ไส้ติ่ง เป็นท่อบางๆ ยาวประมาณ 4 นิ้วและเป็นส่วนหนึ่งของทางเดินอาหาร ซึ่งระบบทางเดินอาหารเป็นกลุ่มของอวัยวะที่ซับซ้อนช่วยร่างกายย่อยอาหาร โดยทางเดินอาหารส่วนบนประกอบด้วยหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และส่วนแรกของลำไส้เล็กที่เรียกว่าดูโอดีนัม (duodenum) ส่วนทางเดินอาหารส่วนล่างประกอบด้วยลำไส้เล็กส่วนใหญ่และลำไส้ใหญ่ทั้งหมดซึ่งรวมถึงโคลอน (colon) เรกตัม (rectum) และเอนัลคาแนล (anal canal)
ผ่าตัดไส้ติ่ง วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 56,050 บาท ลดสูงสุด 6,100 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ไส้ติ่งอยู่ตำแหน่งใด?
ไส้ติ่งอยู่บริเวณท้องด้านล่างขวาซึ่งแพทย์เรียกบริเวณนี้ว่า "จุดแมคเบอร์เนย์" (McBurney's point) ซึ่งถ้ากดลงตรงจุดแมคเบอร์เนย์แล้วเจ็บหรือปวดแพทย์ก็จะสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ โดยไส้ติ่งที่มีรูปร่างคล้ายนิ้วมือนั้นจะติดอยู่กับส่วนของลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่าซีกัม (cecum) ซึ่งเป็นกระเปาะเล็กๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของลำไส้ใหญ่
หน้าที่ของไส้ติ่ง
กล้ามเนื้อที่วางตัวอยู่ในทางเดินอาหารร่วมกับฮอร์โมนและเอนไซม์ที่ระบบย่อยอาหารผลิตออกมาช่วยย่อยสลายอาหาร อย่างไรก็ตามไส้ติ่งไม่ได้ช่วยย่อยอาหารโดยตรงและยังไม่ทราบแน่ชัดถึงหน้าที่ของไส้ติ่งในร่างกาย และการผ่าตัดไส้ติ่งออกก็ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายตามมา
หลายปีมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไส้ติ่งเป็นร่องรอยของอวัยวะซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่หลักของมันแล้วหลังจากผ่านการวิวัฒนาการมาหลายพันปี นักวิจัยคิดว่าไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นมีไส้ติ่งนอกจากญาติที่ใกล้ชิดของเรามากที่สุดก็คือลิงเอพ (ape) นอกจากนั้นลำไส้ใหญ่ส่วนซีกัมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินพืชยังใหญ่กว่าของคน
จากข้อมูลเหล่านี้ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) จึงตั้งทฤษฎีว่าบรรพบุรุษที่ย้อนกลับไปไกลของเรานั้นมีซีกัมขนาดใหญ่ช่วยให้กินใบไม้ได้เหมือนสัตว์กินพืชในปัจจุบัน แต่บรรพบุรุษของเราเปลี่ยนการกินอาหารเป็นผลไม้เป็นส่วนใหญ่ซึ่งย่อยง่ายกว่าทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนซีกัมหดลงเป็นไส้ติ่ง โดยดาร์วินเชื่อว่าส่วนที่หดลงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของซีกัมและการวิวัฒนาการไม่ได้ทำให้ส่วนนั้นหายไปทั้งหมด
ทฤษฎี "เซฟเฮ้าส์" ของไส้ติ่ง
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเชื่อว่าไส้ติ่งไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวแต่อาจช่วยให้ลำไส้ของเราฟื้นตัวหลังจากเกิดโรคทางระบบทางเดินอาหาร ไส้ติ่งมีเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับระบบน้ำเหลืองจำนวนมาก ซึ่งสร้างและลำเลียงเม็ดเลือดเพื่อสู้กับการติดเชื้อ และไม่กี่ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าเนื้อเยื่อน้ำเหลืองช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายบางชนิด ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการย่อยอาหารและภูมิคุ้มกันของคน
มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่า ผิวด้านในของทางเดินอาหารจะมีไบโอฟิล์ม (biofilm) ซึ่งเป็นชั้นบางๆ ของจุลชีพ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งไบโอฟิล์มนี้มีอยู่มากที่สุดที่ไส้ติ่งและตามทฤษฎี "เซฟเฮ้าส์" (safe house theory) ไส้ติ่งจะปกป้องกลุ่มของแบคทีเรียในทางเดินอาหารที่มีประโยชน์เมื่อโรคบางอย่างได้กำจัดแบคทีเรียเหล่านี้ออกไปจากส่วนใดส่วนหนึ่งของทางเดินอาหาร และเมื่อระบบภูมิคุ้มกันกำจัดการติดเชื้อออกจากร่างกายได้เชื้อแบคทีเรียในไบโอฟิล์มของไส้ติ่งก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ในทางเดินอาหาร
ผ่าตัดไส้ติ่ง วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 56,050 บาท ลดสูงสุด 6,100 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เร็วๆ นี้นักวิจัยยังพบว่ามีสัตว์หลายชนิดมากรวมถึงลิงเอพใหญ่ (great apes) ไพรเมต (primates) ชนิดอื่นๆ โอพอสซั่ม (opossum) วอมแบท (wombat) กระต่าย และสัตว์ฟันแทะบางชนิดมีอวัยวะที่ลักษณะคล้ายไส้ติ่ง และไส้ติ่งเหมือนจะวิวัฒนาการแตกต่างกันไปในสัตว์แต่ละชนิดอย่างน้อย 32 ครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทำให้คิดว่าไส้ติ่งน่าจะมีหน้าที่สำคัญบางอย่าง
ประเด็นเกี่ยวกับไส้ติ่ง
บางครั้งไส้ติ่งจะอักเสบและติดเชื้อลงท้ายด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบอาจเกิดจากการติดเชื้อในช่องท้องแล้วแพร่กระจายไปที่ไส้ติ่งหรือมีการอุดตันบางอย่างของไส้ติ่ง ซึ่งสาเหตุของการอุดตันนั้น ได้แก่
- ชิ้นอุจจาระที่แข็ง
- พยาธิ
- สิ่งแปลกปลอมที่กลืนเข้าไป เช่น ลูกปืนอัดลมหรือเข็มหมุด
- การบาดเจ็บของช่องท้อง
- แผลในกระเพาะอาหาร
- เนื้อเยื่อน้ำเหลืองของไส้ติ่งที่ใหญ่ขึ้น
การติดเชื้อหรือการอุดตันนั้นทำให้แบคทีเรียในไส้ติ่งนั้นเติบโตเกินการควบคุมทำให้ไส้ติ่งเป็นหนองและบวม ไส้จิ่งอักเสบทำให้ปวดท้องรุนแรงและมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียนและถ่ายเหลว ถ้าไม่รักษาความดันในไส้ติ่งจะเพิ่มสูงขึ้นจนไส้ติ่งแตก เมื่อไส้ติ่งแตกสิ่งของในไส้ติ่งจะกระจายเข้าช่องท้องทำให้เกิดการติดเชื้อของเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งเยื่อบุช่องท้องจะเป็นเยื่อคล้ายผ้าไหมบุด้านในของช่องท้อง การติดเชื้อของช่องท้องจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่อันตรายถึงชีวิตอื่นๆ ตามมา เช่น เซพซิส (sepsis)
สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ
แบคทีเรีย ไวรัส และแม้แต่มลภาวะทางอากาศสามารถทำให้ไส้ติ่งอักเสบได้
ไส้ติ่งอักเสบเป็นภาวะทางการแพทย์ที่รุนแรงจากไส้ติ่ง ซึ่งเป็นอวัยวะขนาดเล็ก คล้ายนิ้วมือติดอยู่กับลำไส้ใหญ่เกิดการบวมและอักเสบ โดยสาเหตุของไส้ติ่งอักเสบยังไม่แน่ชัด แต่บางครั้งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อราที่กระจายไปยังไส้ติ่ง การติดเชื้อที่เป็นไปได้แต่ไม่ได้มีแค่เชื้อเหล่านี้ ได้แก่
