ท้องร่วง (Diarrhoea) คืออาการที่ทำให้คุณถ่ายบ่อยหรือถ่ายคล่องกว่าปกติ ผู้คนส่วนมากจะประสบกับอาการนี้เป็นครั้งคราวอยู่แล้วจึงไม่ใช่อาการหรือภาวะที่น่ากังวล แต่ก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัวไปบ้าง ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานสองสามวันถึงหนึ่งสัปดาห์
อะไรเป็นสาเหตุของท้องร่วง?
ท้องร่วงเกิดจากหลายสาเหตุ แต่กรณีผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ส่วนมากจะเกิดมาจากการติดเชื้อที่ลำไส้ (bowel infection (gastroenteritis))
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
โดยการติดเชื้อที่ลำไส้นี้เกิดจาก:
- เชื้อไวรัส: เช่นโนโรไวรัส (norovirus) หรือโรตาไวรัส (rotavirus)
- เชื้อแบคทีเรีย: เช่น campylobacter กับ Escherichia coli (E. coli) ซึ่งได้รับเชื้อจากอาหารปนเปื้อน
- ปรสิต: เช่นปรสิตต้นเหตุของโรค giardiasis ที่อาศัยอยู่ในน้ำ
การติดเชื้อเหล่านี้ยังสามารถเกิดขึ้นระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยตามท้องที่ต่ำ ซึ่งจะเรียกภาวะเช่นนี้ว่าโรคท้องเสียจากการเดินทาง (travellers' diarrhoea)
ท้องร่วงยังสามารถเกิดขึ้นมาจากภาวะวิตกกังวล (anxiety) ภาวะแพ้อาหาร (food allergy) การใช้ยา หรือภาวะระยะยาวต่าง ๆ เช่นกลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome - IBS) เป็นต้น
ควรทำเช่นไรเมื่อมีอาการท้องร่วง?
ท้องร่วงส่วนมากจะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วันแม้จะไม่ได้รับการรักษา และคุณอาจไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม อาการท้องร่วงก็สามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ (dehydration) ได้ ดังนั้นคุณควรดื่มน้ำระหว่างที่มีอาการให้มาก ๆ หรือจิบทีละนิดแต่บ่อยครั้งจนกว่าคุณจะหายจากท้องร่วง และจะยิ่งสำคัญมากขึ้นหากเป็นเด็กเล็กหรือทารก
เภสัชกรอาจแนะนำผงน้ำตาลเกลือแร่ หรือ oral rehydration solution (ORS) ในกรณีที่คุณหรือลูกของคุณมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำเป็นพิเศษ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
คุณควรกลับไปทานอาหารแข็งเมื่อร่างกายคุณพร้อมแล้ว หากคุณกำลังใช้นมบุตรหรือต้องให้ขวดนมแก่ทารกที่มีอาการท้องร่วง คุณก็สามารถป้อนอาหารพวกเขาตามปรกติ
ควรหยุดอยู่บ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการท้องร่วงเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ยาลดอาการท้องร่วงอย่างเช่น loperamide สามารถหาซื้อได้ทั่วไป กระนั้นยาเหล่านี้อาจไม่จำเป็นเท่าไรนัก และส่วนมากก็ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
ให้ติดต่อสอบถามโรงพยาบาลทันทีที่คุณมีความกังวลเกี่ยวกับอาการของคุณหรือของลูกคุณ
คุณควรเข้าพบแพทย์ทันทีที่ประสบกับอาการท้องร่วงบ่อยครั้งหรือมีความรุนแรงมาก หรือมีอาการอื่น ๆ เช่น:
- มีเลือดปนอุจจาระของคุณหรือของลูก
- มีอาการอาเจียนเรื้อรัง
- ปวดท้องรุนแรงหรือต่อเนื่อง
- น้ำหนักลด
- มีสัญญาณของภาวะขาดน้ำ: เช่นวิงเวียน ปัสสาวะบ่อย และจะหมดสติ อุจจาระมีสีดำหรือคล้ำมาก: อาจเป็นสัญญาณของภาวะเลือดออกภายในกระเพาะ
คุณควรติดต่อแพทย์ทันทีที่อาการท้องร่วงของลูกหรือของคุณเกิดขึ้นเรื้อรัง เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ร้ายแรงกว่า ซึ่งโดยปรกติแล้ว อาการท้องร่วงควรจะหายไปเองภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
