มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล หรือ โรคมะเร็งเอแอลแอล เป็นโรคมะเร็งที่ร่างกายมีเม็ดเลือดขาวไม่สมบูรณ์ผิดปกติมากเกินไป ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติ มีอาการของโลหิตจาง อ่อนเพลีย ผิวหนังซีด หายใจลำบาก รวมถึงมีภาวะเลือดออกง่าย ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเอแอลแอลจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยการรักษาร่วมกันระหว่างยาเคมีบำบัดและรังสีรักษา และในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องปลูกถ่ายไขกระดูก (bone marrow transplant) เพื่อให้หายขาด
บทนำโรคมะเร็งเอแอลแอล
คำว่า leukaemia ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (acute leukaemia) เป็นโรคมะเร็งที่มีการดำเนินไปของโรคอย่างรวดเร็ว ลุกลามเร็ว มีความรุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันที
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ยังสามารถแบ่งออกตามชนิดของเม็ดเลือดขาวที่ได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็ง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
- เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ (lymphocytes): ส่วนใหญ่เม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะทำหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส
- เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิล (neutrophils): เม็ดเลือดขาวชนิดนี้มีหลายหน้าที่ เช่น ต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย, พยาธิ
นอกจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล ซึ่งเป็นมะเร็งของเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์แล้ว ยังมีมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ อีก:
- Chronic lymphocytic leukaemia
- Chronic myeloid leukaemia
- Acute myeloid leukaemia
สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน
อาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอลมักจะค่อยๆ เริ่มต้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ไม่สมบูรณ์ (immature white blood cells) ในเลือดเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการได้แก่:
- ผิวสีซีด (pale skin)
- อ่อนเพลีย
- หายใจลำบาก
- มีการติดเชื้อซ้ำๆ ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน
- มีเลือดออกผิดปกติและบ่อยครั้ง
เกิดอะไรขึ้นในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน
เม็ดเลือดขาวทุกเซลล์ในร่างกายสร้างมาจากไขกระดูก (bone marrow) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อฟองน้ำที่พบภายในกระดูก
ไขกระดูกจะทำหน้าที่สร้างเซลล์พิเศษที่เรียกว่า สเต็มเซลล์ (stem cells) หรือเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์เม็ดเลือด 3 ชนิดที่สำคัญ ได้แก่:
- เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cells): ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกาย
- เซลล์เม็ดเลือดขาว (white blood cells): ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ป้องกันการติดเชื้อของร่างกาย
- เกร็ดเลือด (platelets): ช่วยให้เลือดหยุดไหล
โดยปกติไขกระดูกจะทำหน้าที่สร้างสเต็มเซลล์จากนั้นสเต็มเซลล์จะพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่เป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ก่อนที่จะถูกปลดปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด แต่ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ไขกระดูกจะปลดปล่อยเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ยังไม่สมบูรณ์ เจริญไม่เต็มที่ เข้าสู่กระแสเลือดจำนวนมาก เราเรียกเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ยังไม่สมบูรณ์ว่า เซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อน หรือ บลาสต์เซลล์ (blast cells)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เมื่อร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนเพิ่มจำนวนขึ้นจะทำให้ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดลดปริมาณลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการของโลหิตจาง เช่น อ่อนเพลีย และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกมากขึ้น
