กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder cancer)

เผยแพร่ครั้งแรก 17 ก.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 24 นาที
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder cancer)

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะคือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุภายในกระเพาะปัสสาวะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนจนเป็นก้อนเนื้องอกและมะเร็งในที่สุด ซึ่งสามารถรักษาได้หลายวิธีขึ้นกับระยะและความรุนแรงของโรคที่เป็น ได้แก่ การผ่าตัดก้อนเนื้องอกออกจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ไปจนถึงการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด และการผ่าตัดทำรูเปิดเพื่อระบายปัสสาวะที่หน้าท้อง และอาจรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดและรังสีรักษา โดยผู้ป่วยแต่ละรายจะรักษาด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน

บทนำ

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (bladder cancer) คือมะเร็งที่เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ จนเป็นก้อนเนื้องอกและเป็นมะเร็งในที่สุด ในผู้ป่วยบางราย ก้อนเนื้องอกจะแพร่กระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อรอบๆ กระเพาะปัสสาวะด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

อาการของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่พบบ่อยที่สุดคือ ปัสสาวะเป็นเลือด โดยทั่วไปมักไม่มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย

หากคุณมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด แม้ว่าจะมีอาการเป็นๆ หายๆ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

ชนิดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

เมื่อคุณได้รับการวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แพทย์จะจัดแบ่งชนิดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจากการแพร่กระจายของมะเร็งว่าแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด

ถ้าเซลล์มะเร็งยังคงอยู่เฉพาะบริเวณเยื่อบุผนังกระเพาะปัสสาวะ แพทย์จะเรียกว่าเป็นมะเร็งชนิด non-muscle-invasive bladder cancer หรือมะเร็งที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยพบได้ประมาณ 7 ใน 10 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่เสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดนี้

หากเซลล์มะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ เราเรียกว่า muscle-invasive bladder cancer ซึ่งเป็นมะเร็งชนิดที่พบได้น้อยกว่า แต่จะเป็นมะเร็งชนิดที่มีโอกาสสูงที่จะลุกลามแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย และทำให้เสียชีวิตได้

ถ้ามะเร็งกระเพาะปัสสาวะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เราเรียกว่ามะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแพร่กระจาย (metastatic bladder cancer)

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจมะเร็งทั่วไปวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 340 บาท ลดสูงสุด 64%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ส่วนใหญ่แล้วมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุมาจากการสัมผัสกับสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของเซลล์กระเพาะปัสสาวะซึ่งจะกินระยะเวลาหลายปี

การสูบบุหรี่คือสาเหตุที่พบได้บ่อย และประมาณการว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่

การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิดที่เคยมีการใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ก็เป็นสาเหตุของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เช่นกัน แม้ว่าในปัจจุบันสารเคมีนั้นจะถูกห้ามการใช้แล้วก็ตาม

การรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

ในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดยังไม่แพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อ แพทย์มักทำการผ่าตัดโดยตัดเนื้องอกมะเร็งออกจากกระเพาะปัสสาวะ

การผ่าตัดนี้จะทำโดยการผ่าตัดโดยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ (transurethral resection of a bladder tumour (TURBT) หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดโดยใส่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะโดยตรงเพื่อลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งซ้ำ

ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่มะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำ แพทย์อาจใช้ยาที่ชื่อว่า Bacillus Calmette-Guérin (BCG) ฉีดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะโดยตรงเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งซ้ำ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจมะเร็งทั่วไปวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 340 บาท ลดสูงสุด 64%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

การรักษาผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดยังไม่แพร่กระจายสู่ชั้นกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงสูง หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่แพร่กระจายสู่ชั้นกล้ามเนื้อแล้ว อาจใช้การผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออก หรือที่เรียกว่า cystectomy

เมื่อแพทย์ผ่าตัดเอากระเพาะปัสสาวะออกจากร่างกายแล้ว คุณจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่นในการกักเก็บปัสสาวะที่ขับถ่ายออกจากร่างกาย ทางเลือกที่เป็นไปได้คือการเปิดรูที่หน้าท้องเพื่อให้ปัสสาวะไหลเข้าสู่ถุงกักเก็บปัสสาวะภายนอกร่างกาย หรือการผ่าตัดนำส่วนของลำไส้มาดัดแปลงเป็นกระเพาะปัสสาวะใหม่ ซึ่งจะทำไปพร้อมๆ กับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออก

หากมีความเป็นไปได้ที่สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออก หรือการผ่าตัดไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยรายนี้ แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยรังสีรักษา และยาเคมีบำบัด  การใช้ยาเคมีบำบัดบางครั้งถูกใช้ก่อนการผ่าตัด หรือใช้ก่อนการใช้ร่วมกับรังสีรักษา

ภายหลังการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะสิ้นสุดลง คุณจะต้องไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามอาการแสดงของการกลับมาเป็นซ้ำ

ใครบ้างที่เป็นโรคนี้

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะพบได้ประมาณ 3% ของโรคมะเร็งทั้งหมด พบได้บ่อยในคนอายุมาก โดยพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่มากกว่า และทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าผู้หญิง

อาการของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะมีเลือดปน คืออาการที่พบได้บ่อยสุดของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีเลือดปน คำศัพท์ทางการแพทย์ คือ haematuria และโดยทั่วไปจะไม่มีอาการปวด คุณอาจเห็นเลือดในปัสสาวะ หรือเลือดอาจทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แต่บางครั้งก็อาจสังเกตไม่เห็นเลือด และอาการจะเป็นๆ หายๆ

อาการอื่นๆ ที่พบได้น้อยกว่า ได้แก่:

ถ้าโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นรุนแรงขึ้นและมีการลุกลามแพร่กระจาย ผู้ป่วยจะมีอาการ:

  • ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • ปวดกระดูก
  • น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
  • ขาบวม

เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์

หากคุณมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด มีเลือดปนในปัสสาวะ แม้จะมีอาการเป็นๆ หายๆ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

การปัสสาวะเป็นเลือด ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเสมอไป เพราะมีโรคอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยกว่า ได้แก่:

สาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมักสัมพันธ์กับการสัมผัสสารเคมีบางชนิด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทราบสาเหตุของโรคเสมอไป

โรคมะเร็งคืออะไร?