การป้องกันภาวะท้องร่วง
ท้องร่วงมักเกิดมาจากการติดเชื้อ คุณจึงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการนี้ได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยให้ดีอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น คุณควร: ล้างมือให้สะอาดหมดจดด้วยสบู่และน้ำอุ่นหลังทำธุระและก่อนรับประทานหรือจัดเตรียมอาหาร ทำความสะอาดห้องน้ำรวมไปถึงด้ามจับประตูและฝารองนั่งด้วยยาฆ่าเชื้อหลังจากมีอาการท้องร่วงทุกครั้ง เลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู ถ้วยชาม หรือช้อนส้อมร่วมกับผู้อื่นในบ้าน
อีกทั้งการรักษาความสะอาดระหว่างเดินทางก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำเช่นกัน เช่นเลี่ยงการใช้น้ำก๊อกที่ไม่ปลอดภัย และไม่ทานอาหารที่ปรุงไม่สุก
อาการของภาวะท้องร่วง
ท้องร่วงคืออาการที่ทำให้คุณถ่ายบ่อยหรือถ่ายเหลว ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น: ปวดท้อง คลื่นไส้และอาเจียน ปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร
การเสียน้ำปริมาณมากเกินไปผ่านการอุจจาระยังสามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้เช่นกัน ซึ่งนับว่าเป็นภาวะอันตรายหากผู้ป่วยไม่สังเกตอาการตนเองและจัดการรักษาให้ทันท่วงที
สัญญาณของภาวะขาดน้ำ
สัญญาณของภาวะขาดน้ำในเด็กมีดังนี้: ฉุนเฉียวหรือง่วงนอน ปัสสาวะไม่บ่อย ผิวซีด มือและเท้าเย็น ดูไม่สบายเนื้อสบายตัว
สัญญาณของภาวะขาดน้ำในผู้ใหญ่มีดังนี้: เหน็ดเหนื่อย และหมดเรี่ยวแรง ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ รู้สึกเวียนศีรษะ ลิ้นแห้ง ดวงบุ๋มเข้าไป (sunken eyes) ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นถี่
ควรมองหาคำแนะนำทางการแพทย์เมื่อใด?
ควรติดต่อแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำทันทีที่คุณมีความกังวลเกี่ยวกับอาการของคุณหรือลูกของคุณ
ทารก
ติดต่อแพทย์ทันทีที่ลูกของคุณ: มีอาการท้องร่วงติดกัน 6 ครั้งขึ้นไปภายในช่วง 24 ชั่วโมง ท้องร่วงและอาเจียนพร้อมกัน ถ่ายเหลว มีเลือดปนอุจจาระ มีอาการปวดบิดที่ท้องรุนแรงหรือต่อเนื่อง มีอาการของภาวะขาดน้ำ
คุณควรต้องติดต่อแพทย์ด้วยหากว่าลูกของคุณประสบกับอาการท้องร่วงเรื้อรังเกิน 5 ถึง 7 วัน
ผู้ใหญ่
ติดต่อแพทย์ทันทีที่คุณ: มีเลือดปนอุจจาระ มีการอาเจียนเรื้อรัง น้ำหนักลดลงอย่างมาก คุณถ่ายเหลวปริมาณมาก เกิดอาการขึ้นในช่วงกลางคืนจนรบกวนการนอนหลับ คุณเพิ่งใช้ยาปฏิชีวนะ หรือได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้ คุณมีอาการของภาวะขาดน้ำ มีอุจจาระสีดำหรือคล้ำมาก
คุณควรต้องติดต่อแพทย์ด้วยหากว่าคุณประสบกับอาการท้องร่วงเรื้อรังเกิน 2 ถึง 4 วันไปแล้ว
สาเหตุของภาวะท้องร่วง
ท้องร่วงมักจะเกิดขึ้นเมื่อลำไส้ไม่สามารถดูดซับของเหลวจากของเสียได้ หรือเมื่อมีของเหลวเข้าไปในลำไส้มากเกินไปจนทำให้เกิดอุจจาระเหลว
ภาวะท้องร่วงระยะสั้น
ท้องร่วงมักเป็นอาการของภาวะติดเชื้อในลำไส้ (gastroenteritis) ซึ่งเกิดจาก: เชื้อไวรัส: เช่นโนโรไวรัส (norovirus) หรือโรตาไวรัส (rotavirus) เชื้อแบคทีเรีย: เช่น campylobacter Clostridium difficile (C. difficile) salmonella หรอ Escherichia coli (E. coli) ซึ่งทั้งหมดล้วนทำให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษ (food poisoning) ปรสิต: เช่นปรสิตที่ทำให้เกิดโรค giardiasis
สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะท้องร่วงระยะสั้นมีดังนี้: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ภาวะแพ้อาหาร ไส้ติ่งอักเสบ (appendicitis) ความเสียหายที่ผนังเยื่อบุลำไส้ที่มาจากการบำบัดด้วยรังสี
ยา
ท้องร่วงสามารถเกิดเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้เช่นกัน: ยาปฏิชีวนะ ยาแอนตาซิด (antacid) ที่มีส่วนประกอบของแมกนีเซียม ยาสำหรับเคมีบำบัดบางประเภท ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs - NSAID) selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) สแตติน (statins) หรือยาลดคอเลสเตอรอล ยาระบาย (laxatives) หรือยาที่ใช้ในการขับของเสียออกจากลำไส้
ยาแต่ละประเภทจะมีฉลากยาติดมาที่ระบุว่ามีอาการท้องเสียเป็นผลข้างเคียงหรือไม่
ภาวะท้องร่วงระยะยาว
ภาวะที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงเรื้อรังมีดังนี้:
กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome - IBS): ภาวะที่ยังคงไม่เป็นที่ชัดเจนมากนักที่ส่งผลต่อการทำงานตามปรกติของลำไส้
- โรคลำไส้อักเสบ (inflammatory bowel disease): ภาวะที่ทำให้สำไส้อักเสบ เช่นโรคโครห์น (Crohn's disease) และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล (ulcerative colitis)
- โรคแพ้กลูเตน (coeliac disease): ภาวะระบบย่อยอาหารที่เกิดปฏิกิริยากับกลูเตน
- ภาวะกรดน้ำดีดูดซึมผิดปรกติ (bile acid malabsorption): ภาวะที่น้ำดีที่ผลิตจากตับเข้าไปสะสมภายในระบบย่อยอาหาร
- โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (chronic pancreatitis): ภาวะอักเสบของตับอ่อน
- โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ (diverticular disease): โรคที่ทำให้เกิดถุงขนาดเล็กบนเยื่อบุลำไส้
- มะเร็งลำไส้ใหญ่: โรคนี้ยังทำให้เกิดเลือดออกปนอุจจาระและท้องร่วงได้เช่นกัน
อาการท้องร่วงเรื้อรังยังอาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารได้ด้วย เช่นการผ่าตัดกระเพาะอาหาร (gastrectomy) หรือก็คือหัตถกรรมกำจัดส่วนของกระเพาะอาหารออกเพื่อรักษาโรคร้าย
การรักษาภาวะท้องร่วง
ภาวะท้องร่วงส่วนมากจะดีขึ้นเองภายในหนึ่งสัปดาห์ และคุณไม่จำเป็นต้องเข้าพบแพทย์ ซึ่งข้อมูลต่อไปนี้จะอธิบายสิ่งที่แพทย์สามารถช่วยคุณได้ในกรณีที่คุณไปพบแพทย์
การระบุหาสาเหตุของภาวะท้องร่วง
ในการหาสาเหตุของอาการท้องร่วง แพทย์จะสอบถามประเด็นต่าง ๆ กับคุณเช่น: อุจจาระของคุณมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร?: ยกตัวอย่างเช่น มีการถ่ายเหลว คุณมีเลือดปนออกมาหรือไม่ เป็นต้น คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยแค่ไหน? คุณมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่? เช่นมีไข้สูง เป็นต้น คุณสัมผัสกับผู้ที่มีอาการท้องร่วงมาก่อน หรือเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศหรือไม่? คุณทานอาหารนอกบ้านเมื่อไม่นานมานี้หรือไม่? คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่หรือไม่ และประสบกับความเปลี่ยนแปลงใด ๆ จากยาหรือไม่? คุณมีภาวะเครียดหรือวิตกกังวลเมื่อไม่นานมานี้หรือไม่?
