กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

เผยแพร่ครั้งแรก 29 พ.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 16 นาที
โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล (Ulcerative colitis) เป็นภาวะสุขภาพระยะยาวที่ซึ่งลำไส้ใหญ่ (colon หรือ large intestine (bowel)) และไส้ตรง (rectum) เกิดการอักเสบขึ้น ไส้ตรงคือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ที่เป็นจุดเก็บสะสมอุจจาระ แผลขนาดเล็กสามารถเกิดกับผนังเยื่อบุลำไส้ และทำให้เกิดหนองและเลือดออกได้

อาการของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลมีอาการดังต่อไปนี้:

  • ท้องร่วงซ้ำซาก ซึ่งอาจปนเลือด เมือก หรือหนองก็ได้
  • ปวดท้อง
  • จำต้องถ่ายหนักบ่อยครั้ง

คุณอาจประสบกับอาการเหน็ดเหนื่อยรุนแรง ไม่อยากอาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วยได้

ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าส่วนของไส้ตรงกับลำไส้ใหญ่มีการอักเสบรุนแรงขนาดไหน ในบางคน ภาวะนี้อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมาก

อาการกำเริบจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลอาจมีทั้งช่วงที่ไม่มีอาการใด ๆ หรือมีน้อยมากเป็นเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน (ช่วงระยะสงบชองโรค หรือ remission) ตามมาด้วยช่วงที่เกิดอาการรุนแรงเป็นพิเศษ (ช่วงระยะกำเริบ หรือ flare-ups/relapses)

ระหว่างช่วงกำเริบ ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลบางคนอาจประสบกับอาการตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น:

กรณีที่เป็นรุนแรงอาจเกิดความอยากถ่ายหนักมากกว่า 6 ครั้งต่อวันขึ้นไป และอาจมีอาการอื่น ๆ ดังนี้:

  • หายใจติดขัด
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปรกติ
  • มีไข้สูง
  • เลือดปนอุจจาระอย่างเห็นได้ชัดเจน

ผู้ป่วยส่วนมากจะไม่สามารถหาสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบได้ กระนั้นการติดเชื้อที่ลำไส้มักจะเป็นสาเหตุโดยทั่วไป อีกทั้งยังเชื่อกันว่าความเครียดก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลอย่างมาก

ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?

คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล และยังไม่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้มาก่อน

แพทย์จะจัดการตรวจเลือดหรือตรวจตัวอย่างอุจจาระเพื่อทดสอบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของคุณ หากจำเป็นก็อาจต้องส่งคุณไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม

หากคุณเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล และคาดว่าคุณอาจมีอาการกำเริบรุนแรง ให้ติดต่อแพทย์ผู้ดูแลเพื่อขอรับคำแนะนำ โดยคุณอาจต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตามความเหมาะสม

อะไรเป็นสาเหตุของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล?

คาดกันว่าโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลเป็นภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoimmune condition) ซึ่งหมายความว่าระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดปรกติจนเข้าไปโจมตีเนื้อเยื่อสุขภาพดีแทน

ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับที่สุดกล่าวว่าระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจว่าแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่เป็นภัยคุกคามร่างกายจึงเข้าโจมตีเนื้อเยื่อสุขภาพดีของลำไส้จนทำให้เกิดอาการอักเสบขึ้นมา

สาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเช่นนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากเชื่อว่าเกิดมาจากการผสานกันของปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและพันธุกรรม

ใครสามารถเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลได้บ้าง?

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลสามารถเกิดกับใครก็ได้ แต่ส่วนมากจะพบกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 25 ปี

ภาวะนี้มักพบกับผู้ที่มีเชื้อสายมาจากชาวยุโรปผิวขาวและคนผิวดำ แต่จะหายากกับคนที่มีต้นกำเนิดมาจากเอเชีย (สาเหตุยังไม่เป็นที่แน่ชัด) และทั้งผู้ชายกับผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลเท่า ๆ กัน

สามารถทำการรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลได้อย่างไร?

การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการระหว่างช่วงกำเริบ และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา (การคงสภาพอาการสงบ)

ผู้ป่วยส่วนมากจะได้รับการรักษาขั้นต้นด้วยยาต่าง ๆ เช่น:

ช่วงที่มีอาการกำเริบที่ไม่รุนแรงถึงปานกลางจะสามารถรักษาได้เองที่บ้าน แต่สำหรับอาการกำเริบรุนแรงนั้นต้องรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่าง ๆ เช่นการยืดออกของลำไส้ หรือการขยายใหญ่ขึ้นของแผล โดยทั้งสองภาวะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรูบนลำไส้ใหญ่ได้ หากยาไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือคุณภาพชีวิตของคุณได้รับผลกระทบจากภาวะนี้ค่อนข้างมาก อาจต้องนำการผ่าตัดเข้าไปเป็นตัวเลือกการรักษาต่อไป

ระหว่างการผ่าตัด ลำไส้เล็กของคุณจะถูกผ่าแยกออกจากช่องเปิดที่หน้าท้องของคุณ (เรียกว่ากระบวนการ ileostomy) หรือใช้ถุงติดร่างกายที่เชื่อมเข้ากับทวารหนักของคุณ (ถุง ileo-anal)

สาเหตุการเกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

สาเหตุที่แท้จริงของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ก็คาดกันว่าเป็นผลมาจากปัญหาของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย

1.ภาวะระบบภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง

ระบบภูมิคุ้มกันคือกระบวนการป้องกันการติดเชื้อของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่าโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลเป็นภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองชนิดหนึ่ง

ระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ต่อสู้กำจัดการติดเชื้อด้วยการปล่อยเซลล์เม็ดเลือดขาวปนกับเลือดเพื่อทำลายสาเหตุของภาวะติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นตามเนื้อเยื่อร่างกายที่ติดเชื้อ (อาการบวมแดง)

สำหรับกรณีของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุดคือการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปรกติและเข้าไปโจมตีแบคทีเรียดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่และช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร จนทำให้ลำไส้ใหญ่และไส้ตรงอักเสบขึ้นมา

อีกทฤษฎีหนึ่งคือมีการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางประเภทที่เข้าไปกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงาน แต่ระบบกลับไม่ยอมปิดตัวลงแม้การติดเชื้อจะหายไปแล้ว ซึ่งทำให้เกิดอาการอักเสบขึ้นเรื่อย ๆ

และยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่กล่าวว่าไม่มีการติดเชื้อใดมาเกี่ยวข้องแต่แรก แต่เป็นการที่ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดปรกติด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ว่าเกิดความไม่สมดุลของแบคทีเรียดีและไม่ดีในลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

2.พันธุกรรม

มีการศึกษาหนึ่งที่อ้างว่าพันธุกรรมที่ตกทอดมาเป็นปัจจัยในการเกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลขึ้น โดยพบว่าผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลมากกว่า 1 ใน 4 มีประวัติครอบครัวใกล้ชิดกับโรคนี้

มีข้อมูลว่าเชื้อชาติก็ส่งผลต่อระดับผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลเช่นกัน ซึ่งยิ่งสนับสนุนว่าพันธุกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรคนี้ขึ้นจริง

นักวิจัยได้ชี้ไปยังยีนหลากหลายตัวที่อาจส่งผลให้เกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลขึ้น แต่ก็เชื่อกันว่าพันธุกรรมที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันอาจมีอยู่หลายตัวด้วยกัน

3.ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

คาดว่าสถานที่ที่คุณอาศัยอยู่และวิธีการใช้ชีวิตของคุณก็ส่งผลต่อโอกาสการเกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลเช่นกัน ทำให้กล่าวได้ว่าปัจจัยทางสภาพแวดล้อมเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น ภาวะนี้พบได้มากตามพื้นที่เมืองของประเทศทางตอนเหนือของยุโรปกับอเมริกา

ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่อาจเชื่อมโยงกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลได้ถูกศึกษามากมายเช่นมลภาวะในอากาศ การใช้ยา และอาหารบางประเภท แต่ยังไม่สามารถยืนยันปัจจัยใดได้เลย อีกทั้งยังสังเกตได้ว่าโรคนี้มักพบในประเทศที่ประชากรส่วนมากมีสุขอนามัยที่ดี ทำให้เชื่อว่าการสัมผัสกับแบคทีเรียอาจเป็นปัจจัยสำคัญของโรคนี้ก็เป็นได้

การวินิจฉัยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

ในการวินิจฉัยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลนั้น แพทย์จะทำการสอบถามอาการต่าง ๆ ของคุณ ตรวจสอบประวัติสุขภาพ และตรวจร่างกายของคุณก่อนแพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อหาสัญญาณต่าง  ๆ เช่นความซีดของผิวหนัง (จากภาวะโลหิตจาง) ความกดเจ็บในช่องท้อง (ที่อาจมาจากการอักเสบ)

การตรวจตัวอย่างอุจจาระจะสามารถหาสัญญาณของการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ เช่นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ (gastroenteritis) ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

การตรวจเลือดจะดำเนินการเพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจาง และเพื่อมองหาการอักเสบที่มีอยู่ภายในร่างกายของคุณ

การทดสอบเพิ่มเติม

หากแพทย์คาดว่าคุณประสบกับโรคลำไส้อักเสบ ( inflammatory bowel disease) (คำที่ใช้เรียกโรค 2 ประเภทคือ: โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล กับโรคโครห์น) คุณจำต้องเข้ารับการทดสอบเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล โดยอาจจะมีทั้งการเอกซเรย์ (X-ray) การถ่ายภาพคอมพิวเตอร์ (computerized tomography - CT) และการตรวจไส้ตรงและลำไส้ใหญ่อย่างละเอียด

การตรวจร่างกายมีอยู่สองประเภท ดังนี้:

1.การส่องกล้องลำไส้ใหญ่

การวินิจฉัยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลสามารถยืนยันโรคได้ด้วยการตรวจสอบหาการอักเสบและระดับการอักเสบภายในลำไส้ ซึ่งมักดำเนินการด้วยกระบวนการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Sigmoidoscopy) ที่ใช้ sigmoidoscope ที่เป็นท่อเรียวยาวและยืดหยุ่นสอดที่มีกล้องสอดเข้าทวารหนักของคุณ

กระบวนการส่องกล้องลำไส้ใหญ่สามารถดำเนินการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อขนาดเล็กจากลำไส้ได้ด้วย ซึ่งตัวอย่างจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการณ์ต่อไป (เรียกว่าการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ หรือ biopsy)

กระบวนการนี้อาจสร้างความไม่สบายตัวบ้าง โดยแพทย์จะให้ยาระงับประสาทเพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลาย โดยยาระงับประสาทจะใช้เวลาออกฤทธิ์ประมาณ 15 นาที และภายหลังการตรวจ คุณจะสามารถกลับบ้านได้ทันที

กระบวนการนี้สามารถตรวจได้เฉพาะส่วนลำไส้ตรงและส่วนล่างของลำไส้ใหญ่ หากคาดว่าแผลเกิดขึ้นในส่วนอื่น ๆ ที่ลึกลงไป แพทย์อาจต้องส่งคุณไปรับการตรวจอีกประเภทแทน (Colonoscopy)

2.การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด

การตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (Colonoscopy) จะมีการใช้ท่อยาวที่มีกล้องติดอยู่ที่ปลายที่เรียกว่า colonoscope สอดเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ซึ่งสามารถทำการเก็บภาพในลำไส้ได้ทั้งหมด และยังสามารถดำเนินการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อออกมาได้อีกด้วย

ก่อนเข้ารับการตรวจส่องกล้องประเภทนี้ ลำไส้ของคุณจะถูกทำความสะอาดทั้งหมดด้วยการใช้ยาระบายชนิดแรง และเนื่องจากว่ากระบวนการนี้จะสร้างความไม่สบายตัวแก่คุณ แพทย์จะจัดจ่ายยาระงับประสาทและยาแก้ปวดเพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลายและเจ็บปวดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระบวนการนี้ใช้เวลาประมารครึ่งชั่วโมง และคุณสามารถกลับบ้านได้ภายหลังกระบวนการตรวจเสร็จสิ้น

การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

วิธีรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะ และความถี่ที่คุณประสบกับช่วงกำเริบ โดยเป้าหมายมีเพื่อ:

  • ลดช่วงการเกิดอาการ
  • คงสภาพช่วงโรคสงบ (remission)

การรักษามักมีการใช้ยามากมายหลายประเภท และยังมีตัวเลือกการผ่าตัดรักษาอีกด้วย  

ทีมที่ดูแลการรักษาจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมากมายหลายท่าน เช่น:

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: เช่นผู้เชี่ยวชาญหรือศัลยแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหาร
  • แพทย์ผู้ดูแล
  • พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ

รายละเอียดการรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลมีดังนี้

  • Aminosalicylates
  • Aminosalicylates (5-ASA) เช่นยา  sulphasalazine หรือ mesalazine คือยาที่ช่วยลดการอักเสบที่มักเป็นการรักษาขั้นตอนแรกสำหรับผู้ที่มีอาการจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลแบบไม่รุนแรงถึงปานกลาง

5-ASA สามารถใช้ได้ทั้ง:

  • ยาทาน (ยาเม็ดชนิดกลืน หรือแคปซูล)
  • ยาเหน็บ (ยาแคปซูลสำหรับสอดเข้าทวารหนัก)
  • ยาสวนทวาร (ยาเหลวที่ฉีดเข้าไปในลำไส้ใหญ่)