- เชื้อแบคทีเรียแบทีรอยดีส์ (Bacteroides)
- อะดีโนไวรัส (Adenivirus)
- เชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella)
- เชื้อแบคทีเรีย ชิกเกลลา (Shigella)
- ไวรัสหัด (measles)
- การติดเชื้อรามิวคอร์ไมโคซิส (mucormycosis) และ ฮิสโตพลาสโมซิส (histoplasmosis)
ที่บ่อยกว่านั้นคือไส้ติ่งอักเสบจากการอุดตันภายในไส้ติ่ง เรียกว่า โพรงไส้ติ่ง และมีหลายสาเหตุที่ทำให้โพรงไส้ติ่งอุดตัน ได้แก่
ผ่าตัดไส้ติ่ง วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 56,050 บาท ลดสูงสุด 6,100 บาท
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- ก้อนอุจจาระหรือก้อนเศษอาหารที่หินปูนมาเกาะสะสม เรียกว่า นิ่วไส้ติ่ง
- พยาธิในลำไส้ รวมถึงพยาธิเข็มหมุดซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า เอนเทอโรเบียสเวอร์มิคูลาริส (Enterobius vermicularis)
- การระคายเคืองหรือแผลในทางเดินอาหารส่งผลให้เกิดความผิดปกติเป็นเวลานาน เช่น โรคโครห์น(Crohn's disease) หรือ โรคลำไส้ใหญ่เป็นแผลเรื้อรัง (ulcerative colitis)
- การบาดเจ็บของช่องท้อง
- เนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่ผนังของไส้ติ่งโตขึ้น ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินอาหาร
- สิ่งแปลกปลอมทั้งหลาย เช่น หิน กระสุนปืน ลูกปืนอัดลม และเข็มหมุด
ไส้ติ่งเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียที่มีประโยชน์หลายชนิด อย่างไรก็ตามเมื่อไส้ติ่งมีการติดเชื้อหรืออุดตัน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ไส้ติ่งบวมและเป็นหนอง ซึ่งหนองข้นนี้ประกอบด้วยแบคทีเรียเซลล์และเม็ดเลือดขาวที่ตายจากการต่อสู้กับการติดเชื้อ
ปัจจัยเสี่ยงของไส้ติ่งอักเสบ
ไม่มีทางที่จะทำนายใครจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าทีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบ ได้แก่
- มีคนในครอบครัวเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- เพศชาย
- อายุระหว่าง 10-19 ปี
- เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังเป็นเวลานาน เช่น โรคโครห์น (Crohn's disease) หรือ โรคลำไส้ใหญ่เป็นแผลเรื้อรัง (ulcerative colitis)
งานวิจัยยังพบว่า อาหารแบบตะวันตกทั่วไปที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงแต่ใยอาหารต่ำจะเพิ่มโอกาสเกิดไส้ติ่งอักเสบ เมื่อกินอาหารที่ไยอาหารไม่เพียงพอลำไส้จะเคลื่อนตัวช้าลง เพิ่มความเสี่ยงของไส้ติ่งอุดตัน ไส้ติ่งอักเสบยังเกี่ยวกับมลภาวะทางอากาศโดยเฉพาะที่ที่โอโซนสูง โดยนักวิทยาสาสตร์ยังไม่ระบุแน่ชัดว่า มลภาวะทางอากาศเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของไส้ติ่งอักเสบที่เพิ่มขึ้น แต่โอโซนที่สูงขึ้นจะเพิ่มการอักเสบของลำไส้หรือทำให้แบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนแปลงไป การศึกษายังพบอีกด้วยว่า คนเป็นไส้ติ่งอักเสบในฤดูร้อนมากกว่าช่วงอื่นของปีอาจเพราะมลภาวะทางอากาศที่สูงขึ้น การติดเชื้อในทางเดินอาหารที่มากขึ้น และการกินอาหารจานด่วนมากขึ้น รวมถึงอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงแต่ใยอาหารต่ำ
ไส้ติ่งปวดหรือไม่?