โรคมะเร็งเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของโครงสร้างดีเอ็นเอ (DNA) ภายในเซลล์ ทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์นั้น ทำให้เซลล์เจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดเป็นก้อนเนื้องอกขึ้นมา

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

มีปัจจัยหลายปัจจัยที่มีค้นพบว่าจะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะอย่างมีนัยสำคัญ

การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่คือปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และเป็นสาเหตุส่วนของของผู้ป่วย เพราะบุหรี่ประกอบไปด้วยสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (carcinogenic)

หากคุณสูบบุหรี่เป็นเวลาหลายปี สารเคมีจะเข้าสู่กระแสเลือดและถูกกรองที่ไตไปเป็นปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะสัมผัสกับปัสสาวะที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็งซ้ำๆ เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่เก็บกักปัสสาวะก่อนปัสสาวะออกจากร่างกาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุภายในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งตามมา

ประมาณการว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากกว่าผู้ที่ไม่สูบมากถึง 4 เท่า

การสัมผัสกับสารเคมี

การสัมผัสกับสารเคมีในทางอุตสาหกรรมคือปัจจัยเสี่ยงสำคัญอันดับ 2 ข้อมูลจากการศึกษาประมาณการว่าอาจเป็นสาเหตุได้ถึงประมาณ 25% ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะทั้งหมด

สารเคมีที่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่:

  • aniline dyes
  • 2-Naphthylamine
  • 4-Aminobiphenyl
  • xenylamine
  • benzidine
  • o-toluidine

การทำงานที่สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีสาเหตุมาจากงานอุตสาหกรรมบางอย่าง:

  • สี
  • สิ่งทอ
  • ยาง
  • สีทาต่างๆ
  • พลาสติก
  • การฟอกหนังด้วยสี

งานบางอย่างที่ไม่ใช่งานในทางอุตสาหกรรมก็มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเช่นกัน เช่น คนขับรถแท็กซี่ คนขับรถโดยสารประจำทาง เป็นต้น เพราะคนเหล่านี้สัมผัสกับสารเคมีในไอเสียรถยนต์เป็นประจำ

หลังจากเริ่มมีการค้นพบความสัมพันธ์ของสารเคมีบางอย่างกับการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีการควบคุมการใช้สารเคมีต่างๆ เข้มงวดมากขึ้น

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการสัมผัสสารเคมีต่างๆ เหล่านี้จะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในปัจจุบันได้ เพราะต้องใช้เวลามากถึง 30 ปี หลังสัมผัสสารเคมีนั้นๆ ครั้งแรก ก่อนที่จะเริ่มเป็นโรคมะเร็ง

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่

  • รังสีรักษา ที่ใช้สำหรับรักษาโรคมะเร็งในตำแหน่งที่ใกล้กับกระเพาะปัสสาวะมาก่อนหน้านี้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดมาก่อนหน้านี้ เช่น ยา cyclophosphamide และ cisplatin
  • การผ่าตัดเพื่อนำต่อมลูกหมากบางส่วนออกจากโรคต่อมลูกหมากโต
  • เป็นโรคเบาหวาน- โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีคามสัมพันธ์กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง หรือเป็นบ่อยครั้ง
  • มีสายคาในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน อันเนื่องมาจากคุณมีความเสียหายเกิดขึ้นที่เส้นประสาทและเป็นอัมพาต
  • เป็นนิ่วในไตเป็นเวลานาน
  • หมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ (ก่อนอายุ 42 ปี)
  • ติดเชื้อพยาธิใบไม้เลือด (schistosomiasis) แล้วไม่ได้ทำการรักษา เป็นพยาธิที่มีชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำ

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะแพร่กระจายได้อย่างไร?

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะเริ่มต้นขึ้นที่เซลล์เยื่อบุในกระเพาะปัสสาวะ ในบางรายจะมีการลุกลามแพร่กระจายเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ เมื่อมะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อแล้ว ทำให้สามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ โดยทั่วไปจะแพร่กระจายผ่านระบบน้ำเหลือง

ถ้ามะเร็งกระเพาะปัสสาวะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายแล้ว เช่น อวัยวะอื่นๆ เราเรียกว่ามะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแพร่กระจาย (metastatic bladder cancer)

การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

หากคุณมีอาการของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด มีเลือดปนในปัสสาวะ คุณควรเข้าพบแพทย์โดยเร็วเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

แพทย์จะสอบถามอาการที่คุณเป็น, ประวัติครอบครัว รวมถึงประวัติการสัมผัสกับสิ่งใดๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เช่น การสูบบุหรี่

ในบางกรณี แพทย์จะให้คุณเก็บปัสสาวะส่งตรวจ โดยจะนำปัสสาวะไปตรวจหาเลือด แบคทีเรีย หรือเซลล์ที่ผิดปกติที่อาจปนเปื้อนอยู่ในปัสสาวะของคุณ

แพทย์จะทำการตรวจร่างกายให้กับคุณได้แก่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและช่องคลอด เพราะมะเร็งกระเพาะปัสสาวะอาจโตเป็นก้อนไปกดเบียดอวัยวะเหล่านี้อย่างชัดเจน

หากแพทย์สงสัยว่าคุณเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ คุณจะได้รับการส่งต่อไปตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม

ที่โรงพยาบาล

ในบางโรงพยาบาลจะมีคลินิกโรคเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด (haematuria) ในขณะที่บางโรงพยาบาลจะมีแผนกเฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ

การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy)

เมื่อคุณได้รับการส่งต่อมารับการตรวจยังคลินิกเฉพาะทาง หรือมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแล้ว และแพทย์สงสัยว่าคุณอาจจะมีอาการของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สิ่งแรกที่แพทย์จะทำคือ การใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ

วิธีการตรวจด้วยเทคนิคนี้จะทำให้แพทย์สามารถตรวจภายในกระเพาะปัสสาวะได้ โดยการใช้กล้อง (cystoscope) สอดเข้าไปผ่านท่อปัสสาวะ (urethra) กล้องจะมีลักษณะเป็นท่อยาวมีกล้องพร้อมไฟส่องที่ปลายท่อ

ก่อนทำการตรวจด้วยการส่องกล้อง แพทย์จะใช้เจลยาชาเฉพาะที่ทาที่บริเวณท่อปัสสาวะ ทำให้คุณไม่รู้สึกปวดขณะทำการตรวจ และเจลนี้จะช่วยให้กล่องใส่ผ่านท่อปัสสาวะได้ง่ายขึ้น

ขั้นตอนการตรวจด้วยการส่องกล้องมักใช้เวลาประมาณ 5 นาที

การสแกนภาพถ่ายทางการแพทย์

คุณอาจได้รับคำแนะนำให้ตรวจสแกนด้วย ซีที สแกน/การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือ การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI scan) หากแพทย์รู้สึกว่าจำเป็นต้องได้ภาพกระเพาะปัสสาวะที่มีรายละเอียดมากขึ้น