ชนิดของ 5-ASA ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการลุกลามของภาวะ โดยยาเหล่านี้อาจมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง แต่ก็มีผู้ใช้บางรายอาจประสบกับอาการต่อไปนี้:

คอร์ติโคสเตียรอยด์

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) อย่าง prednisolone เป็นยาที่แรงกว่ากลุ่มแรกที่ช่วยลดการอักเสบลง ยากลุ่มนี้สามารถใช้แทนหรือใช้ร่วมกับ 5-ASA ในการรักษาอาการกำเริบได้ในกรณีที่ 5-ASA เพียงตัวเดียวไม่ได้ผล

เช่นเดียวกับ 5-ASA สเตียรอยด์เองก็เป็นได้ทั้งยาทาน ยาเหน็บ หรือยาสวนทวาร

อย่างไรก็ตามยาชนิดนี้ก็มีข้อแตกต่างจาก 5-ASA คือไม่ควรใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นการรักษาระยะยาว (หรือเพื่อคงสภาพช่วงอาการสงบ) เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงร้ายแรงมากมาย เช่นทำให้กระดูกพรุน (osteoporosis) และต้อหิน (cataracts)

ผลข้างเคียงจากการใช้สเตียรอยด์ในระยะสั้นมีดังนี้:

ยากดภูมิคุ้มกัน

ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) อย่าง tacrolimus และ azathioprine เป็นยาที่ใช้ลดกิจกรรมของระบบภูมิคุ้มกันลง ยากลุ่มนี้เป็นได้ทั้งยาเม็ดสำหรับรักษาช่วงกำเริบที่มีความรุนแรงต่ำถึงปานกลาง หรือใช้คงสภาพอาการสงบหากอาการของคุณไม่ตอบสนองต่อยาตัวอื่น

ยากดภูมิที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลมีประสิทธิภาพอย่างมาก แต่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่ายาจะแสดงผลออกมา (มักเริ่มเห็นผลในช่วงสองถึงสามเดือน)

ยากลุ่มนี้ทำให้คุณอ่อนไหวต่อการติดเชื้อมากขึ้น ดังนั้นควรรีบแจ้งแพทย์ทันทีที่เห็นสัญญาณของการติดเชื้อต่าง ๆ เช่นมีไข้สูง เป็นต้น

ยากดภูมิคุ้มกันยังสามารถลดกระบวนการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงลงอีกด้วย ซึ่งจะทำให้คุณเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ดังนั้นคุณจึงต้องเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อเฝ้าระวังระดับเซลล์เลือดของคุณและปัญหาต่าง ๆ บ่อยขึ้น

การรักษาระยะกำเริบรุนแรง

ในขณะที่อาการกำเริบชนิดไม่รุนแรงหรือปานกลางจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลสามารถรักษาได้เองที่บ้าน แต่หากเป็นอาการกำเริบที่รุนแรงจำต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อควบคุมความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ (dehydration) และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ร้ายแรงมากกว่า เช่นลำไส้ฉีกขาด เป็นต้น

เมื่ออยู่ในโรงพยาบาล คุณจะได้รับยาและของเหลวเข้าเส้นเลือด (fluids intravenously) ยาที่คุณได้รับมักจะเป็นยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันที่ชื่อว่า infliximab หรือ ciclosporin

Ciclosporin

ยา Ciclosporin ออกฤทธิ์เหมือนกับยากดภูมิคุ้มกันคือการลดกิจกรรมของระบบภูมิคุ้มกันลง อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้นับว่าแรงกว่ายาที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลชนิดไม่รุนแรงมาก และเริ่มออกฤทธิ์เร็วกว่า (มักจะภายในไม่กี่วัน)

Ciclosporin จะให้ด้วยการค่อย ๆ หยดเข้าไปในแขนของคุณ และการรักษาจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณเจ็ดวัน

ผลข้างเคียงจากการหยดยา Ciclosporin มีดังนี้:

  • ตัวสั่น
  • ผมและขนงอก
  • เหน็ดเหนื่อยรุนแรง
  • เหงือกบวม
  • คลื่นไส้
  • ท้องร่วง

ยา Ciclosporin ยังทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงได้เช่นความดันโลหิตสูง และลดการทำงานของตับและไตลง ซึ่งแพทย์จะคอยสอดส่องอาการของคุณตลอดการใช้ยานี้เพื่อเฝ้าระวังสัญญาณอันตรายที่กล่าวไป