อาการปวดท้องเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในโรคหลายอย่าง เช่น โรคลำไส้แปรปรวน การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง) อาจมีอาการปวดท้องด้านบนถ้าท้องผูก อาหารเป็นพิษ นิ่วในไต หรือมีลำไส้อุดตันบางอย่าง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องหาอาการแสดงของไส้ติ่งอักเสบถ้ามีอาการปวดท้อง
อาการทั่วไปของไส้ติ่งอักเสบ
เมื่อเริ่มเป็นไส้ติ่งอักเสบจะมีอาการหลายอย่างนอกจากปวด ได้แก่
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ไข้ต่ำๆ
- ผายลมไม่ออก
- ท้องบวม
- ท้องผูกหรือถ่ายเหลว
และเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องบอกว่าถ้าเป็นไส้ติ่งอักเสบอาการปวดท้องจะมากขึ้นเวลาขยับตัว หายใจลึก ไอ หรือจาม ท้องด้านล่างขวาจะปวดและจะเจ็บเมื่อกดลงไปที่ท้องด้านขวาล่างและปล่อยอย่างรวดเร็ว (อาการนี้เรียกว่า ปล่อยเจ็บ หรือ rebound tenderness)
ไส้ติ่งอักเสบในเด็ก
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นไส้ติ่งอักเสบจะมีอาการเหมือนกัน แต่บางคนจะมีอาการของไส้ติ่งอักเสบแตกต่างออกไปหรือไม่มีอาการบางอย่าง โดยเฉพาะในเด็กและคนท้อง โดยส่วนใหญ่แล้วไส้ติ่งอักเสบจะเกิดในเด็กและวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ซึ่งอาการของไส้ติ่งอักเสบในเด็ก คือ
- ไข้
- กดท้องปล่อยแล้วเจ็บ
- ปวดท้องเริ่มจากสะดือแล้วย้ายไปที่จุดแมคเบอร์นีย์ (เหนือไส้ติ่ง)
- เม็ดเลือดขาวสูงซึ่งบ่งบอกว่าร่างกายมีการติดเชื้อ
ไส้ติ่งอักเสบกับคนท้อง
ในทางตรงกันข้าม คนท้องที่เป็นไส้ติ่งอักเสบจะมีอาการ ดังนี้
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดท้องด้านขวาล่าง
ไข้และถ่ายเหลวพบไม่บ่อยในคนท้องที่เป็นไส้ติ่งอักเสบ และน่าสนใจว่าคนท้องที่เป็นไส้ติ่งอักเสบว่าจะมีอาการอื่นที่ไม่พบในผู้ใหญ่ทั่วไป ได้แก่ มดลูกบีบตัว ปัสสาวะแสบหรือขัด ปวดท้องด้านขวาบนอาจเพราะไส้ติ่งย้ายตำแหน่งเนื่องจากท้อง
อาการปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบ
อาการปวดท้องในภาวะไส้ติ่งอักเสบมักจะมีอาการปวดตื้อๆ รอบสะดือก่อนและจะย้ายตำแหน่งมาปวดบริเวณท้องทางด้านขวาล่าง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ของไส้ติ่ง นอกจากนี้ อาการปวดของไส้ติ่งอักเสบที่สามารถพบได้ เช่น
- อาการปวดเกิดขึ้นทันทีทันใด (มักทำให้ปวดจนตื่นขึ้นมากลางดึก)
- อาการปวดจะปวดมากขึ้นชัดเจนมากขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- อาจมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น อาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
- อาจเกี่ยวข้องกับอาการเบื่ออาหาร (anorexia)
- อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีการขยับตัว หายใจลึก ไอ และจาม
- มีอาการปวดแบบเสียดแทงขึ้นมาทันใดเมื่อคุณขับรถเร่งความเร็วสูง
การวินิจฉัยภาวะไส้ติ่งอักเสบ
แพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพื่อตรวจหาตำแหน่งที่มีอาการปวดบริเวณหน้าท้อง หากคุณมีภาวะไส้ติ่งอักเสบ คุณอาจมีอาการ ดังนี้
- เมื่อแพทย์ทำการตรวจท้องโดยการกดลงไปในตำแหน่งท้องด้านขวาล่างแล้วปล่อยจะมีอาการปวด (rebound tenderness)
- มีอาการปวดเช่นเดียวกับ อาการปวด rebound tenderness เมื่อทำการกดและปล่อยเร็วๆ ที่ตำแหน่งด้านล่างซ้ายของหน้าท้อง
- มีอาการเกร็งหน้าท้องด้านล่างขวาเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ตัวเมื่อมีคนมาสัมผัส
- ทำการตรวจโดยนอนราบกับพื้นแล้วยกหัวเข่าด้านขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้นจะมีอาการเจ็บขึ้น
- ขณะกำลังนอนราบหลังชิดพื้น เมื่อคุณขยับหัวเข่าที่กำลังงออยู่ไปด้านซ้ายและด้านขวา คุณจะมีอาการปวดที่ท้องขึ้น
การรักษาไส้ติ่งอักเสบ
มีงานวิจัยระบุว่าการผ่าตัดไส้ติ่งประมาณ 12% เป็นการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น
การผ่าตัดไส้ติ่งคือการผ่าเอาไส้ติ่งที่ลักษณะคล้ายท่อเล็กๆ ต่อกับลำใหญ่ซึ่งอยู่ที่ท้องด้านขวาล่างออก ยังไม่แน่ชัดว่าหน้าที่ของไส้ติ่งคืออะไร แต่การผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกไปนั้นไม่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพระยะยาวตามมา การผ่าตัดไส้จิ่งนั้นเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานของโรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่ไส้ติ่งอักเสบและเป็นหนอง (หนองเกิดจากเซลล์ที่ตายจากการติดเชื้อ)
ถ้าไส้ติ่งอักเสบไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ไส้ติ่งจะแตกและปล่อยแบคทีเรียเข้าไปในท้องทำให้เกิดการติดเชื้อที่อันตรายถึงชีวิตตามมาก ด้วยเหตุนี้ไส้ติ่งอักเสบจึงเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และควรได้รับการผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมงหลังให้การวินิจฉัยและการผ่าตัดช่องท้องจะทำในกรณีที่วินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบได้ช้าและไส้ติ่งแตกก่อน
การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาไส้ติ่งอักเสบ
ยาปฏิชีวนะถูกใช้รักษาไส้ติ่งอักเสบ โดยเฉพาะยาเซฟโฟทีแทน (cefotetan) ชื่อการค้าคือเซฟโฟแทน (Cefotan) และยาเซฟโฟแท็กซีม (cefotaxime) ชื่อการค้าคลาโฟแรน (Claforan) และเมโฟท็อกซิน (Mefotoxin) ซึ่งช่วยป้องกันแผลติดเชื้อหลังการผ่าตัด และมียาปฏิชีวนะอื่นๆ ที่ใช้รักษาไส้ติ่งอักเสบ ได้แก่
- ยาพิพเพอราซิลลิน (Piperacillin) ผสมกับยาทาโซแบคแทมโซเดียม (tazobactam sodium) มีชื่อการค้าว่าโซซิน (Zosyn)
- ยาแอมพิซิลลิน (Ampicillin) ผสมกับยาซัลแบคแทม (sulbactam) มีชื่อการค้าว่ายูนาซิน (Unasyn)
- ยาทิคาร์ซิลลิน (Ticarcillin) ผสมกับยาคลาวูลาเนต (clavulanate) มีชื่อการค้าว่าทิเมนติน (Timentin)
- ยาเซฟฟีปีม (Cefepime) มีชื่อการค้าว่าแม็กซิปีม (Maxipime)
