Anti-aging ชะลอวัย ชะลอโรคด้วยการตรวจวิตามินในร่างกาย

ตรวจวิตามินจำเป็นไหม? ทำไมต้องตรวจ? ตรงได้ที่ไหนบ้าง?
เผยแพร่ครั้งแรก 17 พ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 23 ก.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
Anti-aging ชะลอวัย ชะลอโรคด้วยการตรวจวิตามินในร่างกาย

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • วิตามิน มีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดวิตามินบางชนิดอาจทำให้เกิดความผิดปกติ แถมยังส่งผลต่อผิวพรรณ และทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย
  • การตรวจวิตามินในร่างกาย จะช่วยให้รู้ว่า ร่างกายขาดวิตามินชนิดใดก่อนจะเลือกซื้อมารับประทาน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุด รวมถึงปรับวิธีการใช้ชีวิต หรือการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น
  • ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจระดับวิตามิน เพราะเป็นวัยที่มักจะอยู่กับความเครียดและมีโอกาสรับสารอาหารที่มีประโยชน์น้อยลง
  • ผู้ที่ควรตรวจวิตามิน เช่น ผู้ที่พบความผิดปกติทางร่างกายอาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน ผู้ที่สนใจด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ผู้ที่มีความเครียดสูง ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยา ผู้ที่รับประทานอาหารได้น้อย ผู้ที่อยู่ระหว่างลดน้ำหนัก และผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีพิษ
  • หากตรวจพบว่า ระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายผิดปกติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยอาจสั่งจ่ายวิตามินที่ปรุงเฉพาะบุคคล (Personalization vitamin) ให้รับประทานเพื่อทดแทนวิตามินที่ขาดหายไป
  • เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย

วิตามิน เป็นสารอาหารสำคัญอีกชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้ เหมือนกับโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เพราะมีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ

แต่ปัญหาสำคัญคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ร่างกายของเรากำลังขาดวิตามิน หรือแร่ธาตุชนิดใดบ้าง เนื่องจากวิตามินบางชนิดหากรับประทานมากเกินไปก็อาจสะสมในร่างกายทำให้เกิดอันตรายตามมาได้ 

การตรวจระดับวิตามินในร่างกายจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า วิตามินในร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลหรือไม่ เพื่อที่จะได้เสริมวิตามินนั้นๆ ได้อย่างตรงจุด

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ประเภทของวิตามิน

วิตามินแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 

  1. วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 บี12 และวิตามินซี กลุ่มนี้จะอยู่ในร่างกายประมาณ 2-4 ชั่วโมง ส่วนที่เหลือจากการใช้งานจะถูกขับออกทางปัสสาวะ โอกาสที่จะสะสมในร่างกายจึงมีน้อย ไม่ค่อยก่อผลข้างเคียง


  2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค ซึ่งละลายในไขมัน หรือน้ำมันเท่านั้นเพื่อดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ไม่สามารถขับออกมาทางปัสสาวะได้ หากได้รับมากเกินไปจะเก็บสะสมไว้ในร่างกาย

ทำไมจึงควรตรวจวิตามิน?

เพราะคนส่วนใหญ่มักซื้อวิตามินจากร้านสะดวกซื้อและร้านขายยาทั่วไปมารับประทานเอง โดยไม่ทราบว่า ร่างกายของเราขาดวิตามินชนิดนั้นๆ จริงหรือไม่ แต่ซื้อเพราะเข้าใจว่า ยิ่งรับประทานมากก็ยิ่งได้รับสรรพคุณที่ระบุไว้มากตามไปด้วย

แต่จริงๆ แล้วร่างกายของเราสามารถดูดซึมวิตามินในปริมาณที่จำกัด ส่วนที่เหลือจากการใช้งานจะถูกขับออกทางปัสสาวะ การรับประทานมากเกินไปจึงไม่มีผลใดๆ กับร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นวิตามินบางชนิด หากร่างกายนำไปใช้ไม่หมดจะสะสมไว้ในร่างกายจนอาจเป็นอันตรายได้ 

การตรวจวิตามินในร่างกายจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ทราบว่า ร่างกายขาดวิตามินชนิดใดก่อนจะเลือกซื้อมารับประทาน เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายสูงสุดและเพื่อปรับวิธีการใช้ชีวิต หรือการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น 

โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่มักจะอยู่กับความเครียดและมีโอกาสรับสารอาหารที่มีประโยชน์น้อยลง 

วิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมีอะไรบ้าง?

