เหงือกบวมแดง อักเสบ เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่ทรมานไม่น้อย เพราะเหงือกเป็นส่วนที่อยู่ติดกับรากฟัน เมื่อเคี้ยวอาหารจึงทำให้รู้สึกปวดและเสียวฟันไปด้วย บางคนมีเลือดออกตามไรฟัน หากเป็นหนัก อาจเป็นหนอง หรือเหงือกอาจบวมโตจนคลุมฟันบริเวณนั้นไปเลยก็ได้
ปัญหาเหงือกบวมไม่เพียงทำให้รับประทานอาหารก็ไม่อร่อยเท่านั้น แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ยังทำให้เกิดโรคปริทันต์ (Periodontitis) ที่อาจรุนแรงถึงขึ้นต้องสูญเสียฟันไป
ตรวจสุขภาพฟันวันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 0 บาท ลดสูงสุด 100%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หากคุณเริ่มสังเกตว่าตัวเองมีอาการเหงือกบวมจึงไม่ควรนิ่งนอนใจและเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากของตัวเองได้แล้ว
สาเหตุของเหงือกบวม
เหงือกบวมส่วนใหญ่เกิดจากการไม่รักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน จนทำให้เกิดการสะสมของคราบสกปรกและแบคทีเรีย (คราบพลัค) คราบเหล่านี้จะก่อตัวอย่างรวดเร็วและจับตัวจนกลายเป็นหินปูน หรือทางวงการทันตกรรมเรียกอีกอย่างว่า "หินน้ำลาย"
เมื่อเกิดหินปูนจะทำให้ความสะอาดได้ยากกว่าเดิม ต้องไปให้ทันตแพทย์ขูดให้เท่านั้น
อีกทั้งเมื่อนานไปจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือกและเหงือกอักเสบ ส่งผลให้เหงือกบวม มีเลือดออกตามไรฟัน และอาจมีฟันผุด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การอักเสบอาจลุกลามจนกลายเป็นโรคเหงือกและฟันที่รุนแรง ทำให้เหงือกร่น ฟันโยก และฟันหลุดได้ในที่สุด
อาการเหงือกบวมยังอาจเกิดได้จากอีกหลายสาเหตุ เช่น
- การติดเชื้อราและไวรัส หากมีเชื้อราเจริญเติบโตมากเกินไปในช่องปาก หรือมีการติดเชื้อไวรัส เช่น เริม ก็อาจเป็นสาเหตุให้เหงือกบวมได้
- การตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์จะส่งผลให้มีเลือดไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณเหงือกและฟันมากขึ้น นอกจากนี้ภูมิต้านทานร่างกายที่ลดลงในช่วงนี้ก็อาจเพิ่มโอกาสให้เกิดการติดเชื้อที่เหงือก เป็นสาเหตุให้เหงือกบวมอักเสบได้
- ขาดวิตามินซี การขาดวิตามินซีเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็ก ภาวะนี้สามารถทำให้เกิดโรคลักปิดลักเปิด และมีเลือดออกตามไรฟัน นานเข้าอาจทำให้เหงือกบวมและเป็นโรคเหงือกตามมาได้
- แปรงฟันแรงเกินไป หลายๆ คนมักแปรงฟันอย่างรุนแรงจนเหงือกบาดเจ็บ ซึ่งทำให้มีอาการเหงือกบวมได้เช่นกัน
- โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว จะทำให้เหงือกไวต่อการอักเสบเมื่อเจอคราบพลัค แม้ว่าจะมีคราบพลัคสะสมเพียงเล็กน้อยก็ตาม
- ยาบางชนิด เช่น ยารักษาภาวะความดันโลหิตสูงกลุ่ม Calcium channel blocker ยากันชัก ยากดภูมิคุ้มกัน บางชนิด จะทำให้เหงือกบวมโตมากยิ่งขึ้น หากพบว่า เหงือกบวมโต ควรปรึกษาแพทย์และทันตแพทย์เพื่อทำการปรับยาให้เหมาะสม
- สาเหตุอื่นๆ เช่น เกิดความระคายเคืองจากยาสีฟัน หรือน้ำยาบ้วนปากที่ใช้ มีเศษอาหารติดอยู่ในซอกระหว่างเหงือกและฟัน สวมใส่ฟันปลอม หรืออุปกรณ์จัดฟัน หรือได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางอย่าง
- การสูบบุหรี่ ก่อให้เกิดการระคายเคืองของเหงือก ส่งผลให้เหงือกอักเสบและเป็นโรคปริทันต์อย่างมาก
นอกจากนี้หากมีเหงือกบวมอักเสบ เป็นก้อน สีผิดปกติ กระดูกขากรรไกรบริเวณนั้นมีขนาดโตขึ้น ผิดปกติ อาจเกิดจากโรคอื่นๆ เช่น ถุงน้ำ เนื้องอก หรือมะเร็ง
รักษาโรคปริทันต์ วันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 1,164 บาท ลดสูงสุด 5%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบทันตแพทย์
เหงือกบวมเป็นอาการที่พบได้บ่อยๆ และมักไม่รุนแรง แต่คุณอาจจำเป็นต้องไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง หากมีอาการต่อไปนี้
- เหงือกบวมเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์
- มีอาการเจ็บปวดจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เคี้ยวอาหารไม่ได้ รู้สึกปวดร้าวที่ฟันมาถึงศีรษะ หรือปวดตลอดเวลาจนนอนไม่ได้
- เหงือกบวมมาก และขยายตัวจนปิดคลุมฟันบริเวณนั้น
- มีเลือดออกมากจากการแปรงฟัน
การรักษาเหงือกบวม
เมื่อมีอาการเหงือกบวม หรือเจ็บเหงือก ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษา เบื้องต้นควรบรรเทาอาการด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลช่องปากและฟัน ตามคำแนะนำต่อไปนี้
- แปรงฟันให้สะอาดและใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันด้วย
- ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เพื่อเพิ่มการผลิตน้ำลาย ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งแบคทีเรียในช่องปากได้
- หากเหงือกบวมอักเสบและปวดมาก อาจรับประทานยาแก้ปวด แล้วรีบไปพบทันตแพทย์
หากเหงือกบวมเกิดจากคราบหินปูนเกาะตัวหนา คุณต้องเข้ารับการขูดหินปูนและเกลารากฟันเพื่อไม่ให้เกิดเหงือกอักเสบขึ้นอีก ส่วนในกรณีที่เหงือกบวมอย่างรุนแรงและมีเหงือกร่น แพทย์อาจต้องผ่าตัดเหงือกบริเวณนั้น และปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเหงือกใหม่ให้
การป้องกันเหงือกบวม
เพื่อป้องกันอาการเหงือกบวมเกิดขึ้นซ้ำ คุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้เหงือกบวม ระคายเคือง หรืออักเสบ โดยทำได้ดังนี้
- ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดตามซอกฟัน เพื่อไม่ให้มีเศษอาหารและคราบแบคทีเรียตกค้าง
- หลีกเลี่ยงการใช้แปรงสีฟันที่แข็ง หรือน้ำยาบ้วนปาก ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อช่องปาก
- หมั่นไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุกๆ 6 เดือน
- เลี่ยงการรับประทานอาหารที่เหนียวหรือติดฟัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะผักผลไม้ เพื่อป้องกันการขาดวิตามินซี และเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อในช่องปาก
- งดการสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพฟัน จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android