- ยาเจนตาไมซิน (Gentamicin) มีชื่อการค้าว่าเจนตาไซดิน (Gentacidin) และเจอราไมซิน (Garamycin)
- ยาเมอโรพีเนม (Meropenem) มีชื่อการค้าว่าเมอร์เรม (Merrem)
- ยาเออร์ตาพีเนม (Ertapenem) มีชื่อการค้าว่าอินแวนซ์ (Invanz)
- ยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) มีชื่อการค้าว่าฟลาจิล (Flagyl)
- ยาคลินดาไมซิน (Clindamycin) มีชื่อการค้าว่าคลีโอซิน (Cleocin)
- ยาเลโวฟล๊อกซาซิน (Levofloxacin) มีชื่อการค้าว่าเลวาควิน (Levaquin)
ในกรณีที่ไส้ติ่งแตก แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำหลังผ่าตัดไส้ติ่งเพื่อรักษาการติดเชื้อในท้อง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบซึ่งเป็นการติดเชื้อรุนแรงของเยื่อบุด้านในช่องท้อง และแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะแบบกินกลับไปกินต่อที่บ้านอีกหลายสัปดาห์
แต่งานวิจัยในปี ค.ศ. 2014 ที่ตีพิมพ์ในวารสารศัลยศาสตร์ของสแกนดิเนเวียระบุว่า การให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ 3-5 วันก็เพียงพอแล้ว และแพทย์อาจเลือกวิธีเว้นช่วงผ่าตัดไส้ติ่ง คือถ้าไส้ติ่งแตกจะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเป็นเวลาหลายวัน จากนั้นให้กลับไปกินยาปฏิชีวนะแบบกินต่อ หลังจากผ่านไป 6-8 สัปดาห์ การติดเชื้อหายไปแล้วค่อยผ่าตัดไส้ติ่ง
ยาปฏิชีวนะเพียงพอในการรักษาไส้ติ่งอักเสบหรือไม่
ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีงานวิจัยระบุว่า การผ่าตัดไส้ติ่งไม่จำเป็นในการรักษาไส้ติ่งอักเสบที่ไม่ซับซ้อน คือ ไส้ติ่งอักเสบที่ไม่แตก ไม่เป็นฝีหนอง หรือไม่มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ และใช้ยาปฏิชีวนะแทนได้ โดย 63% ของผู้ป่วยที่ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาไส้ติ่งอักเสบที่ไม่ซับซ้อนไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมอย่างน้อย 1 ปีตามการศึกษาในปี ค.ศ. 2012 ของบีเอ็มเจ (BMJ)
นอกจากนั้นแล้วการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวราคาถูกกว่าการผ่าตัดและเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า 31% (แม้ว่าการผ่าตัดไส้ติ่งมีภาวะแทรกซ้อนต่ำอยู่แล้ว) ตามรายงานในปี ค.ศ. 2015 ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์พบว่า การให้ยาปฏิชีวนะเป็นอย่างแรกอาจมีประโยชน์ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ยังพบว่า ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะมากถึงครึ่งหนึ่งที่การรักษาล้มเหลวและทุกรายมีความเสี่ยงที่จะเกิดไส้ติ่งอักเสบขึ้นซ้ำอีกซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผ่าตัดและผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียวประมาณ 20% จะเป็นไส้ติ่งอักเสบซ้ำใน 1 ปีตามรายงานของบีเอ็มเจ ยิ่งกว่านั้นผู้ป่วย 20% นี้จำเป็นต้องรักษาไส้ติ่งแตกและภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องด้วย
การผ่าตัดไส้ติ่ง
การผ่าตัดไส้ติ่งมักเป็นการผ่าตัดฉุกเฉิน ทำให้เตรียมการก่อนผ่าตัดได้ไม่มาก ผู้ป่วยจะได้รับการดมยาสลบระงับความรู้สึกทั่วร่างกายก่อนผ่าตัดและเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องงดน้ำและอาหารมาก่อนเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากการดมสลบ และเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ ดังนี้
- ภูมิแพ้หรือมีอาการแพ้
- โรคทางระบบประสาท เช่น ลมชัก
- โรคหัวใจ
- โรคปอด เช่น หอบหืดและถุงลมโป่งพอง
- เบาหวาน
- ไทรอยด์
และต้องแจ้งแพทย์เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาและอาหารเสริม ยาสมุนไพร หรือยาที่กินประจำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือด (รวมถึงยาแอสไพริน)
ในห้องผ่าตัดเจ้าหน้าที่จะใส่สายเข้าหลอดเลือดดำที่แขนเพื่อให้สารน้ำและยาระงับความรู้สึก อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจซึ่งเป็นท่อพลาสติกใส่เข้าไปในหลอดลมแล้วต่อกับเครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยหายใจ จากนั้นแพทย์จึงเริ่มทำการผ่าตัดขณะไม่รู้สึกตัว
การผ่าตัดไส้ติ่งแบบเปิดและการผ่าตัดส่องกล้อง
การผ่าตัดไส้ติ่งมี 2 แบบ คือ การผ่าเปิดและการผ่าตัดส่องกล้อง โดยระหว่างการผ่าเปิดไส้ติ่ง แพทย์จะลงแผลยาว 2-4 นิ้วที่ท้องด้านขวาล่างแล้วตัดผ่านชั้นไขมันและกล้ามเนื้อเพื่อให้ไปถึงไส้ติ่ง จากนั้นแพทย์จะผูกไส้ติ่งแล้วตัดออกจากลำไส้ใหญ่ ล้างด้วยน้ำปลอดเชื้อและเย็บปิดแผล
ส่วนการผ่าตัดไส้ติ่งแบบส่องกล้องจะซับซ้อนมากกว่า โดยเริ่มจากลงแผลที่หน้าท้องขนาดเล็กๆ 3 แผล (ยาวน้อยกว่า 1 นิ้ว) ซึ่งจะใส่ปลายท่อเข้าไปในแผลหนึ่งแล้วสูบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในท้องทำให้มองเห็นไส้ติ่งง่ายขึ้นและในแผลที่สองแพทย์จะใส่แลพาโรสโคป (laparoscope) ซึ่งเป็นท่อบางๆ ที่ติดไฟและกล้องที่ใช้ดูในท้องและถ่ายทอดวีดีโอ จากนั้นแพทย์จะใส่เครื่องมือผ่าตัดผ่านแผลที่สามเพื่อตัดเอาไส้ติ่งออกโดยใช้กล้องวีดีโอช่วยนำทางและการผ่าตัดจะจบที่การล้างบริเวรที่ผ่าตัดและเย็บแผลปิดเหมือนกัน
ถ้าขณะที่ส่องกล้องผ่าตัดไส้ติ่งนั้นแพทย์ผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งแตกหรือมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (มีการติดเชื้อของเยื่อที่บุด้านในท้อง) ต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าเปิดแทน นอกจากนี้การผ่าตัดส่องกล้องยังแพงกว่าและใช้เวลานานกว่าแต่ทำให้นอนโรงพยาบาลน้อยกว่า ปวดน้อยกว่า ฟื้นตัวเร็วกว่า และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า เช่น แผลผ่าตัดติดเชื้อ อ
ย่างไรก็ตามมีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่าการผ่าตัดส่องกล้องนั้นมีประโยชน์เพียงเล็กน้อย แต่การผ่าเปิดนั้นจริงๆ แล้วทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า ไม่ว่ากรณีใดแพทย์จะเลือกการผ่าเปิดถ้า...