วิตามินเอ 

  • มีส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน 
  • ช่วยบำรุงสายตา 
  • ช่วยลดการอักเสบของสิว 
  • ช่วยลดจุดด่างดำ 
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 4,000-5,000 IU 
  • ถ้าร่างกายขาดวิตามินเออาจส่งผลให้ผิวหนังหยาบ แห้ง มีตุ่มสาก และอาจมีปัญหาด้านการมองเห็นในที่มืด

วิตามินบี1 

  • มีส่วนสำคัญในการเสริมการทำงานของระบบหัวใจและกล้ามเนื้อ 
  • ช่วยเพิ่มการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต 
  • ปริมาณที่แนะนำ คือ 1–1.5 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • อาการของผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 คือ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อ เป็นตะคริวบ่อย กล้ามเนื้อแขนและขาไม่มีกำลัง อาจมีอาการใจสั่นหัวใจโตและเต้นเร็ว หอบ เหนื่อย

วิตามินบี2 

  • ช่วยในการเผาผลาญไขมัน 
  • ช่วยในการทำงานของสายตา โดยเฉพาะบริเวณเรตินา
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 1.2-1.7 มิลลิกรัม 
  • ถ้าขาดวิตามินบี 2 จะทำให้เป็นโรคปากนกกระจอกนั่นคือ มุมปากเปื่อย ลิ้นมีสีแดงกว่าปกติและเจ็บ มีแผลภายในปาก ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ อาจรู้สึกคันและปวดแสบปวดร้อนที่ตา หรืออ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และหงุดหงิดง่าย

วิตามินบี6 

  • มีส่วนช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือด 
  • เผาผลาญอาหารประเภทโปรตีน 
  • ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดี 
  • ปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันคือ ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม 
  • ถ้าขาดวิตามินบี 6 อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจาง และโรคหลอดเลือดอุดตัน

วิตามินบี9 

  • เรียกอีกชื่อว่า "โฟเลต" หรือ "กรดโฟลิก" มีแร่ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม ทองแดง 
  • ช่วยซ่อมแซมและสังเคราะห์ DNA ในร่างกายเราให้ทำงานได้ตามปกติ 
  • ช่วยชะลอความชรา 
  • ควบคุมการสร้างกรดอะมิโนที่จำเป็นในร่างกาย 
  • ช่วยในการป้องกันภาวะโลหิตจาง โรคตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปากมดลูก 
  • ช่วยป้องกันการแท้งบุตรในหญิงตั้งครรภ์ได้ด้วยและสามารถป้องกันภาวะสมองพิการและผิดปกติของเด็กทารกรวมถึงอาการแคระแกร็นในเด็ก วิตามินชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมมากในกลุ่มสตรีมีครรภ์ โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 600 ไมโครกรัม
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับคนปกติคือ 400 ไมโครกรัม 

วิตามินบี12 

  • ช่วยให้ร่างกายนำคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง 
  • ช่วยในการทำงานของระบบประสาท 
  • ปริมาณที่ร่างกายต้องการ คือ 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน 
  • อาการขาดวิตามินบี 12 ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกอ่อนล้า ท้องผูก น้ำหนักลด มึนงง ปวดศีรษะ ความจำไม่ดี ชาแปลบๆ บริเวณมือและเท้า

วิตามินซี  

  • มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ 
  • มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ 
  • ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
  • ช่วยให้บาดแผลหายเร็วยิ่งขึ้น 
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รวมทั้งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณด้วย 
  • ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ในคนปกติ 
  • ในหญิงตั้งครรภ์หรือผู้สูงอายุ ควรได้รับวิตามินซีมากกว่าคนปกติคือ ประมาณ 70-96 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • หากขาดวิตามินซี อาจทำให้เจ็บป่วยบ่อย เนื่องจากมีความต้านทานโรคต่ำ เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย เลือดออกตามไรฟันง่าย ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง

วิตามินดี  

  • เป็นวิตามินที่คนทั่วโลกขาดเยอะมาก โดยมีส่วนช่วยเก็บแคลเซียมเข้ากระดูก บำรุงกระดูกให้แข็งแรง 
  • ช่วยให่ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น 
  • ป้องกันโรคกระดูกบางและกระดูกพรุนได้ 
  • ปริมาณที่ควรได้รับคือ ไม่ควรเกิน 50 ไมโครกรัมต่อวัน 
  • หากขาดวิตามินดีจะทำให้ผมร่วง ปวดหลัง ปวดกระดูก มวลกระดูกลดลง แผลหายช้า อ่อนเพลีย นอนหลับไม่สนิท ลดการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งจะกระทบการปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด และเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ 