การใช้ยาทางชีวภาพ

Infliximab, adalimumab, golimumab และ vedolizumab คือยาที่ใช้ลดการอักเสบของลำไส้ด้วยการจัดการกับโปรตีนที่ระบบภูมิคุ้มกันใช้เพื่อกระตุ้นการอักเสบ ยาเหล่านี้จะเข้าไปยับยั้งตัวรับสัญญาณและลดการอักเสบลง

ยาข้างต้นอาจใช้กับผู้ใหญ่ที่มีอาการจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลแบบปานกลางถึงรุนแรงในกรณีที่ตัวเลือกรักษาอื่น ๆ ใช้ไม่ได้ผลหรือไม่เหมาะสม โดยยา Infliximab อาจจะใช้กับเด็กหรือผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลที่มีอายุน้อย (ประมาณ 6-17 ปี) ก็ได้

การรักษาจะดำเนินการไปเป็นเวลา 12 เดือนนอกจากว่ายาจะออกฤทธิ์ได้ไม่ตรงตามความคาดหวัง

Infliximab

Infliximab เป็นยาที่ให้ผ่านเส้นเลือดเป็นเวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมง คุณอาจจะได้รับการหยดยาอีกครั้งหลังจากนั้นสองสัปดาห์ และอีกครั้งหลังจากผ่านไปหกสัปดาห์ หากคุณยังคงต้องได้รับการรักษาอยู่ ยานี้จะสามารถใช้ได้ต่อไปอีกทุก ๆ แปดสัปดาห์

ผลข้างเคียงจาก Infliximab มีดังนี้:

  • ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น: ควรแจ้งแพทย์ผู้ดูแลหากคุณมีอาการที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อต่าง ๆ เช่นไอ มีไข้สูง หรือเจ็บคอ
  • เวียนศีรษะบ้านหมุน (vertigo)
  • ภูมิแพ้: มีอาการหายใจลำบาก ปวดศีรษะ และลมพิษ (urticaria)

กรณีส่วนมาก ปฏิกิริยาต่อยาตัวนี้จะเกิดขึ้นในช่วงสองชั่วโมงแรกหลังสิ้นสุดการหยดยา อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับยาบางรายอาจประสบกับปฏิกิริยาข้างต้นล่าช้าออกไปสองถึงสามวัน หรือแม้แต่หลายสัปดาห์ก็ได้ หากคุณเริ่มประสบกับอาการข้างต้นหลังได้รับยา Infliximab ให้ไปพบแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือในทันที

คุณจะถูกเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดหลังการหยดยาครั้งแรก และหากจำเป็นอาจมีการใช้ยาต้านภูมิแพ้ชนิดแรงอย่าง epinephrine กับคุณเสียก่อน

ยา Infliximab เป็นยาที่ไม่เหมาะกับผู้ที่เคยเป็นวัณโรค (tuberculosis - TB) หรือโรคตับอักเสบ B (hepatitis B) และจำต้องใช้กับผู้ป่วย HIV หรือโรคตับอักเสบ C (hepatitis C) อย่างระมัดระวัง เนื่องจากว่ามีหลายกรณีที่พบว่ายา Infliximab เข้าไปกระตุ้นให้การติดเชื้อที่จำศีลอยู่กลับออกมา อีกทั้งยา Infliximab ยังไม่เหมาะกับผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis)

การผ่าตัด

หากคุณอาการกำเริบจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลบ่อยครั้งและคุณภาพชีวิตของคุณเริ่มได้รับผลกระทบมากขึ้น หรือหากคุณมีอาการกำเริบรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา แพทย์อาจนำการผ่าตัดเข้ามาพิจารณาเป็นทางเลือกรักษา

การผ่าตัดรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลจะเป็นการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออก (colectomy) ระหว่างกระบวนการนี้ ลำไส้เล็กของคุณจะถูกใช้ขับของเสียออกจากร่างกายแทนที่จะเป็นลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำเช่นนี้จะต้องดำเนินการ:

ไอลีออสโตมี (ileostomy) : ที่ซึ่งลำไส้เล็กจะถูกแบ่งออกมาทางรูบนหน้าท้อง และจะมีถุงชนิดพิเศษไว้กักเก็บของเสียที่ออกมา

ถุง ileo-anal (หรืออีกชื่อคือ J-pouch): ที่ซึ่งส่วนของลำไส้เล็กถูกใช้สร้างถุงภายในร่างกายที่เชื่อมไปยังทวารหนัก ทำให้คุณสามารถถ่ายหนักได้ตามปรกติ

ถุง ileo-anal ถูกดำเนินการกันมากขึ้เพราะว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ต้องใช้ถุงเก็บของเสียภายนอก