การตรวจตัวอย่างอุจจาระ
แพทย์อาจขอเก็บตัวอย่างอุจจาระของคุณเพื่อนำไปวิเคราะห์หาสัญญาณของภาวะติดเชื้อต่าง ๆ ในกรณีที่คุณ: มีอาการท้องร่วงยาวนานกว่าสองสัปดาห์ มีเลือดหรือหนองในอุจจาระ มีอาการที่ส่งผลต่อทั้งร่างกาย เช่นไข้ หรือภาวะขาดน้ำ มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เช่นจาก HIV เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เพิ่งเข้าโรงพยาบาลหรือกำลังใช้ยาปฏิชีวนะอยู่
การตรวจเลือด
แพทย์อาจทำการตรวจเลือดในกรณีที่คาดว่าอาการท้องร่วงของคุณเกิดจากภาวะสุขภาพอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การใช้เลือดของคุณทดสอบหาสัญญาณภาวะอักเสบของโรคลำไส้อักเสบ เป็นต้น
การตรวจทวารหนัก
แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้ารับการตรวจ digital rectal examination (DRE) หากว่าคุณมีอาการท้องร่วงที่หาสาเหตุไม่ได้ โดยเฉพาะหากคุณมีอายุ 50 ปีขึ้นไป
ระหว่างกระบวนการ DRE แพทย์จะสอดนิ้วที่สวมถุงมือเข้าไปในทวารหนักของคุณเพื่อสัมผัสหาความผิดปรกติต่าง ๆ
การตรวจสอบเพิ่มเติม
หากคุณมีอาการท้องร่วงเรื้อรัง และแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุได้ แพทย์อาจส่งคุณไปโรงพยาบาลเพื่อรับการทดสอบเพิ่มเติมต่าง ๆ ดังนี้:
การตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและทวารหนัก (sigmoidoscopy): เป็นการใช้เครื่องมือ sigmoidoscope (ท่อเรียวยาวและยืดหยุ่นที่มีไฟฉายและกล้องติดอยู่ที่ปลาย) สอดเข้าทวารหนักและดูภายในลำไส้ใหญ่ของคุณ
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy): เป็นกระบวนการที่คล้ายกับข้างต้นแต่จะใช้ท่อที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เรียกว่า colonoscope ในการตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด
การรักษาภาวะท้องร่วง
ท้องร่วงมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วันโดยไม่ต้องทำการรักษาใด ๆ ซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้หากสาเหตุของอาการเกิดจากการติดเชื้อ
สำหรับเด็ก ภาวะท้องร่วงมักจะใช้เวลา 5 ถึง 7 วันก่อนจะหายไป และมักจะไม่อยู่นานกว่า 2 สัปดาห์
สำหรับผู้ใหญ่ ภาวะท้องร่วงมักจะดีขึ้นภายใน 2 ถึง 4 วัน แต่การติดเชื้ออาจใช้เวลานานประมาณหนึ่งสัปดาห์ขึ้นไปกว่าจะหายไป
ในขณะที่คุณกำลังรอให้ร่างกายฟื้นตัวจากการท้องร่วง คุณสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยหลักปฏิบัติต่อไปนี้
การดื่มน้ำ
สิ่งที่พึงกระทำคือการดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะหากคุณมีการอาเจียนร่วมด้วย คุณสามารถใช้วิธีจิบน้ำทีละน้อยแต่บ่อยครั้งก็ได้
โดยปรกติแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มของเหลวที่มีน้ำทั้งน้ำ เกลือ และน้ำตาล ยกตัวอย่างเช่นน้ำที่ผสมกับน้ำผลไม้ และน้ำซุปกระดูกสัตว์ หากคุณดื่มน้ำมากเพียงพอ ปัสสาวะของคุณจะมีสีเหลืองอ่อนหรือแทบจะใส
สำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก การดื่มน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำเป็นเรื่องสำคัญมาก ควรให้น้ำเด็กจิบทีละนิดแม้พวกเขาจะมีอาการอาเจียนก็ตาม