ในบางกรณีอาจต้องมีการฉีดสีเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV urogram) เพื่อให้เห็นภาพทั้งหมดของระบบปัสสาวะก่อนและหลังการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

ระหว่างกระบวนการนี้ ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสีเข้าทางหลอดเลือดดำ และทำการเอกซเรย์ดูสีที่ผ่านเข้าไปยังระบบปัสสาวะของคุณ

การส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ (transurethral resection of a bladder tumour (TURBT)

หากพบความผิดปกติภายในกระเพาะปัสสาวะระหว่างการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) คุณจะได้รับคำแนะนำให้ทำการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ หรือ transurethral resection of a bladder tumour (TURBT) ซึ่งจะทำให้เนื้อเนื้อผิดปกติสามารถถูกตัดออกมาและนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็งได้ (biopsy)

ในการทำการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ แพทย์จะทำโดยการให้ยาสลบกับคุณก่อน

และในบางครั้งผู้ป่วยจะได้รับการตัดชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะจำนวนเล็กน้อยไปตรวจหาการแพร่กระจายของมะเร็งด้วย ซึ่งจะเว้นระยะเวลา 6 สัปดาห์นับจากการตัดเชื้อเนื้อตัวอย่างในครั้งแรก

ภายหลังการผ่าตัดก้อนเนื้องอกออกไปแล้ว คุณควรได้รับยาเคมีบำบัด เพราะยาเคมีบำบัดจะช่วยป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ ถ้าก้อนเนื้องอกที่ตัดออกไปได้รับการตรวจยืนยันแล้วว่าเป็นก้อนเนื้อมะเร็ง

ระยะของโรคและระดับของโรคมะเร็ง (staging and grading)

เมื่อแพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยเสร็จแล้ว แพทย์จะแจ้งให้คุณทราบว่าคุณเป็นมะเร็งในระยะใด และเซลล์มะเร็งมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายมากน้อยเพียงใด

ระยะของโรคมะเร็ง (staging) คือการวัดว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด ยิ่งเป็นมะเร็งระยะแรกๆ ยิ่งหมายถึงมะเร็งมีขนาดเล็กและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการรักษามากกว่า

ระดับของโรคมะเร็ง (grading) หรือเกรด เป็นการวัดว่าเซลล์มะเร็งมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายมากน้อยเพียงใด โดยเกรดของโรคมะเร็งจะอธิบายด้วยสัญลักษณ์ G1 – G3 ยิ่งเกรดสูงยิ่งหมายถึงมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายได้มากกว่า

โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะนิยมใช้ระบบการแบ่งระยะโรคมะเร็งที่เรียกว่า TNM system โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • T หมายถึง บ่งบอกขนาดก้อนมะเร็ง และการลุกลามของมะเร็ง
  • N หมายถึง มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงหรือไม่
  • M หมายถึง มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายหรือไม่ (metastasis) เช่น แพร่กระจายไปที่ปอด

T stages

การแบ่งระยะแบบ T staging system แบ่งได้ดังนี้:

  • TIS หรือ CIS (carcinoma in situ) ระยะนี้คือช่วงต้นของมะเร็งเกรดสูงที่ยังคงอยู่ภายในชั้นเยื่อบุด้านในกระเพาะปัสสาวะ
  • Ta คือ มะเร็งยังอยู่ภายในชั้นเยื่อบุด้านในกระเพาะปัสสาวะ
  • T1 คือ มะเร็งเริ่มมีการเจริญเติบโตเข้าสู่ชั้นใต้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ (connective tissue)

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระยะ T1 มักเรียกว่าเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะต้น หรือ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่ไม่มีการแพร่กระจายไปยังชั้นกล้ามเนื้อ (non-muscle-invasive bladder cancer)

หากมะเร็งโตมากขึ้นกว่านี้จะเรียกว่า มะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่แพร่กระจายเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อ (muscle-invasive bladder cancer) โดยจะแบ่งได้เป็น:

  • T2-มะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่เจริญเติบโตไปมากกว่าชั้นใต้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ และเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ
  • T3-มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเจริญเติบโตไปมากกว่าชั้นกล้ามเนื้อ และเข้าสู่ชั้นไขมันรอบๆ

หากมะเร็งโตมากกว่าระยะ T3 จะพิจารณาว่าเป็นมะเร็งระยะลุกลาม (advanced bladder cancer) โดยจะแบ่งได้เป็น:

  • T4-มะเร็งมีการแพร่กระจายไปนอกกระเพาะปัสสาวะ เข้าสู่อวัยวะข้างเคียง
  • N0-ไม่มีเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลืองใดๆ
  • N1-มีเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลืองเพียง 1 ต่อมที่บริเวณเชิงกราน
  • N2-มีเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง 2 ต่อมหรือมากกว่านั้นที่บริเวณเชิงกราน
  • N3-มีเซลล์มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง 1 ต่อม หรือมากกว่านั้นที่บริเวณขาหนีบส่วนลึก (common iliac nodes)

N stages

การแบ่งระยะแบบ N staging system แบ่งได้ดังนี้:

M stages

การแบ่งระยะแบบ M staging system แบ่งได้ดังนี้:

มีเพียง 2 ระยะในการแบ่งแบบ M system

  • M0-เซลล์มะเร็งไม่มีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  • M1-เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น กระดูก ปอด หรือตับ

ระบบ TNM system เป็นระบบที่เข้าใจได้ยาก ดังนั้นไม่ต้องกลัวที่จะถามทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลคุณอยู่เกี่ยวกับผลการตรวจและความหมายต่อการรักษา รวมถึงการพยากรณ์โรค

การรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

ทางเลือกในการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะขึ้นกับความรุนแรงและการลุกลามของโรคมะเร็งเป็นส่วนใหญ่

การรักษามักมีความแตกต่างกันในแต่ละระยะของโรคมะเร็ง ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ระยะยังไม่มีการแพร่กระจายเข้ากล้ามเนื้อ ไปจนถึงระยะลุกลามแพร่กระจายเข้าชั้นกล้ามเนื้อ

ทีมสหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary teams (MDTs))

ในโรงพยาบาลต่างๆ จะมีทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์หลากหลายสาขาที่ร่วมกันทำงานเพื่อดูแลรักษาคุณด้วยวิธีที่ดีที่สุด

สมาชิกของทีมสหสาขาวิชาชีพประกอบด้วย:

  • ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ (urologist)-คือศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษาโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • แพทย์โรคมะเร็ง (clinical oncologist)-คือแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการใช้ยาเคมีบำบัดและการใช้รังสีรักษา
  • พยาธิแพทย์ (pathologist)-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อเยื่อวิทยา (ที่สัมพันธ์กับโรค)
  • รังสีแพทย์ (radiologist)-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการแปลผลโรคจากภาพถ่ายรังสีวิทยา

คุณควรได้รับเบอร์โทรศัพท์หรือช่องทางการติดต่อพยาบาลคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เพราะพยาบาลจะเป็นผู้ติดต่อคุณเป็นลำดับแรกในกรณีที่เกิดปัญหา และเป็นผู้ประสานงานระหว่างทีมสหวิชาชีพคนอื่นๆ โดยพวกเขาจะตอบคำถามและให้การสนับสนุนคุณตลอดระยะเวลาของการรักษา

การตัดสินว่าการรักษาใดที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับคุณถือเป็นเรื่องยาก โดยทีมสหวิชาชีพจะแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมกับคุณ อย่างไรก็ตามโปรดจำไว้ว่า การตัดสินใจเลือกการรักษาสุดท้ายขึ้นอยู่กับคุณ

ก่อนที่คุณจะปรึกษาเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษา คุณควรจดคำถามที่สงสัยเพื่อสอบถามทีมสหวิชาชีพก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกการรักษา

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดยังไม่แพร่กระจายสู่ชั้นกล้ามเนื้อ Non-muscle-invasive bladder cancer

หากคุณได้รับการวินิจฉัยโรคเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในระยะที่ยังไม่มีการแพร่กระจายไปกล้ามเนื้อ (ระยะ CIS, Ta และ T1) คำแนะนำเกี่ยวกับแผนการรักษาของคุณจะขึ้นกับความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำของโรคมะเร็ง หรือความเสี่ยงในการแพร่กระจายไปมากกว่าชั้นเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ

ความเสี่ยงดังกล่าวจะพิจารณาจากปัจจัยดังนี้:

  • จำนวนของก้อนเนื้องอกที่พบในกระเพาะปัสสาวะ
  • ก้อนเนื้องอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 3 เซนติเมตร
  • เคยเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมาก่อนหรือไม่
  • เกรดของเซลล์มะเร็ง

โดยการรักษาต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้:

ความเสี่ยงต่ำ (low-risk)

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดยังไม่แพร่กระจายสู่ชั้นกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงต่ำ จะรักษาด้วยการผ่าตัดโดยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ (TURBT) กระบวนการรักษานี้อาจทำระหว่างใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) เป็นครั้งแรก ซึ่งจะทำให้ได้เนื้อเยื่อนำมาตรวจหาเซลล์มะเร็งด้วย

การทำ TURBT จะทำภายใต้การให้ยาสลบ ศัลยแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เป็นกล้อง (cystoscope) ส่องเข้าไปเพื่อให้มองเห็นก้อนเนื้องอกและทำการตัดเนื้องอกนั้นออกจากเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ บาดแผลจะถูกปิดโดยการใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ และคุณอาจได้รับการคาสายไว้เพื่อระบายเลือดและเศษซากเนื้อเยื่อออกจากกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลาไม่กี่สัปดาห์ต่อจากนั้น

ภายหลังการผ่าตัด คุณควรได้รับยาเคมีบำบัด 1 โด๊ส เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะโดยตรง และจะให้ยาเคมีบำบัดค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนระบายยาออก

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ภายในไม่เกิน 48 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด และสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติภายใน 2 สัปดาห์

คุณควรได้รับคำแนะนำให้กลับมาติดตามอาการกับแพทย์ที่ 3 เดือน และ 9 เดือน เพื่อตรวจเช็คกระเพาะปัสสาวะโดยการใช้กล้องส่อง หากมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำภายหลัง 6 เดือนไปแล้ว และมีขนาดเล็ก คุณจะได้รับคำแนะนำให้รักษาด้วยการจี้ทำลายก้อนมะเร็งด้วยกระแสไฟฟ้า (fulguration)

ความเสี่ยงปานกลาง (Intermediate-risk)

ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดยังไม่แพร่กระจายสู่ชั้นกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงปานกลาง ควรได้รับการแนะนำให้ใช้ยาเคมีบำบัดทั้งหมด 6 โด๊ส โดยการฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปยังกระเพาะปัสสาวะโดยตรง และจะค้างยาไว้ในนั้นประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนจะระบายยาออก

คุณควรได้รับคำแนะนำให้มาตรวจติดตามอาการที่ 3 เดือน, 9 เดือน, 18 เดือน จากนั้นทุก 1 ปี ในทุกครั้งที่มาติดตามอาการ คุณจะได้รับการตรวจกระเพาะปัสสาวะโดยการส่องกล้อง หากพบมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำภายใน 5 ปี คุณจะได้รับคำแนะนำให้กลับไปพบทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะอีกครั้ง

อาจมียาเคมีบำบัดหลงเหลือในกระเพาะปัสสาวะอยู่บางส่วนภายหลังการรักษา ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรงได้ สิ่งที่จะช่วยได้คือให้ปัสสาวะขณะนั่งและระวังไม่ให้ปัสสาวะกระเด็นโดนตัวคุณหรือโดนฝารองนั่งของชักโครก หลังการปัสสาวะเสร็จ ให้ล้างผิวหนังรอบๆ อวัยวะเพศด้วยสบู่และน้ำสะอาด

หากคุณยังมีเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำ สิ่งสำคัญคือต้องใช้การคุมกำเนิด เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เพราะยาเคมีบำบัดอาจพบในน้ำอสุจิ หรือน้ำหล่อลื่นช่องคลอด และทำให้เกิดการระคายเคืองได้

ระหว่างการได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ คุณไม่ควรพยายามตั้งครรภ์หรือพยายามจะเป็นพ่อคน เพราะยาเคมีบำบัดจะเพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ทารกที่ผิดปกติแต่กำเนิด

ความเสี่ยงสูง (High-risk)

ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดยังไม่แพร่กระจายสู่ชั้นกล้ามเนื้อที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการทำการผ่าตัดโดยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ (TURBT) ครั้งที่ 2 ภายใน 6 สัปดาห์หลังการทำครั้งแรก และอาจต้องมีการทำ ซีที สแกน/การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และ การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI scan)

แพทย์จะทำการพูดคุยกับคุณเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษา ได้แก่:

  • การให้ยา Bacillus Calmette-Guérin (BCG) ซึ่งเป็นวัคซีน BCG ที่ผลิตมาเพื่อรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะโดยเฉพาะ
  • การผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออก (cystectomy)

