ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือเรียกสั้นๆว่า ยาสเตียรอยด์ (steroids) เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบใช้รักษาโรคได้หลากหลายโรค ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนที่สังเคราะห์ขึ้นโดยมนุษย์ซึ่งเลียนแบบการสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลของต่อมหมวกไต ยากลุ่มนี้ช่วยลดอาการอักเสบ และมีผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น

มีคำถามเกี่ยวกับ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

สารบัญ [show]

สรรพคุณของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

โดยมากยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะใช้ในกรณีลดอาการอักเสบและกดภูมิคุ้มกัน สามารถรักษาโรคได้หลายชนิด ดังเช่น

  • โรคหอบหืด
  • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)  และ โรคไข้ละอองฟาง (hay fever)
  • ผื่นลมพิษ (urticaria)
  • ผื่นผิวหนังอักเสบ (atopic eczema)
  • โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease)
  • อาการข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ หรือเส้นเอ็นอักเสบ
  • โรคลูปัส (Lupus)
  • กลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร (Inflammatory Bowel Disease, IBD) ได้แก่ โรคโครห์น (Crohn’s Disease) และ ลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis)
  • โรคหลอดเลือดขนาดใหญ่อักเสบ (giant cell arteritis)
  • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis)

หรืออาจใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนทดแทนในผู้ที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเองได้ เช่น โรคแอดดิสัน (Addison’s disease)

กลไกการทำงานของ Corticosteroids:

  1. ยับยั้งการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ

    • ยับยั้งการสร้างสารสื่อกลางการอักเสบ เช่น โปรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) และลิวโคไตรอีน (Leukotrienes) ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ
    • ยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อว่า Phospholipase A2 ซึ่งมีหน้าที่ผลิตกรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acid) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้าง Prostaglandins และ Leukotrienes ทำให้การอักเสบลดลง
  2. ยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
    • ลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยลดจำนวนและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น T cells และ macrophages ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อและการอักเสบ
    • กดการผลิตไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นการอักเสบ ทำให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันลดลง
  3. ยับยั้งการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย
    • ช่วยลดการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยและลดการรั่วซึมของของเหลวในเนื้อเยื่ออักเสบ ทำให้บวมลดลงและอาการปวดบรรเทาลง
  4. ลดการแบ่งตัวของเซลล์
    • ลดการแบ่งตัวของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น เซลล์ที่สร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้ลดการเกิดพังผืด และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่ไม่พึงประสงค์ในระหว่างการอักเสบเรื้อรัง

รูปแบบของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

  • แบบเม็ดรับประทาน
  • แบบฉีด สามารถฉีดเข้าเส้นเลือด ข้อ หรือกล้ามเนื้อ
  • แบบสูดพ่น เช่น สเปรย์ฉีดทางปาก หรือ จมูก
  • แบบโลชั่น ครีม หรือเจลทาเฉพาะที่

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะถูกสั่งใช้เมื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเห็นแล้วว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเท่านั้น และจะใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดในขนาดที่น้อยที่สุดที่จะให้ผลรักษาได้เท่านั้น

การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในรูปแบบเม็ด แบบฉีด หรือแบบสูดพ่นในระยะสั้นนั้นจะมีผลข้างเคียงต่ำ แต่หากใช้ยาในระยะยาวนั้นอาจจะมีผลเสียได้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดกับผู้ที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในระยะยาว มีดังนี้

  • เพิ่มความอยากอาหาร อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้
  • ผิวหนังบาง และเกิดแผลรอยข่วนได้ง่าย
  • เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
  • มีภาวะอารมณ์แปรปรวน และเกิดภาวะซึมเศร้าได้
  • มีภาวะโรคเบาหวาน
  • กระดูกพรุน

อาการถอนยาเมื่อหยุดใช้ยาทันทีอาจจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากกินยากดการทำงานของต่องหมวกไตไว้เป็นเวลานาน ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติต่างๆเกิดขึ้นควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทันที และไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง ควรหยุดโดยแพทย์สั่งปรับลดขนาดยาลงเรื่อยๆ อย่างช้าๆ อาจเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนก็ได้

ข้อควรระวังและปฏิกิริยาระหว่างยาคอร์ติโคสเตียรอยด์กับยาอื่น

ผู้ใช้ยาทั่วไปและรวมถึงหญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดและชนิดสูดพ่นถือว่ามีความปลอดภัยในการใช้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์เท่านั้น

ยาสเตียรอยด์ชนิดเม็ดรับประทานสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า และไม่ควรใช้กับผู้ป่วยในภาวะเหล่านี้เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้

