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) โดยสามารถปรึกษานักกายภาพบำบัดซึ่งจะช่วยแนะนำวิธีการออกกำลังกายเพื่อแก้อาการปวดหลังให้แก่คุณ
- น้ำมันหอมระเหย (Essential Oils) : จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันลาเวนเดอร์ (Lavender Essential Oil) หรือ ขี้ผึ้งที่มีส่วนประกอบของสารแคปไซซิน (Capsaicin) อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้
- การแช่ในอ่างน้ำร้อน : การแช่ในอ่างน้ำร้อนจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดี
การป้องกันอาการปวดหลัง
วิธีการเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง และช่วยป้องกันไม่ให้อาการปวดหลังเพิ่มขึ้นได้
- ไม่ถือของหนัก : กระเป๋าต่างๆ เช่น กระเป๋าใส่เอกสาร กระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค มีส่วนเพิ่มแรงกระทำต่อลำคอและกระดูกสันหลัง จึงควรเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าที่สามารถกระจายน้ำหนักได้ เช่น กระเป๋าสะพายหลัง หากเป็นไปได้ แนะนำให้ใช้กระเป๋าล้อลาก เพื่อไม่ให้มีน้ำหนักกระทำที่แผ่นหลังของคุณ
- การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว : การสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณนี้จะช่วยลดอาการปวด ลดโอกาสกล้ามเนื้อฉีกขาด และการบาดเจ็บที่หลัง โดยแนะนำให้ออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- แก้ไขท่าทางของตนเองให้ถูกต้อง : การเคลื่อนไหวบางท่าอาจสร้างแรงกดไปที่กระดูกสันหลังโดยไม่จำเป็น จึงทำให้เกิดอาการปวดและอาการบาดเจ็บขึ้น พยายามหมุนหัวไหล่ไปด้านหลังเป็นประจำ และนั่งหลังตรงอยู่เสมอ เพื่อลดอาการปวดหลัง
- เปลี่ยนรองเท้า : เลือกรองเท้าที่สวมใส่สบาย ส้นเตี้ย หากจำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูง ความสูงของรองเท้าสูงสุดที่แนะนำคือไม่เกิน 1 นิ้ว
- ยืดเหยียดร่างกายเป็นประจำ การทำกิจกรรมเดิมทุกวันๆ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้า และเพิ่มโอกาสฉีกขาดของกล้ามเนื้อได้ ควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดในกล้ามเนื้อ และเพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการปวดหลัง
ดูแพ็กเกจนวดผ่อนคลาย เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android