นอกจากนี้เซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนเป็นเซลล์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวโตเต็มที่ในการต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ดังนั้นผู้ป่วยจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในเด็ก ปริมาณการว่าจะพบโรคนี้ได้ในเด็ก 1 รายต่อเด็ก 2,000 ราย ประมาณ 85% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอลพบในเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี โดยพบบ่อยสุดในช่วงอายุระหว่าง 2- 5 ปี
สาเหตุของมะเร็งเลือดขาวเฉียบพลันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เรารู้ว่าปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้แก่:
- การสัมผัสกับรังสีปริมาณมากๆ
- การสัมผัสกับสารเบนซิน (benzene) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรม และยังพบในบุหรี่ด้วย
อนาคตของผู้ป่วยโรคมะเร็งเอแอลแอล
ภาพอนาคตของโรคมะเร็งเอแอลแอลในผู้ป่วยเด็กโดยทั่วไปอยู่ในระดับดี ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยเด็กจะเข้าสู่การสงบของโรคได้ (remission) ซึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีอาการใดๆ และ 85% ของผู้ป่วยเด็กจะหายขาด
แต่ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคมะเร็งเอแอลแอลจะมีความหวังน้อยกว่า เพราะจะมีเพียง 40% ของผู้ป่วยเท่านั้นที่หายขาด
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอลมักใช้การรักษาร่วมกันระหว่างยาเคมีบำบัดและรังสีรักษา และในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องปลูกถ่ายไขกระดูก (bone marrow transplant) เพื่อให้หายขาด
หากการรักษาโรคไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดได้ นั่นหมายความว่าผู้ป่วยจะขาดเซลล์เม็ดเลือดที่สมบูรณ์ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้ออันตรายร้ายแรงถึงชีวิต (เพราะเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สมบูรณ์) หรือ มีอาการเลือดออกรุนแรงและควบคุมไม่ได้ (เพราะขาดเกร็ดเลือด)
อาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล
อาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอลมักจะค่อยๆ เริ่มต้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อร่างกายมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ไม่สมบูรณ์ (immature white blood cells) ในเลือดเพิ่มมากขึ้น
อาการส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเซลล์เม็ดเลือดที่สมบูรณ์ในกระแสเลือด
อาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเอแอลแอล ได้แก่:
- ผิวหนังซีด
- รู้สึกอ่อนเพลีย หายใจลำบาก
- มีการติดเชื้อซ้ำๆ ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน
- มีเลือดออกผิดปกติและบ่อยครั้ง เช่น เลือดออกที่เหงือกหรือเลือดกำเดาออก
- มีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- มีเหงื่อออกตอนกลางคืน
- ปวดกระดูกและข้อ
- มีรอยฟกช้ำได้ง่าย
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ปวดท้อง-สาเหตุมาจากตับโตหรือม้ามโต
- น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ
- ผื่นผิวหนังสีม่วง (purpura)
ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเอแอลแอลบางราย เซลล์ที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้จะแพร่กระจายจากเลือดเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย (สัมพันธ์กันสมองและระบบประสาท) ได้แก่:
- ปวดศีรษะ
- ชัก
- อาเจียน
- ตามองภาพไม่ชัด
- เวียนศีรษะ
เมื่อไรควรไปพบแพทย์
ถ้าคุณ หรือบุตรหลานของคุณมีอาการบางอย่าง หรือแม้จะมีอาการทั้งหมดดังที่กล่าวข้างต้น ก็ยังมีแนวโน้มที่ไม่ได้เกิดจากโรคมะเร็งเอแอลแอล
อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่ว่าอาการที่เกิดขึ้นจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที
สาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอลมีสาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอ (DNA mutation) ในสเต็มเซลล์ ทำให้เกิดการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมาจำนวนมาก
เม็ดเลือดขาวที่สร้างแล้วจะถูกปล่อยออกมาจากไขกระดูกก่อนที่จะพัฒนาเป็นเม็ดเลือดขาวที่สมบูรณ์เต็มที่และมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค
เมื่อมีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนที่ยังโตไม่เต็มที่ปริมาณเพิ่มขึ้น จะทำให้ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกร็ดเลือดที่สมบูรณ์มีปริมาณลดลง และการลดลงนี้เองก็เป็นสาเหตุของอาการหลายอาการในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอที่เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล
ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเอแอลแอล
โรคทางพันธุกรรม (genetic disorders)
ผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเอแอลแอลนั้นคาดคิดว่ามีสาเหตุที่สัมพันธ์กับโรคทางพันธุกรรม ตัวอย่างเช่น อัตราการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีแนวโน้มสูงขึ้นในเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome)
การสัมผัสกับรังสี (radiation exposure)
การสัมผัสถูกรังสีในปริมาณสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นก่อนกำเนิดหรือหลังจากนั้น ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามปริมาณรังสีต้องมีปริมาณมากพอจึงจะถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค เช่น ปริมาณรังสีที่รั่วไหลจากอุบัติเหตุโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล (Chernobyl)
เนื่องจากความเสี่ยงของการสัมผัสรังสีที่มีต่อเด็กทารกที่ยังไม่เกิด เทคนิคทางการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีการใช้รังสี เช่น เอกซ์เรย์ จะไม่ค่อยใช้ในหญิงตั้งครรภ์
ส่วนใหญ่ของเด็กที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในวัยเด็ก ไม่พบประวัติของโรคทางพันธุกรรมและประวัติการสัมผัสกับรังสี
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นไปได้
ผู้เชี่ยวชาญอยู่ระหว่างการวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อพิจารณาว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมต่อไปนี้อาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้หรือไม่
- การอาศัยอยู่ใกล้กับโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
- การอาศัยอยู่ใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูง
- การอาศัยอยู่ใกล้กับอาคารหรืออุปกรณ์ที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เช่น เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
ณ ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมดังกล่าวข้างต้นเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เบนซิน (benzene)
การสัมผัสกับสารเคมีเบนซินคือปัจจัยเสี่ยงสำหรับผู้ใหญ่ที่จะเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน สารเบนซินพบได้ในน้ำมันเบนซินและยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมยาง อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีการควบคุมการใช้สารนี้อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานาน
สารเบนซินยังพบได้ในบุหรี่ จึงเป็นสาเหตุที่อธิบายได้ว่าทำไมผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดหรือการใช้รังสีรักษาในการรักษาโรคมะเร็งอื่นๆ ก่อนหน้านี้ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันได้
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
มีข้อมูลหลักฐานเล็กน้อยที่บอกว่าผู้ป่วยที่มีภาวะต่อไปนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเอแอลแอล:
- อ้วน
- มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: จากโรคติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์ หรือกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเอแอลแอล
ขั้นตอนแรกในการวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเอแอลแอล คือ แพทย์จะสังเกตอาการแสดงของโรคที่เห็นได้ เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต และจะนำเลือดของคุณไปตรวจ
หากผลการตรวจเลือดพบปริมาณเม็ดเลือดขาวผิดปกติในปริมาณสูงอาจบ่งชี้ว่าคุณเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ซึ่งคุณจะถูกส่งต่อไปพบแพทย์โลหิตวิทยาต่อไป (แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคเลือด)
การเจาะตรวจไขกระดูก (bone marrow biopsy)
เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน แพทย์โลหิตวิทยาจะทำการเจาะไขกระดูกเพื่อเก็บตัวอย่างจำนวนเล็กน้อยไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
แพทย์โลหิตวิทยาจะใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อให้ผิวหนังบริเวณกระดูกมีอาการชา โดยทั่วไปจะเป็นบริเวณกระดูกสะโพก จากนั้นจะใช้เข็มเพื่อเจาะดูดเอาตัวอย่างของไขกระดูกออกมาเล็กน้อย คุณอาจรู้สึกปวดเล็กน้อยเมื่อยาชาหมดฤทธิ์และมีรอยช้ำ และไม่สบายตัวอีกสักสองสามวันหลังจากนั้น ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที และไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ไขกระดูกที่ถูกเจาะออกมานั้นจะนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง หากพบเซลล์มะเร็งจะทำการตรวจชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันไปพร้อมกัน
การตรวจเพิ่มเติม
มีการตรวจเพิ่มเติมอีกหลายอย่างที่จะถูกใช้เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินไปและความรุนแรงของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ควรได้รับ การตรวจเพิ่มเติมมีรายละเอียดดังนี้
Cytogenetic testing
การตรวจเซลล์พันธุศาสตร์ หรือ Cytogenetic testing คือการตรวจทางพันธุศาสตร์ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจะพบการแปรปรวนทางพันธุกรรมที่จำเพาะกับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เพื่อจะรู้ว่าการแปรปรวนที่พบนั้นมีความสำคัญต่อการรักษาโรคอย่างไร
Immunophenotyping
Immunophenotyping คือการทดสอบที่จะช่วยระบุชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเอแอลแอลที่แน่นอน ซึ่งจะทดสอบจากเลือด ไขกระดูก และของเหลวในร่างกายอื่นๆ
การทดสอบนี้มีความสำคัญเนื่องจากการรักษาที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยตามชนิดของโรคมะเร็ง
ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (Polymerase chain reaction หรือ พีซีอาร์ (PCR))
การตรวจ PCR เป็นการตรวจที่ต้องนำเลือดของผู้ป่วยไปตรวจ เป็นการตรวจที่สำคัญสำหรับการวินิจฉัยและการติดตามการตอบสนองต่อการรักษา
โดยจะทำการเจาะเลือดผู้ป่วยไปตรวจทุกๆ 3 เดือน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี หลังเริ่มการรักษา และตรวจด้วยความถี่ที่ลดลงเมื่อโรคสงบแล้ว
การตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ (Lymph node biopsy)
เมื่อคุณได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน อาจมีการตัดชิ้นเนื้อจากต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณต่อมน้ำเหลืองที่โต ซึ่งจะช่วยบอกได้ว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นแพร่กระจายไปมากเพียงใด
ซีทีสแกน (CT scans)
เมื่อคุณเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน คุณอาจได้รับการตรวจซีที สแกน/การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายว่ายังทำงานได้ดี เช่น หัวใจและปอด
การเอกซ์เรย์ปอด (chest X-ray)
อาจมีการตรวจเอกซ์เรย์ปอดเพื่อดูการบวมของต่อมน้ำเหลือง
การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture)
หากรู้สึกว่ามีความเสี่ยงที่มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันจะแพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาท คุณอาจได้รับการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง
การเจาะกรวดน้ำไขสันหลังนั้นจะทำโดยการใช้เข็มร่วมกับการใช้ยาชาเฉพาะที่ เพื่อดูดเอาตัวอย่างน้ำหล่อเสียงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) ออกมาจากหลังของคุณ การตรวจนี้เพื่อดูว่ามะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นแพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาทแล้วหรือยัง
การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล
การรักษาโรคมะเร็งเอแอลแอลนั้นมักจะเริ่มในเวลาไม่กี่วันหลังวินิจฉัยโรคแล้ว เพราะโรคนี้เป็นโรคที่มีความรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ว
ระยะของการรักษา
การรักษาโรคมะเร็งเอแอลแอล จะแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ ดังนี้:
- ระยะชักนำในโรคสงบ (induction)-เป้าหมายของการรักษาในระยะเริ่มแรกนี้คือการทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวภายในไขกระดูก ฟื้นฟูสมดุลของเซลล์ในเลือด และรักษาอาการหลายๆ อาการที่คุณเป็น
- ระยะการรักษาเข้มข้น (consolidation)-เป้าหมายของการรักษาในระยะนี้คือการทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่หลงเหลืออยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง
- ระยะรักษาต่อเนื่องเพื่อให้โรคสงบตลอดไป (maintenance)-เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการรักษาซึ่งจะใช้ยาเคมีบำบัดชนิดเม็ดในขนาดยาคงที่อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวกลับมาเป็นซ้ำ
การรักษาในระยะต่อเนื่อง (maintenance) ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพเฉพาะสำหรับการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล และมักไม่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด acute myeloid leukaemia