วัคซีน BCG จะฉีดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะผ่านสายสวน และจะให้วัคซีนค้างไว้ในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนระบายออก ผู้ป่วยจำนวนมากจำนวนต้องรักษาด้วยวัคซีนนี้ทุกสัปดาห์เป็นเวลานาน 6 สัปดาห์ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ:

  • ต้องการปัสสาวะบ่อยครั้ง
  • ปวดขณะปัสสาวะ
  • มีเลือดในปัสสาวะ (haematuria)
  • อาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ เช่น อ่อนเพลีย มีไข้ และปวดเมื่อย

หากการรักษาด้วย BCG ไม่ประสบความสำเร็จ หรือมีผลข้างเคียงมากจนทนไม่ได้ คุณจะได้รับการส่งต่อกลับมาพบทีมผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง

คุณควรได้รับคำแนะนำให้ติดตามอาการกับแพทย์ทุก 3 เดือนในช่วง 2 ปีแรก จากนั้นทุก 6 เดือนในช่วง 2 ปีถัดไป จากนั้นทุกปี ในการมาพบแพทย์ตามนัด แพทย์จะตรวจกระเพาะปัสสาวะด้วยการส่องกล้อง

หากคุณวางแผนจะผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ ศัลยแพทย์จำเป็นต้องวางแผนสร้างช่องทางใหม่ในการขับถ่ายปัสสาวะออกจากร่างกาย

ภายหลังการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ คุณควรได้รับการนัดติดตามจากแพทย์เพื่อตรวจซีทีสแกน ที่ 6 เดือน และ 12 เดือน และตรวจเลือดทุก 1 ปี สำหรับผู้ชายจำเป็นต้องติดตามเพื่อตรวจท่อปัสสาวะทุกปีเป็นเวลา 5 ปี

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดแพร่กระจายเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อ Muscle-invasive bladder cancer

แผนการรักษาที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดแพร่กระจายเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อจะขึ้นกับว่ามะเร็งแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด สำหรับมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะ T2 และ T3 การรักษาจะมีเป้าหมายเพื่อรักษาให้หายหากเป็นไปได้ หรืออย่างน้อยคือสามารถควบคุมอาการได้เป็นเวลานาน

ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ แพทย์ด้านโรคมะเร็ง และพยาบาลเชี่ยวชาญจะหารือร่วมกับคุณเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาที่สามารถเป็นไปได้ ได้แก่:

  • การผ่าตัดเอากระเพาะปัสสาวะออก (cystectomy)
  • การใช้รังสีรักษาร่วมกับการใช้ยาเพิ่มประสิทธิภาพของรังสีในการทำลายเซลล์มะเร็ง (radiotherapy with a radiosensitiser)

แพทย์ด้านโรคมะเร็งควรพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะใช้ยาเคมีบำบัดก่อนการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือการฉายรังสี หากวิธีนี้เหมาะสมสำหรับคุณ หรือที่เรียกว่า การให้เคมีบำบัดเบื้องต้นก่อนการผ่าตัดหรือฉายรังสี (neoadjuvant therapy)

การใช้รังสีรักษาร่วมกับการใช้ยาเพิ่มประสิทธิภาพของรังสีในการทำลายเซลล์มะเร็ง (radiotherapy with a radiosensitiser)

รังสีรักษาจะถูกให้โดยใช้เครื่องฉายรังสีเข้าไปยังกระเพาะปัสสาวะ (การฉายรังสีภายนอกร่างกาย) โดยแพทย์จะฉายรังสีทุกวันเป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์นาน 4-7 สัปดาห์ โดยในแต่ละวันจะใช้เวลาในการฉายรังสีประมาณ 10-15 นาที

สำหรับยาเพิ่มประสิทธิภาพของรังสีในการทำลายเซลล์มะเร็ง (radiosensitiser) ควรได้รับไปพร้อมกับการให้รังสีรักษาในโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่แพร่กระจายเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อแล้ว โดยยานี้จะส่งผลต่อเซลล์ในก้อนเนื้องอก ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการให้รังสีรักษากับผู้ป่วย และจะมีผลน้อยมากกับเนื้อเยื่อปกติในร่างกาย

รังสีรักษานอกจากทำลายเซลล์มะเร็งได้แล้ว มันก็ยังทำลายเซลล์ปกติในร่างกายได้ด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายประการ ได้แก่:

  • ท้องเสีย
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (cystitis)
  • ช่องคลอดแคบในผู้หญิง ทำให้เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • หย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
  • ไม่มีขนบริเวณหัวหน่าว
  • มีบุตรยาก
  • อ่อนเพลีย
  • ปัสสาวะลำบาก

ส่วนใหญ่แล้วผลข้างเคียงต่างๆ นี้จะดีขึ้นภายหลังการรักษาสิ้นสุดลงไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงบางอย่างสามารถเกิดแบบถาวรก็ได้

การฉายรังสีเข้าไปโดยตรงที่บริเวณอุ้งเชิงกรานจะทำให้คุณเป็นหมัน/มีบุตรยากถาวร อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มารักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะก็มีอายุมากเกินกว่าที่จะมีลูกได้แล้ว ดังนั้นโดยทั่วไปจึงไม่จัดเป็นปัญหาสำคัญ

ภายหลังการให้รังสีรักษากับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะแล้ว คุณควรได้รับการนัดหมายเพื่อติดตามอาการทุกๆ 3 เดือน ในช่วง 2 ปีแรก จากนั้นเป็นทุก 6 เดือนในช่วง 2 ปีถัดมา และจากนั้นเป็นทุกปี และในทุกครั้งที่มาพบแพทย์ แพทย์จะตรวจกระเพาะปัสสาวะโดยการส่องกล้องตรวจ

คุณอาจได้รับคำแนะนำให้ทำซีที สแกน/การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่บริเวณช่องท้อง อุ้งเชิงกราน และหน้าอก ภายหลังระยะเวลา 6 เดือน, 1 ปี และ 2 ปี และการทำซีทีสแกนอาจได้รับคำแนะนำให้ทำทุกปีเป็นเวลา 5 ปี

การผ่าตัด หรือ รังสีรักษา?

ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลคุณอาจแนะนำทางเลือกในการรักษาเฉพาะสำหรับคุณ เพราะจะขึ้นกับสถานการณ์ของโรคที่คุณกำลังเป็นอยู่

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่มีกระเพาะปัสสาวะขนาดเล็ก หรือมีอาการทางระบบทางระบบปัสสาวะหลายอาการจะมีความเหมาะสมที่จะผ่าตัดมากกว่า สำหรับผู้ป่วยที่มีก้อนเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะก้อนเดียว โดยกระเพาะปัสสาวะยังทำหน้าที่ได้ตามปกติ กรณีนี้แนะนำให้ทำการรักษาเพื่อรักษากระเพาะปัสสาวะเดิมไว้จะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจร่วมจากคุณคือสิ่งสำคัญที่สุด คุณควรมีการพูดคุยกับทีมแพทย์ถึงทางเลือกในการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

ข้อดีและข้อเสียของการผ่าตัดและรังสีรักษา:

ข้อดีของการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด (radical cystectomy)  ได้แก่:

  • การรักษาทำเพียงครั้งเดียว
  • คุณไม่จำเป็นต้องส่องกล้องตรวจเป็นประจำภายหลังการรักษา อย่างไรก็ตามยังต้องมีวิธีการตรวจอื่นๆ ที่รุกรานร่างกายน้อยกว่าอยู่
  • ต้องใช้เวลามากถึง 3 เดือนกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่
  • ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทั่วไปจากการผ่าตัด เช่น อาการปวด ติดเชื้อ และเลือดออก
  • ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาสลบ
  • ต้องมีการผ่าตัดเปิดทางออกของปัสสาวะช่องทางอื่นแทนช่องทางเดิม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการใช้ถุงเก็บกักปัสสาวะภายนอกร่างกายด้วย
  • มีความเสี่ยงสูงที่จะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย (คาดการณ์ว่าสูงถึง 90%) ซึ่งมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทถูกทำลาย
  • ภายหลังการผ่าตัด ผู้หญิงบางรายจะรู้สึกไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ อันเนื่องมาจากช่องคลอดมีขนาดเล็กลง
  • มีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เสียชีวิต เช่น หัวใจวาย, โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรคลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำส่วนลึก (deep vein thrombosis (DVT))

ข้อเสียของการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด (radical cystectomy)  ได้แก่:

ข้อดีของการให้รังสีรักษา ได้แก่:

  • เป็นการรักษาที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นข้อแนะนำที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีสภาวะทางสุขภาพไม่ดี
  • การทำงานของกระเพาะปัสสาวะจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะว่าไม่ต้องถูกตัดกระเพาะปัสสาวะออก
  • โอกาสน้อยที่จะเกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย (ประมาณ 30%)

ข้อเสียของการให้รังสีรักษา ได้แก่:

  • คุณจำเป็นต้องมารับการฉายรังสีเป็นประจำนาน 4-7 สัปดาห์
  • พบผลข้างเคียงระยะสั้นได้บ่อย เช่น ท้องเสีย อ่อนเพลีย กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (cystitis)
  • มีการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระเพาะปัสสาวะถาวรในระดับเล็กน้อย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการปัสสาวะได้
  • ผู้หญิงจะรู้สึกช่องคลอดแคบลง ทำให้เวลามีเพศสัมพันธ์รู้สึกเจ็บ ไม่สบายตัว

ยาเคมีบำบัด (chemotherapy)

ในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่มีการแพร่กระจายเข้าชั้นกล้ามเนื้ออาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งแทนที่จะให้ยาเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะโดยตรง แต่จะเปลี่ยนเป็นการให้ยาเข้าทางหลอดเลือดดำที่แขนแทน เราเรียกการให้ยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำ (intravenous chemotherapy) และสามารถใช้ได้ในกรณีดังต่อไปนี้:

  • ก่อนการให้รังสีรักษา และการผ่าตัด เพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็ง
  • ให้ร่วมกับรังสีรักษาก่อนการผ่าตัด (chemoradiation)
  • ให้เพื่อชะลอการแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแพร่กระจายที่ไม่สามารถรักษาหายขาดได้ หรือเรียกว่าการรักษาแบบประคับประคอง (palliative chemotherapy)

ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการให้ยาเคมีบำบัดจะมีประสิทธิภาพเมื่อให้หลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งขณะนี้มีที่ใช้เฉพาะในงานวิจัยทางคลินิก

ยาเคมีบำบัดมักถูกให้ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่กี่วันในช่วงแรก และคุณจะได้รับการเว้นช่วงให้ยาเป็นเวลาไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาเพียงพอที่จะฟื้นฟูร่างกายก่อนได้รับยาเคมีบำบัดอีกครั้ง โดยรอบการให้ยานี้จะทำซ้ำเป็นเวลาไม่กี่เดือน

ยาเคมีบำบัดที่ฉีดเข้าหลอดเลือดดำจะทำให้คุณมีผลข้างเคียงจากยามากกว่าการให้ยาโดยตรงเข้าไปที่กระเพาะปัสสาวะ โดยผลข้างเคียงต่างๆ ควรมีอาการดีขึ้นเมื่อการรักษาสิ้นสุดลง

ยาเคมีบำบัดจะไปทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงได้ ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้มากขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีทีคุณมีอาการของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ ไอเรื้อรัง หรือผิวหนังแดง และให้หลีกเลี่ยงการพบปะกับคนอื่นที่มีการติดเชื้อในขณะนั้น

อาการข้างเคียงอื่นๆ ของยาเคมีบำบัด ได้แก่:

 

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแพร่กระจาย (metastatic bladder cancer)

คำแนะนำในการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแพร่กระจายจะขึ้นกับว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปไกลมากแค่ไหน แพทย์โรคมะเร็งควรหารือกับคุณเกี่ยวกับทางเลือกในการรักษา ซึ่งอาจเป็นดังนี้:

  • การให้ยาเคมีบำบัด
  • การรักษาเพื่อบรรเทาอาการของมะเร็ง

ยาเคมีบำบัด

หากคุณได้รับยาเคมีบำบัด คุณจะได้รับยาหลายตัวร่วมกันเพื่อลดผลข้างเคียงจากการรักษา การรักษาอาจหยุดลงได้หากพบว่ายาเคมีบำบัดไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น และอาจต้องใช้ยาตัวอื่นแทน

การรักษาเพื่อบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง

คุณอาจได้รับคำแนะนำให้รักษาเพื่อบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง ซึ่งอาจได้แก่:

  • การให้รังสีรักษาเพื่อรักษาอาการปวดขณะปัสสาวะ, ปัสสาวะเป็นเลือด, อยากปัสสาวะบ่อบครั้ง หรืออาการปวดที่บริเวณอุ้งเชิงกราน
  • การรักษาเพื่อช่วยให้ไตระบายของเสียได้ หากคุณมีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะและเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่าง

 การดูแลแบบประคับประคองตามอาการ (Palliative care)

หากคุณเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายแล้วซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทีมแพทย์ที่ดูแลคุณจะหารือกับคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ปัสสาวะว่ามะเร็งแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด และมีการรักษาใดบ้างที่ช่วยบรรเทาอาการได้

คุณอาจได้รับการส่งต่อไปรับการดูแลกับทีมแพทย์ที่เน้นดูแลแบบประคับประคองตามอาการ ซึ่งสามารถให้การสนับสนุนและให้การช่วยเหลือ เช่น การบรรเทาอาการปวดให้กับคุณ

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

การวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และการรักษาโรคนี้สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตอย่างชัดเจน

ผลกระทบด้านจิตใจ (Emotional impact)

การใช้ชีวิตกับโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก ผู้ป่วยหลายรายรู้สึกอารมณ์แปรปรวน เช่น คุณอาจรู้สึกแย่เมื่อได้รับฟังการวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และรู้สึกดีขึ้นเมื่อมะเร็งถูกกำจัดออกจากร่างกายแล้ว และจะกลับมารู้สึกแย่อีกครั้งเมื่อคุณเมื่อคุณต้องเจอกับผลที่เกิดขึ้นจากการรักษา

ความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งจะกระตุ้นให้มีภาวะซึมเศร้า อาการแสดงของภาวะซึมเศร้า เช่น:

  • มีความรู้สึกเศร้า หรือสิ้นหวังอย่างต่อเนื่อง
  • ไม่เพลิดเพลินกับสิ่งที่เคยชอบอีกต่อไป

หากมีอาการของภาวะซึมเศร้าขอแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำ เพราะมีการรักษาหลายอย่างที่สามารถช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น เช่น การใช้ยาต้านซึมเศร้า และการบำบัดเช่น การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioural therapy (CBT))

การผ่าตัดทำทางเดินปัสสาวะใหม่ (Urinary diversion)

หากกระเพาะปัสสาวะของคุณถูกผ่าตัดออกแล้ว คุณจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อทำทางเดินปัสสาวะใหม่ไปพร้อมกันด้วย

สำหรับการผ่าตัดทำทางเดินปัสสาวะใหม่มีอยู่หลายชนิด ซึ่งมีรายละเอียดด้านล่างนี้ ในบางกรณีคุณอาจเลือกทางเลือกในการทำได้ตามความต้องการของตัวคุณเอง อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทางเลือกในการรักษาทุกทางเลือกจะเหมาะสมสำหรับคุณ

ดังนั้นทีมแพทย์ที่ดูแลคุณจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ

ลำไส้เปิดทางหน้าท้องสำหรับปัสสาวะ (Urostomy)

การทำทางเปิดทางหน้าท้องสำหรับปัสสาวะจะทำระหว่างการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด (radical cystectomy) แพทย์จะตัดส่วนเล็กๆ ของลำไส้เล็กออกและทำการเชื่อมต่อกับท่อไตทั้งสองข้างที่เป็นช่องทางเดินของปัสสาวะจากไต

จากนั้นแพทย์จะสร้างเป็นรูเปิดเล็กๆ ไว้ที่ผิวหน้าท้อง เพื่อทำการระบายปัสสาวะ รูเปิดนี้เรียกว่า stoma อ่านว่าสโตมา หรือทวารเทียม

บริเวณสโตมาจะมีถุงกันน้ำต่อไว้เพื่อรองรับปัสสาวะที่จะไหลออกทางรูดังกล่าว ซึ่งพยาบาลจะเป็นผู้ให้คำแนะนำในการดูแลรูเปิดสโตมานี้ และช่วยสอนเกี่ยวกับวิธีในการเปลี่ยนถุง และเมื่อไรที่ต้องเปลี่ยนถุง

Continent urinary diversion

การผ่าตัดทำทางเดินปัสสาวะใหม่วิธีนี้จะคล้ายกับการทำลำไส้เปิดทางหน้าท้องสำหรับปัสสาวะ (urostomy) แต่ไม่จำเป็นต้องมีถุงรองรับปัสสาวะภายนอกร่างกาย แพทย์จะใช้ส่วนของลำไส้เพื่อสร้างเป็นกระเพาะปัสสาวะใหม่ภายในร่างกายเพื่อเก็บกักปัสสาวะ

ท่อไตทั้งสองข้างจะถูกเชื่อมต่อกับกระเพาะปัสสาวะใหม่และจะเชื่อมต่อกับรูเปิดที่ผนังหน้าท้อง แต่รูเปิดที่หน้าท้องนี้จะมีขนาดเล็กและสามารถป้องกันการไหลออกของปัสสาวะได้ ซึ่งผู้ป่วยจะระบายปัสสาวะออกได้ด้วยการใช้สายสวนปัสสาวะออกเป็นครั้งๆ ประมาณ 4-5 ครั้งต่อวัน

การสร้างกระเพาะปัสสาวะใหม่ (Bladder reconstruction)

ในผู้ป่วยบางรายอาจมีความเหมาะสมที่จะทำการสร้างกระเพาะปัสสาวะใหม่ หรือเรียกว่า neobladder โดยจะผ่าตัดส่วนหนึ่งของลำไส้มาสร้างเป็นถุงคล้ายบอลลูน ก่อนเชื่อมต่อถุงนี้กับท่อไตที่ปลายด้านหนึ่ง ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของถุงจะเชื่อมต่อกับท่อปัสสาวะ อย่างไรก็ตามการผ่าตัดเพื่อสร้างกระเพาะปัสสาวะใหม่ไม่ได้เหมาะสมกับผู้ป่วยทุกราย

คุณจะได้รับการสอนวิธีในการระบายปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะใหม่นี้โดยการคลายกล้ามเนื้อที่บริเวณอุ้งเชิงกราน ในขณะเดียวกันก็ต้องหดเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องไปพร้อมๆ กัน

เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะใหม่ที่สร้างขึ้นไม่ได้ประกอบไปด้วยปลายประสาทเช่นเดียวกับกระเพาะปัสสาวะจริง ดังนั้นคุณจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกอยากปัสสาวะเหมือนแต่ก่อน บางคนอาจรู้สึกเหมือนหน้าท้องแน่นๆ รู้สึกอิ่มๆ ในขณะที่บางคนจะรู้สึกเหมือนต้องการผายลม

เนื่องจากการทำหน้าที่ของเส้นประสาทสูญเสียไป ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะใหม่นี้อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ในบางครั้ง ซึ่งมักพบในเวลากลางคืนขณะนอนหลับ

คุณอาจพบประโยชน์จากการตั้งเวลาเพื่อการขับถ่ายปัสสาวะไว้ เช่น ก่อนเข้านอน เพื่อป้องกันไม่ให้ปัสสาวะราดตอนกลางคืน