ควรเลี่ยงน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมเพราะจะทำให้อาการท้องร่วงในเด็กแย่ลง
หากคุณต้องให้นมบุตรทั้งน้ำนมธรรมชาติและนมชง คุณสามารถทำการป้อนทารกตามปรกติ
ติดต่อแพทย์ทันทีที่คุณหรือลูกของคุณมีอาการของภาวะขาดน้ำ
ผงน้ำตาลเกลือแร่
แพทย์และเภสัชกรสามารถแนะนำเกลือแร่ละลายน้ำ หรือ oral rehydration solution (ORS) ที่สามารถป้องกันภาวะขาดน้ำกับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำได้ เช่นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือผู้สูงอายุ เป็นต้น อีกทั้ง ORS ยังสามารถใช้รักษาภาวะขาดน้ำที่เป็นอยู่ได้
เกลือแร่ละลายน้ำมักจะหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไปโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ และเป็นตัวยาที่ต้องละลายในน้ำเพื่อชดเชยเกลือ กลูโคส และแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ ที่คุณสูญเสียไประหว่างประสบกับอาการของภาวะขาดน้ำ
เด็ก
แพทย์และเภสัชกรต่างก็แนะนำให้เด็กที่ประสบกับหรือมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำดื่มน้ำผงเกลือแร่
ปริมาณ ORS ที่แนะนำสำหรับเด็กจะขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายและน้ำหนักของเด็ก และควรให้พวกเขาดื่ม ORS ทุกครั้งที่มีอาการท้องร่วง
เภสัชกรจะสามารถให้คำแนะนำการใช้ยาเหล่านี้แก่คุณได้ หรือคุณสามารถศึกษาได้จากฉลากผลิตภัณฑ์ที่ระบุไว้ก็ได้
แม้ว่าคุณจะสามารถให้เด็กที่ประสบกับภาวะขาดน้ำดื่ม ORS ได้ทันที แต่ก็แนะนำว่าคุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสียก่อน
การรับประทานอาหาร
มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณควรทานและควรเลี่ยงระหว่างที่มีอาการท้องร่วงมากมาย แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากต่างก็เห็นด้วยที่คุณควรจะกลับไปทานอาหารแข็งอีกครั้งเมื่อคุณรู้สึกพร้อมเท่านั้น และระหว่างที่มีอาการ ควรทานอาหารมื้อเล็ก เบา ๆ และเลี่ยงอาหารไขมันสูงกับอาหารรสเผ็ดไปก่อน
ตัวอย่างอาหารที่เป็นมิตรต่อผู้ที่มีอาการท้องร่วงคือมันฝรั่ง กล้วย ซุป และผักต้ม อีกทั้งอาหารรสเค็มก็สามารถช่วยคุณได้มาก
คุณไม่จำเป็นต้องรับประทานหากมีอาการไม่อยากอาหาร แต่ควรดื่มน้ำให้มากที่สุด และเริ่มทานอาหารทันทีที่เริ่มมีความอยาก
เด็ก
หากลูกของคุณประสบกับภาวะขาดน้ำ ห้ามให้อาหารแข็งพวกเขาเด็ดขาดจนกว่าพวกเขาจะได้รับน้ำเพียงพอแล้ว เมื่อพวกเขาไม่มีสัญญาณของภาวะขาดน้ำ พวกเขาจะสามารถทานอาหารได้ตามปรกติ
หากลูกของคุณไม่มีอาการของภาวะขาดน้ำ พยายามให้อาหารพวกเขาตามปรกติ แต่หากพวกเขาไม่ยอมทาน คุณต้องคอยให้น้ำพวกเขาดื่มให้มาก ๆ และรอจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกหิว
การใช้ยารักษาท้องร่วง
ยาแก้ท้องร่วง
- ยาแก้ท้องร่วง (Antidiarrhoeal) คือยาที่ช่วยลดภาวะท้องร่วงและย่นระยะเวลาของอาการลง แต่ก็ไม่ใช่ยาที่จำเป็นต้องใช้ทุกครั้ง
- Loperamide เป็นกลุ่มยาแก้ท้องร่วงที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพดีและมีผลข้างเคียงน้อย