การรักษาระยะชักนำ (Induction)
การรักษาระยะชักนำจะทำการรักษาในโรงพยาบาลหรือในศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง เพราะคุณมักจำเป็นต้องได้รับการให้เลือด เพราะเลือดของคุณไม่มีเซลล์เม็ดเลือดที่สมบูรณ์มากเพียงพอ
ระยะนี้คุณมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือคุณควรอยู่ในสถานที่ปลอดเชื้อ และสุขภาพของคุณต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด และหากพบการติดเชื้อใดๆ ก็ตาม ต้องรีบทำการรักษาทันที คุณอาจได้รับการจ่ายยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อในอนาคต
ยาเคมีบำบัด (chemotherapy)
คุณจะได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวในไขกระดูก แม้ว่ายาบางชนิดสามารถให้โดยการรับประทานได้ แต่คุณจะได้รับยามากกว่าหนึ่งชนิดด้วยการฉีด เพื่อให้การรักษาง่ายขึ้นและเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำๆ คุณจะได้รับยาผ่านทางสายสวนหลอดเลือดดำใหญ่ที่หน้าอก (central line)
ยาเคมีบำบัดบางชนิดอาจให้โดยตรงเข้าสู่น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่อาจแพร่กระจายเข้าสู่ระบบประสาท การให้ยานี้จะให้ผ่านทางเข็มที่เจาะเข้าไปยังกระดูกสันหลัง คล้ายกับวิธีการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (lumbar puncture)
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการได้รับยาเคมีบำบัดเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ซึ่งได้แก่:
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ท้องเสีย
- เบื่ออาหาร
- แผลที่ปาก
- อ่อนเพลีย
- ผื่นผิวหนัง
- ภาวะมีบุตรยาก
- ผมร่วง
ผลข้างเคียงต่างๆ ควรดีขึ้นเมื่อการรักษาสิ้นสุดลง ผมที่ร่วงไปแล้วมักใช้เวลาระหว่าง 3-6 เดือนในการกลับมางอกใหม่อีกครั้ง
การรักษาด้วยสเตียรอยด์ (steroid therapy)
คุณอาจได้รับการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ หรือ ยาสเตียรอยด์ชนิดเม็ด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพยาเคมีบำบัด
ยาอิมาทินิบ (Imatinib)
ถ้าคุณได้รับการตรวจแล้วพบว่าเป็นโรคมะเร็งเอแอลแอลชนิด Philadelphia chromosome ให้ผลบวก คุณจะได้รับยาที่ชื่อว่า imatinib โดยยา imatinib จะออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งสัญญาณภายในเซลล์มะเร็งที่ทำให้ตัวเซลล์เติบโตและเพิ่มจำนวน ผลสุดท้ายคือทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลาย
ยา imatinib เป็นยาเม็ดให้โดยการรับประทาน ผลข้างเคียงของยา imatinib มักอยู่ในระดับรุนแรงน้อยและควรค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ได้แก่:
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- บวมที่หน้าและขาส่วนล่าง
- ตะคริวที่กล้ามเนื้อ
- ผื่น
- ท้องเสีย
โดยการรักษาในระยะชักนำนี้จะใช้เวลาตั้งแต่ 2 สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษาของคุณว่าเป็นอย่างไร ในบางกรณีคุณหรือบุตรหลานของคุณอาจได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลและรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ถ้าอาการดีขึ้นแล้ว
การรักษาระยะเข้มข้น (Consolidation)
โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ถ้ายังมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ดังนั้นเป้าหมายของการรักษาในระยะเข้มข้นคือเพื่อให้มั่นใจว่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ยังหลงเหลือถูกทำลาย
ในการรักษาผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดชนิดฉีดอย่างต่อเนื่อง มักจะทำการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ซึ่งหมายถึงคุณไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามคุณอาจจำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลในช่วงเวลาสั้นๆ หากคุณมีอาการแย่ลงกะทันหัน หรือมีการติดเชื้อเกิดขึ้น
การรักษาระยะเข้มข้นนี้จะใช้เวลาหลายเดือน
การรักษาระยะต่อเนื่อง (Maintenance)
การรักษาในระยะต่อเนื่องมีเป้าหมายเพื่อให้มั่นใจว่าในอนาคตโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะไม่กลับมาเป็นซ้ำ ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดชนิดเม็ดอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อติดตามประสิทธิภาพของการรักษา
การรักษาในระยะต่อเนื่องมักใช้เวลาถึง 2 ปี
การรักษาอื่นๆ
นอกจากการใช้ยาเคมีบำบัดและยา imatinib แล้ว ยังมีการรักษาอื่นๆ ที่อาจถูกใช้ได้ในบางสถานการณ์ รายละเอียดดังนี้
ยา ดาซาทินิบ (Dasatinib)