  • มีภาวะติดเชื้ออยู่
  • มีภาวะอารมณ์แปรปรวนและมีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ซึมเศร้าหรือติดแอลกอฮอล์ เป็นต้น
  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หรือ เบาหวาน เป็นต้น

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบเม็ด

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบเม็ดเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์แรงที่สุดเนื่องจากสามารถออกฤทธิ์ได้ทั้งร่างกาย ไม่ควรใช้ยาหากร่างกายอยู่ในภาวะติดเชื้อ เนื่องจากยาจะทำให้อาการติดเชื้อแย่ลงได้ หรือใช้ตามวิจารณญาณของแพทย์เท่านั้น

ผู้ที่ควรใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์แบบเม็ดอย่างระมัดระวังได้แก่

  • ผู้ที่มีปัญหาโรคตับ เนื่องจากยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะถูกเปลี่ยนแปลงและทำลายที่ตับ หากตับทำงานได้ไม่ดี จะทำให้มียาอยู่ในกระแสเลือดสูงเกินไปได้
  • ผู้ที่มีภาวะทางจิต เช่น มีอาการซึมเศร้า หรือมีปัญหาติดแอลกอฮอล์ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ป่วยได้
  • ผู้ที่มีแผล ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะทำให้แผลหายช้าลง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเหล่านี้ ควรใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์อย่างระมัดระวังเนื่องจากจะทำให้โรคประจำตัวเหล่านี้แย่ลงได้ โรคเหล่านั้นมีดังนี้ หัวใจวาย ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ลมชัก ต้อ ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อย กระดูกพรุน โรคอ้วน กลุ่มโรคทางจิต แผลในกระเพาะอาหาร โดยในผู้ที่มีกลุ่มโรคเหล่านี้อาจต้องลดขนาดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ลง หรือห้ามใช้ยา

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบฉีด

คนส่วนใหญ่สามารถใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบฉีดได้อย่างปลอดภัย แต่ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้หรือใช้อย่างระมัดระวังคือผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่นโรค ฮีโมฟีเลีย (haemophilia) เป็นต้น หรือผู้ที่มีภาวะติดเชื้ออยู่

มีคำถามเกี่ยวกับ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบสูดพ่นหรือสเปรย์

ทุกคนสามารถใช้ยากลุ่มนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่ผู้ที่มีโรควัณโรค หรือ ผู้ที่ติดเชื้อรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการใช้

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในหญิงตั้งครรภ์

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่แนะนำให้ใช้หากมีผลเสียมากกว่าผลดีที่จะเกิดขึ้น ดังเช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดเม็ดอาจจะถูกแนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์บางรายที่มีภาวะหอบหืดอย่างรุนแรง เนื่องจากภาวะหอบหืดรุนแรงอาจส่งผลกระทบถึงทารกในครรภ์ได้มากกว่าผลข้างเคียงของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ต่อเด็กในครรภ์

ส่วนยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นนั้นยังไม่มีหลักฐานที่แสดงผลของยาต่อทารก ดังนั้นจึงสามารถใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นได้ตามปกติในหญิงตั้งครรภ์

การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในหญิงให้นมบุตร

หากหญิงให้นมบุตรมีความจำเป็นต้องใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ โดยมากแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาเพรดนิโซโลน (prednisolone) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะส่งผลข้างเคียงไปสู่เด็กน้อยที่สุด โดยแนะนำให้หญิงให้นมบุตรควรรออย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงหลังกินยา ถึงจะเริ่มให้นมบุตรได้

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดฉีด สูดพ่น หรือสเปรย์นั้นไม่มีผลต่อเด็กที่กินนมแม่

ปฏิกิริยาระหว่างยาคอร์ติโคสเตียรอยด์กับยาชนิดอื่น

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์สามารถเกิดปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นได้หากมีการใช้ร่วมกัน โดยจะเกิดได้น้อยมากในยาฉีดหรือยาชนิดสูดพ่นแต่ก็อาจจะเกิดได้ ในกรณีที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ในขนาดสูงเป็นเวลานาน

ยาที่เกิดปฏิกิริยากับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้บ่อย มีดังนี้