- ยา Loperamide จะไปชะลอการเคลื่อนตัวของกล้ามเนื้อภายในลำไส้ลงเพื่อให้ลำไส้ดูดซับน้ำออกจากอุจจาระให้มากที่สุด นี่จะทำให้อุจจาระเกาะตัวกันมากขึ้นและทำให้มีความอยากเข้าห้องน้ำน้อยลง
- ยา racecadotril ก็เป็นยากลุ่มแก้ท้องร่วงอีกหนึ่งประเภทที่ออกฤทธิ์ด้วยการลดประมาณการผลิตน้ำของลำไส้เล็กลง มีหลักฐานว่ายาตัวนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาท้องร่วงดีเท่ากับ Loperamide
ยาแก้ท้องร่วงบางตัวสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา คุณควรศึกษาข้อมูลการใช้ยาที่ฉลากทุกครั้งเพื่อหาขนาดยาที่เหมาะสมกับคุณ หากคุณมีคำถามหรือไม่มั่นใจควรปรึกษากับเภสัชกรก่อนเลือกซื้อทุกครั้ง
ห้ามใช้ยาแก้ท้องร่วงกับอาการถ่ายอุจจาระปนเลือดปนเมือก หรือเมื่อคุณมีไข้สูง แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำจะดีที่สุด
คุณไม่ควรใช้ยาแก้ท้องร่วงกับเด็ก แต่ยา racecadotril สามารถใช้กับเด็กที่อายุมากกว่า 3 เดือนได้หากใช้ร่วมกับผงเกลือแร่ (ORS) และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำสำหรับเด็กข้างต้น กระนั้นแพทย์ก็ไม่แนะนำให้คุณใช้ยาตัวนี้กับเด็กอยู่ดี
ยาแก้ปวด
ยาแก้ปวด (Painkillers) จะไม่รักษาภาวะท้องร่วง แต่ยาพาราเซตตามอล (paracetamol) หรืออิบูโพรเฟน (ibuprofen) ก็สามารถใช้เพื่อบรรเทาไข้และอาการปวดศีรษะได้ หากจำเป็น คุณสามารถให้ยาเหล่านี้ในรูปแบบของยาน้ำกับเด็กได้
คุณควรศึกษาข้อมูลการใช้ยาที่ฉลากทุกครั้งเพื่อหาขนาดยาที่เหมาะสมกับลูกของคุณคุณ แต่คุณไม่ควรใช้ยาแอสไพริน (aspirin) กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี
ยาปฏิชีวนะ
การรักษาท้องร่วงด้วยยาปฏิชีวนะ (antibiotics) ไม่เป็นที่แนะนำหากว่าแพทย์ไม่ทราบสาเหตุของภาวะนี้ เนื่องจากว่ายากลุ่มนี้นั้น: ไม่ออกฤทธิ์กับอาการท้องร่วงจากเชื้อไวรัส มีผลข้างเคียงเยอะ จะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้กับภาวะที่ร้ายแรงกว่าหากใช้ต่อเนื่องกับภาวะที่ไม่รุนแรง
ยาปฏิชีวนะจะใช้ในกรณีที่เป็นอาการท้องร่วงรุนแรง และมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียบางประเภท และยังสามารถใช้กับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่นมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นต้น
การรักษาตามโรงพยาบาล
ในบางกรณี คุณหรือลูกของคุณอาจต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลหากประสบกับภาวะขาดน้ำรุนแรง การรักษาหลักจะเป็นการหยดของเหลวและสารอาหารเข้าเส้นเลือดโดยตรง
การรักษาสาเหตุของอาการ
หากคุณถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะสุขภาพที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง การรักษาภาวะนั้น ๆ จะช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงที่คุณประสบได้ ยกตัวอย่างเช่น:
- กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome - IBS): รักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนอาหารการกินและการใช้ยา
- โรคลำไส้อักเสบ (inflammatory bowel disease) สามารถรักษาได้ด้วยยาลดการอักเสบภายในลำไส้