ยา dasatinib เป็นยาใหม่สำหรับรักษาโรคมะเร็งเอแอลแอลชนิด Philadelphia chromosome ให้ผลบวก แต่จะให้ยานี้เมื่อการรักษาอื่นไม่ประสบผลสำเร็จ
ยา dasatinib จะยับยั้งโปรตีนที่ชื่อว่า tyrosine kinase ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ยา dasatinib ไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันให้หายขาดได้ แต่สามารถชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยบรรเทาอาการและช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้น
การใช้รังสีรักษา (radiotherapy)
การใช้รังสีรักษาเป็นการใช้รังสีปริมาณสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง มีเหตุผลหลัก 2 ประการว่าทำไมจึงมักใช้รังสีรักษาในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน:
- เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่โรคมะเร็งเอแอลแอลแพร่กระจายไปยังระบบประสาทหรือสมองแล้ว
- เพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการปลูกถ่ายไขกระดูก
ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยรังสีรักษาทั้ง 2 ชนิด ได้แก่:
- ผมร่วง
- คลื่นไส้
- อ่อนเพลีย
ผลข้างเคียงที่กล่าวข้างต้นควรจะดีขึ้นเมื่อเสร็จสิ้นการรักษาด้วยรังสีรักษาแล้ว อย่างไรก็ตามผิวหนังของคุณอาจมีความไวต่อแสงมากกว่าปกติเป็นเวลาอีกหลายเดือนหลังการรักษาเสร็จสิ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการอาบแดด หรือสัมผัสกับแสงเทียมที่คล้ายการอาบแดดเป็นเวลาหลายเดือน
เด็กหลายๆ คนที่รักษาด้วยรังสีรักษาจะถูกจำกัดการเจริญเติบโตทางกายภาพระหว่างช่วงเป็นวัยรุ่น
มีผู้ป่วยจำนวนเล็กน้อยเป็นต้อกระจกหลังรักษาด้วยรังสีรักษาผ่านไปหลายปี ต้อกระจกคือโรคที่เลนส์แก้วตามีความขุ่นมัว ทำให้มองภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว โรคต้อกระจกมักรักษาหายได้ด้วยการผ่าตัด
การปลูกถ่ายไขกระดูกและการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
หากคุณหรือบุตรหลานของคุณไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ทางเลือกในการรักษาอื่นที่เป็นไปได้คือ การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือ การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
การปลูกถ่ายไขกระดูกจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงถ้าผู้บริจาคมีลักษณะเนื้อเยื่อคล้ายกับคุณ ซึ่งผู้บริจาคที่ดีที่สุดมักเป็นพี่ชายน้องชาย หรือพี่สาวน้องสาว
ก่อนการปลูกถ่าย ผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายจำเป็นต้องได้รับยาเคมีบำบัดและรังสีรักษาที่ขนาดสูง เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งภายในร่างกาย
การรักษานี้ทำให้ร่างกายมีความเครียดสูง ซึ่งการปลูกถ่ายนี้จะได้ผลสำเร็จดีเมื่อรักษาในผู้ป่วยเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงและมีผู้บริจาคที่เหมาะสม เช่น พี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว
ภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็งเอแอลแอล
ภูมิคุ้มกันอ่อนแอคือภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางราย
สาเหตุของการมีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาจาก 2 สาเหตุ ได้แก่:
- การขาดเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงระบบภูมิคุ้มกันจะมีความสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้น้อย
- ยาหลายชนิดที่ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันจะไปทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ คุณจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และการติดเชื้อใดๆ ที่คุณเป็น จะเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
คุณอาจได้รับคำแนะนำให้รับประทานยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) เป็นประจำเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หากมีอาการของการติดเชื้อเกิดขึ้น คุณต้องรีบแจ้งแพทย์ทราบทันที เพราะอาจต้องรักษาทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
อาการของการติดเชื้อ ได้แก่:
- มีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ท้องเสีย
- อ่อนเพลีย
ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อ แม้ว่าจะเป็นการติดเชื้อที่คุณเคยมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนั้นแล้ว เช่น อีสุกอีใส หรือ โรคหัด เพราะภูมิคุ้มกันที่คุณเคยมีในอดีตจะมีระดับต่ำลงในขณะนี้