  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant medicines) โดยยากลุ่มนี้จะให้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน การใช้ยาสเตียรอยด์ร่วมกับยากลุ่มนี้นั้น บางครั้งอาจจะทำให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดออกฤทธิ์ได้น้อยลง หรือในทางกลับกันอาจทำให้เลือดไหลง่าย เกิดเลือดไหลภายในระบบทางเดินอาหารได้
  • ยากันชัก (Anticonvulsants) คือยาประจำตัวที่ใช้ในผู้ป่วยโรคลมชัก โดยยากันชักจะลดประสิทธิภาพของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดยา ความรุนแรงของโรคลมชัก
  • ยาสำหรับโรคเบาหวาน โดยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์สามารถลดประสิทธิภาพของยาเบาหวานได้
  • ยาต้านเชื้อเอชไอวี (HIV medications) โดยยากลุ่มนี้จะเพิ่มฤทธิ์ของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้
  • วัคซีนเชื้อเป็น (Live vaccines) วัคซีนบางชนิดจะเป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลงเพื่อนำมาใช้ในการป้องกันโรค เช่น วัคซีนหัด คางทูม หัดเยอรมัน (Measles Mumps Rubella Vaccine) วัคซีนสําหรับวัณโรค เป็นต้น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์นั้นสามารถกดภูมิคุ้มกันของผู้ใช้ได้ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้วัคซีนชนิดเชื้อเป็นอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากรับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ครบถ้วน
  • ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory drugs) ส่วนมากจะใช้เป็นยาแก้ปวด เช่น ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เป็นต้น โดยมากจะซื้อได้ตามร้านยาทั่วไป การใช้ยาต้านอักเสบร่วมกับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลในทางเดินอาหาร (Peptic Ulcer) และเลือดออกภายในทางเดินอาหารได้ หากผู้ป่วยต้องใช้ยาสองชนิดร่วมกัน แพทย์อาจต้องให้ยากลุ่มยับยั้งการหลั่งกรด  (proton pump inhibitor) เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวลงได้

ผลข้างเคียงของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงค่อนข้างกว้าง โดยความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงนั้นจะขึ้นอยู่กับ

  • รูปแบบของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่ใช้หา โดยชนิดเม็ดจะมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงมากกว่ารูปแบบอื่นๆ
  • ขนาดของการใช้ ขนาดสูงจะมีความเสี่ยงสูงกว่าการใช้ยาขนาดต่ำ
  • ระยะเวลาในการใช้ยา เช่น หากใช้นานเป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ก็จะมีความเสี่ยงสูง
  • อายุของผู้ใช้ จะพบผลข้างเคียงในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบนี้จะมีผลข้างเคียงต่ำ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง ดังนี้

  • เป็นแผลในปาก หรือ คอ
  • เลือดกำเดาไหล
  • เสียงแหบพร่า
  • ไอ
  • ฝ้าขาวจากเชื้อราในปาก การบ้วนปากหลังสูดพ่นยาจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราในปากได้
  • ในผู้.ใช้ที่เป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease, COPD) จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อในปอดได้

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดฉีด

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดฉีดใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อและข้อต่อ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นคือมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด แต่จะหายได้เองในเวลา 2-3 วัน

การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าสู่กล้ามเนื้ออาจก่อให้เกิดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในบริเวณนั้นอ่อนแรงได้ ผลข้างเคียงอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้คือ ผิวหนังแดง ผิวหนังบางลง ในบริเวณที่ฉีด

เนื่องด้วยผลข้างเคียงข้างต้นการฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จึงแนะนำให้ฉีดเป็นช่วง อย่างน้อยทุก 6 สัปดาห์และไม่เกิน 3 เข็มในบริเวณเดียวกัน

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบเม็ด

การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์รูปแบบเม็ดในระยะสั้น และใช้ในระยะเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้น้อย แต่หากจำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 3 สัปดาห์ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังนี้

  • เพิ่มความอยากอาหาร อาจก่อให้เกิดน้ำหนักเพิ่มได้
  • อารมณ์แปรปรวน อาจใช้ความรุนแรงและอารมณ์ร้อน
  • ผิวบางลง เกิดแผลได้ง่าย
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • แผลหายช้า
  • มีการสะสมของไขมันบริเวณใบหน้า ผิวหนังแตกลาย และมีสิว หรืออาจเรียกว่า คุชชิงซินโดรม (Cushing’s syndrome)
  • กระดูกพรุน บางลง
  • เบาหวาน
  • ความดันโลหิตสูง
  • ต้อ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา
  • แผลในกระเพาะอาหาร อาจต้องมีการใช้ยาร่วมกับยาลดกรดเพื่อลดความเสี่ยงนี้ลง
  • ปัญหาด้านจิตใจ เช่น อาจมีอารมณ์ซึมเศร้า เครียด มีความคิดฆ่าตัวตาย สับสน มึนงง
  • เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น อาจเป็นโรคอีสุกอีใส งูสวัด หัด เป็นต้น
  • ในเด็กอาจมีการเจริญเติบโตช้า

ผลข้างเคียงต่างๆจะลดลงได้หากลดขนาดยาลง หรือ หยุดใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หากท่านมีอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆเพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนยาได้

มีคำถามเกี่ยวกับ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