- ท้องอืดบวมมากเพราะจะบดบังการมองเห็นของแพทย์เวลาส่องกล้อง
- เยื่อบุช่องท้องอักเสบ
- เคยผ่าตัดท้องมาหลายครั้ง
- เป็นโรคปอดรุนแรง
- ตั้งครรภ์
- อ้วนมาก
ถ้าไส้ติ่งแตกแล้ว แพทย์จะระบายหนองจากท้องก่อนการผ่าตัดไส้ติ่ง ในบางกรณีแพทย์จะรักษาการติดเชื้อในท้องด้วยยาปฏิชีวนะนาน 6-8 สัปดาห์ก่อนผ่าตัดไส้ติ่ง
การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง
หลังการผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้ใน 1-2 วัน และจะฟื้นตัวเต็มที่ในไม่กี่สัปดาห์ แพทย์จะให้ยาระงับปวด เช่น มอร์ฟีน (morphine) อ็อกซีโคโดน (oxycodone) หรือไฮโดรมอร์โฟน (hydromorphone) และห้ามยกของหนักหรือออกกำลังหนักหลังผ่าตัดส่องกล้อง 3-5 วัน หรือหลังผ่าเปิด 10-14 วัน
และนี่คือเคล็ดลับช่วยให้ฟื้นตัว โดยการใช้หมอนหนุนท้องเพื่อลดปวดหรือใช้ของนุ่มๆ หนุนเวลาไอ หัวเราะ จาม หรือขยับท้อง
- อย่าอดนอนเพราะร่างกายต้องการพักผ่อนเพื่อฟื้นตัว
- ล้างมือก่อนและหลงสัมผัสแผลผ่าตัด
- ไม่อาบน้ำจนกว่าไหมเย็บสเตอไรล์-สตริป (steri-strips) หรือแม็กเย็บ (staples) จะถูกเอาออก
- ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือหนาเกินไป
- ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นดนตรีหรือเล่นเกมเพื่อไม่ให้สนใจอาการปวด
- กลับไปทำงานเมื่อรู้สึกพร้อมแต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ภาวะแทรกซ้อนของไส้ติ่งอักเสบ
ถ้าไม่รักษา ไส้ติ่งอักเสบจะแย่ลงอย่างรวดเร็วและการอักเสบจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ความดันในไส้ติ่งจะเพิ่มขึ้นและปริมาณเลือดที่ไหลผ่านผนังไส้ติ่งจะลดลง ซึ่งเกิดการขาดเลือดตามมาและเริ่มตาย แบคทีเรียจะซึมออกจากผนังไส้ติ่งที่ตายทำให้เยื่อบุช่องท้องที่เป็นเยื่อคล้ายผ้าไหมบุในช่องท้องเกิดการติดเชื้อ ในที่สุดไส้ติ่งก็จะแตกและพ่นสิ่งที่อยู่ในไส้ติ่งออกมาทั่วท้อง
ในบางกรณีจะมีฝี (ก้อนของหนอง) จะเริ่มเกิดรอบไส้ติ่งที่แตก และถ้าฝีรั่วก็จะเกิดการติดเชื้อในช่องท้องที่เหลือ ในบางกรณีไส้ติ่งแตกก็จะทำให้เยื่อบุช่องท้องเกิดการติดเชื้อที่เรียกว่าเยื่อบุช่องท้องอักเสบซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงนำไปสู้การติดเชื้อในเลือดที่อันตรายถึงชีวิต เรียกว่า เซพซิส (sepsis)
ลูก5เดือนไม่ค่อยถ่าย