เมื่อลำไส้ถูกนำออกไปแล้ว โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลจะไม่เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตามคุณต้องพิจารณาความเสี่ยงจากการผ่าตัดและผลกระทบที่จะเกิดกับคุณไปตลอดชีวิตหลังกระบวนการไอลีออสโตมี หรือถุง ileo-anal

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

หากคุณเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล คุณอาจจะประสบกับปัญหาต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ดังนี้

1.ภาวะกระดูกพรุน

ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลจะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ซึ่งเป็นภาวะที่กระดูกอ่อนแอลงและเปราะหักง่ายขึ้น

ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลโดยตรง แต่จะเกิดเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นเวลานาน อีกทั้งยังอาจเกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนอาหารการกินของผู้ป่วย เช่นจากการเลี่ยงทานอาหารจำพวกนมที่กระตุ้นให้เกิดอาการ

หากคุณคาดว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน จะต้องมีการสอดส่องสุขภาพกระดูกของคุณเป็นประจำ โดยคุณอาจจะถูกแนะนำให้ใช้ยาหรืออาหารเสริมวิตามิน D กับแคลเซียมเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงแก่กระดูกของคุณ

การเจริญเติบโตและพัฒนาการไม่ดี

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล และการรักษาโรคนี้บางวิธีส่งผลต่อการเจริญเติบโตและทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธุ์ช้า

เด็กและผู้ที่อายุน้อยที่ป่วยเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลควรจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพวัดความสูงและน้ำหนักเป็นประจำ เพื่อตรวจสอบการเติบโตว่าเป็นไปตามมาตรฐานอายุหรือไม่

การตรวจสอบนี้ควรดำเนินการทุก ๆ 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย การรักษาที่พวกเขาได้รับ และความรุนแรงของอาการ

หากมีปัญหาเกี่ยวกับการเติบโตหรือพัฒนาการของลูกคุณ พวกเขาอาจถูกส่งตัวไปพบกับกุมารแพทย์ต่อไป

2.ภาวะท่อน้ำดีอักเสบแข็งปฐมภูมิ

ภาวะท่อน้ำดีอักเสบแข็งปฐมภูมิ (Primary sclerosing cholangitis - PSC) คือภาวะที่ท่อน้ำดี (bile ducts) เกิดการอักเสบและเสียหายแบบลุกลามเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ภาวะนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนหายากของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล โดยท่อน้ำดีก็คือกลุ่มท่อขนาดเล็กที่ใช้ลำเลียงน้ำดีออกจากตับไปสู่ระบบย่อยอาหาร

PSC มักจะไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ จนกว่าจะเข้าสู่ระยะลุกลามของโรค ซึ่งจะเริ่มแสดงอาการดังนี้:

  • เหน็ดเหนื่อยรุนแรง
  • ท้องร่วง
  • คันผิวหนัง
  • น้ำหนักลด
  • หนาวสั่น
  • มีไข้สูง
  • ผิวหนังและตาขาวออกสีเหลือง (ดีซ่าน)

ขณะนี้ยังไม่มีวิธีรักษา PSC มีเพียงการใช้ยาบรรเทาอาการบางอย่างลงเท่านั้น เช่นอาการคันผิวหนัง เป็นต้น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง อาจต้องมีการผ่าตัดปลูกถ่ายตับช่วยเหลือเกิดขึ้น

3.ภาวะลำไส้โป่งพอง

ภาวะลำไส้โป่งพอง (Toxic megacolon) เป็นภาวะแทรกซ้อนหายากและร้ายแรงที่เกิดจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลแบบรุนแรง ที่ซึ่งการอักเสบของลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดแก๊สกักขังอยู่ภายในจนทำให้ลำไส้ขยายใหญ่ขึ้น

ภาวะนี้เป็นภาวะอันตรายที่อาจทำให้ลำไส้ใหญ่ฉีกขาด และทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในเลือดขึ้น (septicaemia)

อาการของภาวะลำไส้โป่งพองมีดังนี้:

  • ปวดท้อง
  • มีไข้สูง
  • หัวใจเต้นถี่

ภาวะลำไส้โป่งพองสามารถรักษาได้ด้วยการหยดของเหลว ยาปฏิชีวนะ และยาสเตียรอยด์เข้าเส้นเลือด แต่หากยาไม่ทำให้ภาวะนี้ดีขึ้น อาจต้องดำเนินการผ่าตัดกำจัดลำไส้ใหญ่แทน

การรักษาอาการจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลก่อนที่จะเป็นรุนแรงสามารถป้องกันการเกิดภาวะลำไส้โป่งพองได้