วิตามินอี  

  • ช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและการอุดตันของเส้นเลือด 
  • ลดการเกิดกระบวนการอักเสบในร่างกาย 
  • ลดความเสี่ยงหลอดเลือดอุดตัน
  • ชะลอการเสื่อมของเซลล์ 
  • กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์และกล้ามเนื้อ 
  • ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย 
  • ช่วยเกี่ยวกับการบำรุงผิวพรรณ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ 
  • โดยปริมาณที่ควรได้รับคือ ไม่ควรเกิน 1,000 ไมโครกรัมต่อวัน 
  • หากขาดวิตามินอีอาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง มีความผิดปกติของสมอง มือสั้น เดินเซ แต่โดยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพบผู้ที่ขาดวิตามินชนิดนี้

วิตามินเค  

  • ช่วยป้องกันเลือดออกภายในและเลือดออกไม่หยุด 
  • บรรเทาอาการประจำเดือนมามากกว่าปกติ 
  • ช่วยในกระบวนการสร้างลิ่มเลือด 
  • ช่วยป้องกันกระดูกเปราะบาง 
  • ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 65-80 ไมโครกรัม 
  • ผู้ที่ขาดวิตามินเคอาจมีเลือดออกมาก เขียวช้ำง่าย ปวดประจำเดือนมาก ประจำเดือนมามากกว่าปกติ มวลกระดูกลดลง หรืออาจมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารได้

วิตามินที่มีส่วนช่วยเรื่องผิวพรรณ

วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อผิวพรรณและการชะลอวัยนั้นมี 8 ชนิด ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี9 วิตามินซี วิตามินอี อัลฟา- คาโรทีน (alpha-Carotene) เบตา-แคโรทีน (Beta-Carotene) ไลโคปีน (Lycopene )และโคเอนไซม์คิวเท็น (Coenzyme Q10) 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ตรวจวิตามินได้ที่ไหน ใครควรตรวจวิตามิน?

ปัจจุบันโรงพยาบาลชั้นนำทั่วไปมีโปรแกรมการตรวจวิตามินให้บริการ โดยเหมาะสำหรับกลุ่มคนดังนี้

  • ผู้ที่พบความผิดปกติทางร่างกายซึ่งอาจเชื่อมโยงได้ว่า มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน
  • ผู้ที่รักและใส่ใจสุขภาพ
  • ผู้ที่สนใจด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ต้องการให้ร่างกายและผิวพรรณแลดูอ่อนวัยขึ้น
  • ผู้ที่สนใจ หรือรับประทานวิตามิน หรืออาหารเสริมเป็นประจำ
  • ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยา (Pharmacological) เช่น การได้รับเคมีบำบัด การได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ผ่านการผ่าตัด เป็นต้น
  • ผู้ที่มีความเครียดสูง ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ
  • ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีพิษ
  • ผู้ที่มีระบบดูดซึมไม่ดี มีปัญหาลำไส้
  • ผู้ที่รับประทานอาหารได้น้อย
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างลดน้ำหนัก
  • ผู้ที่เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ (Oxidative stress-related disease) เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน หลอดเลือดสมองตีบ เป็นต้น

ทั้งนี้หากตรวจแล้วพบว่า ระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายผิดปกติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยอาจสั่งจ่ายวิตามินที่ปรุงเฉพาะบุคคล (Personalization vitamin) ให้รับประทานเพื่อทดแทนวิตามินที่ขาดหายไปอย่างเหมาะสมในแต่ละบุคคล 

เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีการขาดวิตามินรวมถึงแร่ธาตุที่ต่างกันไปรวมถึงปริมาณที่ไม่เท่ากันด้วย

ในการรับประทานวิตามินเสริมไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของวิตามินเม็ดเท่านั้น แต่เป็นวิตามินจากอาหาร ผัก หรือผลไม้ที่มีประโยชน์ได้เช่นกัน นอกจากจะได้วิตามินที่เหมือนวิตามินเม็ดแล้ว ยังได้สารอาหารสำคัญอื่นๆ ที่วิตามินรูปแบบเม็ดให้ไม่ได้ด้วย

สำหรับผู้ที่ตรวจไม่พบความปกติใดๆ ทางร่างกายก็ไม่จำเป็นต้องตรวจวิตามินเสริมก็ได้ เพียงแค่ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่ ร่วมกับตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำก็สามารถชะลอวัย ชะลอโรคได้แล้ว

เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
นายแพทย์ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท. N Health. รู้หรือไม่!!! ประโยชน์ของวิตามินช่วยบำรุงสมอง และสร้างเกราะป้องกันผิว https://favforward.com/howto/42819.html. 27 February 2018.
พญ.จิรา ถาวรประดิษฐ์ แพทย์ด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลกรุงเทพ. วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย. https://www.bangkokhospital.com/th/health-tips/vitamin-deficiency.
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. วิตามินอี (Vitamin E) ดี โทษ อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!. https://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=33.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)