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือคุณยังคงต้องออกนอกบ้านเป็นปกติ เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวออกกำลังกายและเพื่อสุขภาพจิตที่ดี แต่ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่มากๆ และหลีกเลี่ยงการใช้รถโดยสารสาธารณะในชั่วโมงเร่งด่วน
นอกจากนี้ต้องแน่ใจว่าคุณได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วน ซึ่งแพทย์หรือทีมที่ดูแลคุณสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนได้ คุณจะไม่สามารถฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็นได้ ซึ่งได้แก่
- วัคซีน หัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR vaccine)
- วัคซีนโปลิโอ
- วัคซีนไทฟอยด์ชนิดให้ทางปาก
- วัคซีนบีซีจี (เพื่อป้องกันการติดเชื้อวัคโรค)
- วัคซีนไข้เหลือง (yellow fever vaccine)
ภาวะเลือดออก
หากคุณป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน คุณจะมีเลือดออกและมีรอกฟกช้ำได้ง่ายกว่าปกติ เพราะร่างกายของคุณมีปริมาณเกร็ดเลือดต่ำกว่าปกติ (เกร็ดเลือดคือเซลล์ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้เลือดหยุดไหล) ซึ่งภาวะเลือดออกที่เกิดขึ้นอาจออกในปริมาณมากได้
ภาวะเลือดออกสามารถเกิดขึ้นได้ที่:
- ภายในกะโหลกศีรษะ (intracranial haemorrhage)
- ภายในปอด (pulmonary haemorrhage)
- ภายในกระเพาะอาหาร (gastrointestinal haemorrhage)
อาการของภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ ได้แก่:
- ปวดศีรษะรุนแรง
- คอแข็ง
- อาเจียน
- มีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกตัว เช่น รู้สึกมึนงง สับสน
อาการที่พบบ่อยของภาวะเลือดออกในปอด ได้แก่:
- ไอเป็นเลือดออกจากจมูกและปาก
- หายใจลำบาก
- ผิวหนังสีเขียว (cyanosis)
อาการหลัก 2 อาการที่พบบ่อยของภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร (ทางเดินอาหาร) ได้แก่:
- อาเจียนเป็นเลือด
- อุจจาระมีสีเข้มมาก หรือคล้ายน้ำมันดิน
ภาวะเลือดออกทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวข้างต้นคือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สามารถโทรเรียกรถพยาบาลได้ที่ 1669 หากสงสัยว่าตัวคุณเอง หรือบุตรหลานของคุณมีภาวะเลือดออก
ภาวะมีบุตรยาก (Infertility)
การรักษาหลายๆ วิธีทีใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันสามารถทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากเกิดขึ้นได้ ซึ่งมักเป็นเพียงผลชั่วคราว แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจเป็นอย่างถาวร
ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดภาวะมีบุตรยากคือผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดและรังสีรักษาในปริมาณสูง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือสเต็มเซลล์
ในการป้องกันความเสี่ยงของการมีบุตรยากที่อาจเกิดขึ้นได้ คุณสามารถทำได้ก่อนเริ่มต้นรักษา ตัวอย่างเช่น ในผู้ชาย สามารถเก็บตัวอย่างอสุจิไว้ในธนาคารอสุจิล่วงหน้าก่อนรักษาโรคมะเร็ง สำหรับผู้หญิง ก็สามารถเก็บไข่ไว้ได้เช่นกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้อีกครั้งภายหลังสิ้นสุดการรักษาแล้ว
ผลกระทบด้านจิตใจที่เกิดจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
การได้รับการวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในช่วงแรกจึงอาจเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก
สถานการณ์อาจเลวร้ายลงได้หากคุณกำลังคิดว่าโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวไม่น่าจะทำให้เกิดอาการอะไรได้ในขณะนี้ แต่ความจริงแล้วโรคนี้สามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงกับร้ายกายได้ในอนาคต จะต้องรอเวลานานหลายปีกว่าที่จะรู้ว่าโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีการพัฒนาไปอย่างไรบ้าง ซึ่งจะทำให้รู้สึกเครียดอย่างมาก วิตกกังวล และมีภาวะซึมเศร้าได้
เมื่อคุณได้รับการวินิจฉัยโรคเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขอแนะนำให้รับคำปรึกษาจากผู้ให้คำปรึกษา หรือ จิตแพทย์ ซึ่งอาจช่วยให้คุณรับมือกับความรู้สึกซึมเศร้า และวิตกกังวลได้
ยาต้านซึมเศร้า หรือยาที่จะช่วยลดความรู้สึกวิตกกังวลอาจช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ได้ดีขึ้น
คุณอาจพบประโยชน์จากการพูดคุยกับผู้อื่นที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเช่นเดียวกับคุณ แพทย์และทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลคุณสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ตัวคุณได้