4.มะเร็งลำไส้ใหญ่

ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลจะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคนี้จะเพิ่มสูงขึ้นหากคุณมีอาการรุนแรงหรือเกิดกับส่วนมากของลำไส้ ยิ่งคุณเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลนานเท่าใด ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลจะไม่สังเกตว่าตนเองมีมะเร็งลำไส้เพราะอาการจากระยะเริ่มต้นของโรคนี้จะคล้ายกันอย่างมาก ดังนี้:

  • มีเลือดปนอุจจาระ
  • ท้องร่วง
  • ปวดท้อง

ดังนั้นคุณต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองหาสัญญาณของมะเร็งภายหลังเริ่มมีอาการครั้งแรก 10 ปี

การตรวจสอบมักจะดำเนินการด้วยการสอดกล้องลำไส้ใหญ่ที่เป็นการใช้ท่อยาวที่มีกล้องอยู่ที่ปลาย (colonoscope) สอดเข้าทวารหนัก ความถี่ในการดำเนินการ colonoscopy จะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่คุณป่วยเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล และอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ อย่างความรุนแรงและประวัติโรคมะเร็งลำไส้ในครอบครัวคุณอีกด้วย ซึ่งอาจทำให้เวลาที่ต้องเข้ารับการตรวจผันแปรออกไประหว่างทุก ๆ  1 ถึง 5 ปี

การลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นสามารถทำได้ด้วย:

  • การทานอาหารสมดุลและดีต่อสุขภาพที่ประกอบด้วยผักและผลไม้สด
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • คงสภาพน้ำหนักที่ดี
  • เลี่ยงการดื่มสุราและสูบบุหรี่
  • การใช้ยา aminosalicylates จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน

การใช้ชีวิตร่วมกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล

มีหลายสิ่งที่คุณสามารถปฏิบัติเพื่อควบคุมอาการของโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้

คำแนะนำด้านอาหารการกิน

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะไม่คาดว่าอาหารมีบทบาทต่อการก่อโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล แต่การปรับเปลี่ยนอาหารการกินก็สามารถควบคุมภาวะนี้ได้จริง ยกตัวอย่างเช่น:

  • การทานอาหารมื้อเล็ก: การทานอาหารมื้อเล็ก 5 หรือ 6 มื้อต่อวันแทน 3 มื้อใหญ่ต่อวัน
  • ดื่มน้ำให้มาก ๆ : เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำจากอาหารท้องร่วง พยายามเลี่ยงแอลกอฮอล์และคาเฟอีนเพราะจะทำให้อาการท้องร่วงทรุดลง ส่วนน้ำอัดลมจะทำให้ท้องอืด
  • ทานอาหารเสริม: ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารเสียก่อน
  • การจดบันทึกการรับประทานอาหาร การจดบันทึกการรับประทานอาหารจะช่วยให้คุณทราบว่าตนเองสามารถรับอาหารประเภทใดได้ และอาหารใดที่ทำให้อาการของคุณทรุดลงบ้าง ซึ่งจะทำให้คุณสามารถตัดอาหารที่ก่อให้เกิดอาการออกได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรเลี่ยงอาหารทั้งหมู่ไปโดยปริยายโดยไม่ปรึกษาทีมรักษาของคุณเสียก่อน เพราะอาจทำให้คุณไม่ได้รับสารอาหารอย่างวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกายบางประเภท

หากคุณต้องการลองอาหารใหม่ ๆ พยายามลองหนึ่งประเภทต่อวันเพื่อให้สามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่ร่างกายของคุณแสดงออกมาได้ง่ายขึ้น

อาหารกากใยต่ำ

การทานอาหารกากใยอาหารต่ำชั่วคราวจะช่วยให้อาการกำเริบจากโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลดีขึ้น โดยอาหารเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อลดปริมาณและความถี่ของอุจจาระลง

ยกตัวอย่างอาหารกากใยต่ำดังนี้:

  • ขนมปังเนื้อขาว
  • ธัญญาหารที่ไม่ใช้ธัญพืชรวม เช่นที่ทำจากข้าวโพด
  • ข้าวขาว
  • ผักสุกที่ปอกเปลือก ใย และไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ
  • ไข่
  • เนื้อปลา

หากคุณจะลองทานอาหารกากใยอาหารต่ำ ควรปรึกษากับทีมรักษาของคุณเสียก่อน

การบรรเทาความเครียด

แม้ว่าความเครียดจะไม่ได้ก่อให้เกิดโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลดีขึ้น แต่การจัดการกับความเครียดก็สามารถช่วยลดความถี่การเกิดอาการจากโรคนี้ได้ โดยคุณสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำลดความเครียดต่อไปนี้ได้:

  • การออกกำลังกาย: นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้วยังทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย โดยทีมรักษาจะสามารถแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคุณได้
  • เทคนิคผ่อนคลาย: เช่นบริหารการหายใจ การทำสมาธิ และโยคะ
  • การสื่อสาร: การใช้ชีวิตร่วมกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลเป็นเรื่องน่าหดหู่สำหรับบางคน ดังนั้นการปลดปล่อยด้วยการสื่อสารความรู้สึกกับผู้อื่นสามารถช่วยได้จริง

ผลกระทบทางอารมณ์

การอาศัยร่วมกับโรคระยะยาวที่คาดเดาไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างมาก ในบางกรณี ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด

สัญญาณของโรคซึมเศร้าคือรู้สึกตกต่ำ หมดหวัง และไม่มีความพอใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ หากคุณรู้สึกว่าตนเองเข้าสู่ความซึมเศร้าดังที่กล่าวไป ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาทันที

คุณสามารถพบปะกับผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลท่านอื่นทั้งแบบตัวต่อตัวหรือทางออนไลน์เพื่อสื่อสารและระบายความอัดอั้นได้

การมีบุตร

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลไม่ใช่โรคที่ส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตร อย่างไรก็ตามความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อถุง ileo-anal

ความเสี่ยงนี้จะลดน้อยลงหากคุณเข้ารับการผ่าตัดแบ่งลำไส้เล็กออกมาทางหน้าท้อง (ไอลีออสโตมี)

การตั้งครรภ์

ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลส่วนมากจะสามารถตั้งครรภ์ได้ และบุตรที่เกิดมาจะมีสุขภาพที่ดีสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม หากคุณวางแผนหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรทำการปรึกษากับทีมรักษาเสียก่อน เพราะหากคุณประสบกับช่วงอาการกำเริบระหว่างการตั้งครรภ์ คุณจะมีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือทำให้บุตรคลอดด้วยน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ได้

ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงแนะนำให้คุณควบคุมโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลของคุณให้ดีก่อนตั้งครรภ์

ยาที่ใช้กับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผลส่วนมากสามารถใช้ระหว่างที่ตั้งครรภ์ได้ รวมไปถึงคอร์ติโคสเตียรอยด์  5-ASA และยากดภูมิส่วนมาก

อย่างไรก็ตามก็มียาบางชนิด (เช่นยากดภูมิบางตัว) ที่อาจต้องเลี่ยงไปก่อนเนื่องจากทำให้ทารกมีความเสี่ยงต่อความผิดปรกติหลังคลอด

ในบางกรณีแพทย์อาจนำยาที่ไม่แนะนำให้ใช้ระหว่างตั้งครรภ์กับคุณเนื่องจากว่าพวกเขาคาดว่าความเสี่ยงต่อการเกิดอาการกำเริบนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่ครรภ์จะได้รับผลกระทบจากยา ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของแพทย์และตัวคุณเอง


31 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Ulcerative colitis: Symptoms, diet, causes, and treatment. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/163772)
Ulcerative Colitis (UC): Symptoms, Causes, Diagnosis, Treatment. WebMD. (https://www.webmd.com/ibd-crohns-disease/ulcerative-colitis/what-is-ulcerative-colitis)
Ulcerative Colitis: Causes, Symptoms, and Treatments. Healthline. (https://www.healthline.com/health/ulcerative-colitis)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมีอะไรบ้าง
ระยะของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมีอะไรบ้าง

มะเร็งลำไส้ใหญ่มี 5 ระยะซึ่งแต่ละระยะจะมีการรักษาแตกต่างกันออกไป

อ่านเพิ่ม
ฉันควรรับประทานอาหารอย่างไรหลังจากการผ่าตัดทำทวารเทียมหรือการผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ออก
ฉันควรรับประทานอาหารอย่างไรหลังจากการผ่าตัดทำทวารเทียมหรือการผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ออก

การเปลี่ยนแปลงอาหารเล็กๆ น้อยๆ หลังการผ่าตัดทำทวารเทียมจะช่วยให้ร่างกายของคุณปรับตัวได้

อ่านเพิ่ม
ฉันควรกินอาหารอย่างไรหลังจากตัดลำไส้ใหญ่ไปแล้ว?
ฉันควรกินอาหารอย่างไรหลังจากตัดลำไส้ใหญ่ไปแล้ว?

ตัวเลือกอาหารที่เหมาะสมช่วยเรื่องการรับประทานอาหารที่ดีหลังจากตัดลำไส้ใหญ่ไปแล้ว

อ่านเพิ่ม