- โรคแพ้กลูเตน (coeliac disease): รักษาได้ด้วยการเลี่ยงทานอาหารที่มีกลูเตน
- ภาวะกรดน้ำดีดูดซึมผิดปรกติ (bile acid malabsorption): สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาหยุดการผลิตน้ำดีเข้าระบบย่อยอาหาร
การป้องกันภาวะท้องร่วง
เพื่อหยุดการแพร่เชื้อที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง คุณควรรักษาสุขอนามัยให้ดีที่สุด โดยการ:
- ล้างมือให้สะอาดหมดจดด้วยสบู่และน้ำอุ่นหลังทำธุระและก่อนรับประทานหรือจัดเตรียมอาหาร
- ทำความสะอาดห้องน้ำรวมไปถึงด้ามจับประตูและฝารองนั่งด้วยยาฆ่าเชื้อหลังจากมีอาการท้องร่วงทุกครั้ง
- เลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู ถ้วยชาม หรือช้อนส้อมร่วมกับผู้อื่น
- ซักเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนที่เลอะอุจจาระแยกจากผ้าอื่นด้วยอุณหภูมิที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยกตัวอย่างเช่น 60oC สำหรับผ้าไหม
- หยุดงานหรือลาเรียนจนกว่าจะผ่านไป 48 ชั่วโมงหลังจากมีอาการท้องร่วงครั้งสุดท้าย
- คุณหรือลูกของคุณควรเลี่ยงลงสระว่ายน้ำเป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังมีอาการท้องเสียครั้งสุดท้าย
ความสะอาดของอาหาร
ฝึกระวังเรื่องความสะอาดของอาหารจะช่วยเลี่ยงโอกาสติดเชื้อที่ทำให้ท้องร่วงจากภาวะอาหารเป็นพิษได้ โดยคุณสามารถทำได้ด้วยการ: ล้างมือ พื้นที่ทำอาหาร และเครื่องไม้เครื่องมือรับประทานอาหารให้สะอาดด้วยน้ำร้อนและสบู่ (น้ำยาล้างจาน) ไม่เก็บอาหารดิบร่วมกับอาหารปรุงสุกแล้ว เก็บอาหารในตู้เย็นให้มิดชิด ทำอาหารให้สุกอย่างทั่วถึง ไม่รับประทานอาหารที่เลยวันหมดอายุแล้ว
การฉีดวัคซีนป้องกันโรตาไวรัส
โรตาไวรัส (Rotavirus) คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงในเด็กมากที่สุด การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสชนิดนี้จะช่วยให้ร่างกายเด็กต่อสู้กับโรตาไวรัสได้
วัคซีนนี้ควรจะถูกหยดทางปากของทารกในขนาด 2 โดส โดยมีครั้งแรกช่วง 2 เดือน และครั้งสุดท้ายคือช่วง 3 เดือน
โรคท้องร่วงระหว่างเดินทาง
ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันคุณจากสาเหตุที่ทำให้เกิดท้องร่วงระหว่างเดินทาง (Travellers' diarrhoea) ได้ทั้งหมด
หากคุณต้องเดินทางไปต่างประเทศที่ซึ่งมีมาตรฐานสุขอนามัยต่ำ คุณควรเลี่ยง: น้ำก๊อก: หากไม่มั่นใจ ควรต้มน้ำให้เดือดเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งนาที น้ำแข็งก้อน อาหารดิบหรืออาหารจำพวกไข่ที่ปรุงไม่สุกดี เช่นมายองเนส นมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ และผลิตภัณฑ์จากนมวัวต่าง ๆ เช่นชีส ผลไม้และผักที่มีผิวนอกเสียหาย สลัดผัก
คุณสามารถทานหรือดื่มอาหารต่อไปนี้อย่างปลอดภัย: อาหารที่ผ่านการปรุงสุกและนำมาเสิร์ฟขณะที่ยังร้อนอยู่ ขวดหรือกระป๋องน้ำที่ผนึกอย่างแน่นหนา ผลไม้และผักที่คุณปอกเอง ชา หรือกาแฟ
หากคุณกำลังวางแผนไปต่างประเทศ ควรตรวจหาคำแนะนำด้านสุขภาพก่อนเดินทางไปยังประเทศนั้น ๆ ทุกครั้ง
บทความที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนโรตาไวรัส (Rotavirus vaccine)