ปัญหาด้านเพศสัมพันธ์

หย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย

ให้แจ้งแพทย์ทราบหากคุณสูญเสียความสามารถในการแข็งตัวหรือคงสภาพการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายได้หลังการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกไปทั้งหมด ซึ่งอาจรักษาได้ด้วยการใช้ยาในกลุ่ม phosphodiesterase type 5 inhibitors (PDE5) โดยยานี้จะออกฤทธิ์เพิ่มเลือดไหลเวียนไปที่อวัยวะเพศชาย

ยานี้อาจให้พร้อมกับการใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่ากระบอกปั้มสุญญากาศ (vacuum pump) ซึ่งเป็นกระบอกที่ต่ออยู่กับปั๊ม โดยจะต้องนำอวัยวะเพศชายใส่เข้าไปในกระบอกและปั๊มอากาศออก ทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศและทำให้เลือดไหลเวียนเข้าไปในอวัยวะเพศชาย การใช้ยางรัดที่บริเวณฐานของอวัยวะเพศจะช่วยให้มีการแข็งตัวต่อเนื่องประมาณ 30 นาที

ช่องคลอดแคบ

ทั้งการรักษาด้วยรังสีรักษาและการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะออกสามารถเป็นสาเหตุให้ช่องคลอดแคบและสั้นลงได้ ทำให้ระหว่างมีเพศสัมพันธ์มีการเจ็บหรือสอดใส่ได้ยากลำบาก

มีการรักษา 2 การรักษาหลักสำหรับรักษาอาการช่องคลอดแบ อันดับแรกคือการใช้ฮอร์โมนครีมทาที่บริเวณดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นที่ภายในช่องคลอด

อย่างที่ 2 คือ การใช้อุปกรณ์ขยายช่องคลอด เป็นอุปกรณ์พลาสติกรูปกรวย มีขนาดต่างๆ กัน ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยยืดช่องคลอดอย่างอ่อนโยน และทำให้ช่องคลอดอ่อนนุ่มมากขึ้น

โดยทั่วไปจะแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ขยายช่องคลอดเป็นเวลา 5-10 นาทีทุกๆ วัน เริ่มแรกจะให้ใช้ขนาดที่พอดีกับช่องคลอดก่อน เพื่อให้ง่ายและค่อยๆ เพิ่มขนาดขึ้นเมื่อช่องคลอดเริ่มขยายในสัปดาห์ต่อๆ มา

ผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกอายที่จะหารือกับแพทย์ถึงเรื่องนี้ แต่การใช้อุปกรณ์ขยายช่องคลอดคือการรักษาที่ดีสำหรับช่องคลอดแคบ ซึ่งพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ดังกล่าวได้

คุณจะพบว่าคุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้บ่อยขึ้นและมีอาการปวดน้อยลง อย่างไรก็ตามอาจเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะรู้สึกพร้อมมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง

การป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

เราไม่สามารถป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ 100% แต่เราทราบว่ามีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

การหยุดสูบบุหรี่

ถ้าคุณสูบบุหรี่ การเลิกสูบบุหรี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะและป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ

หากคุณวางแผนที่จะเลิกสูบบุหรี่ ให้โทรหาสายด่วน 1600 ซึ่งจะมีบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมให้คำแนะนำกับคุณโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายและช่วยส่งเสริมคุณให้เลิกบุหรี่ได้

หากคุณวางแผนจะเลิกบุหรี่แต่ไม่ต้องการไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ที่รักษาคุณสามารถจ่ายยาเพื่อลดอาการถอนบุหรี่ได้

ทำงานในสถานที่ที่มีความปลอดภัย

ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะจะเพิ่มขึ้นหากคุณทำงานในสถานที่ที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีก่อมะเร็ง ซึ่งจะเป็นงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับ:

  • ยาง
  • สี
  • สิ่งทอ
  • พลาสติก
  • การฟอกสีหนัง
  • ควันดีเซล

ปัจจุบันแต่ละโรงงานจะต้องมีแนวทางการปฏิบัติงานที่เข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับสารเคมีอันตรายเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน และสารเคมีที่มีข้อมูลชัดเจนว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะก็ถูกสั่งห้ามใช้แล้ว หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับแนวทางการทำงานในโรงงานของคุณ ให้พูดคุยกับผู้จัดการ หรือตัวแทนที่ดูแลเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในโรงงานของคุณ

การรับประทานอาหาร

มีข้อมูลหลักฐานบางอย่างที่ระบุว่าการรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยผักและผลไม้ในปริมาณมาก ไขมันต่ำ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้

แม้ว่าข้อมูลจากหลักฐานดังกล่าวนี้จะมีอย่างจำกัด แต่ก็ถือเป็นแนวคิดที่ดีที่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว เพราะมันสามารถช่วยป้องกันมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้ด้วย เช่น มะเร็งลำไส้ และโรคร้ายแรงทางสุขภาพอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง (hypertension) โรคหลอดหลอดสมอง (stroke) และโรคหัวใจ

อาหารที่แนะนำได้แก่ อาการที่มีไขมันต่ำ มีใยอาหารสูง ได้แก่ ผักและผลไม้ (5 ส่วนต่อวัน) และธัญพืชไม่ขัดสี และให้จำกัดการรับประทานเกลือไม่ให้มากกว่า 6 กรัมต่อวัน (1 ช้อนชา) เพราะเกลือที่มากเกินไปทำให้ความดันโลหิตสูงได้

คุณควรพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เพราะจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของคุณ

อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่:

  • พายเนื้อ
  • ไส้กรอก
  • เนย
  • เนยเหลวชนิดหนึ่งที่ใช้ในการปรุงอาหารของอินเดีย (ghee)
  • น้ำมันหมู
  • ครีม
  • ชีสแข็ง
  • เค้กและขนมปังกรอบ
  • อาหารที่มีน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม

อย่างไรก็ตามการรับประทานควรมีความสมดุลหลากหลาย และประกอบไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเล็กน้อย เพราะจะช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้

อาหารที่ประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่:

https://www.nhsinform.scot/illnesses-and-conditions/cancer/cancer-types-in-adults/bladder-cancer#introduction


26 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Bladder cancer - Causes. NHS (National Health Service). (https://www.nhs.uk/conditions/bladder-cancer/causes/)
Bladder Cancer. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (https://www.cdc.gov/cancer/bladder/index.htm)
Bladder cancer, a review of the environmental risk factors. National Center for Biotechnology Information. (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3388449/)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป