หญิงตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เพื่อรับการตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ยังมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว จึงทำให้หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับสารอาหารและพลังงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพ ดังนี้
1. ความต้องการพลังงานของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ขึ้นกับน้ำหนักของมารดาที่เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปใช้สำหรับการเจริญเติบโตของทารกและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของแม่ ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งการเพิ่มน้ำหนักของหญิงตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับระยะของการตั้งครรภ์ โดยน้ำหนักตัวเฉลี่ยของหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวปกติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 11.5 - 16 กิโลกรัม ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- ในไตรมาสแรก (1 - 3 เดือน) หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในหญิงที่มีสุขภาพดีอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 2 กิโลกรัมก็เพียงพอ ซึ่งได้จากการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 150 - 200 แคลอรี
- ในไตรมาสที่ 2 (4 - 6 เดือน) และไตรมาสที่ 3 (7 - 9 เดือน) การเพิ่มของน้ำหนักมารดามีความสำคัญ เนื่องจากทารกในครรภ์เติบโตรวดเร็วมากในระยะนี้ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายต้องทำงานเพิ่มขึ้น จึงควรต้องเพิ่มพลังงานขึ้นเป็นวันละ 300 แคลอรี เพื่อให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1.4 - 1.8 กิโลกรัมในแต่ละเดือนจนถึงคลอด
การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวหญิงตั้งครรภ์แต่ละคนจะไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ว่าอยู่ในเกณฑ์ใด ซึ่งสามารถคำนวณได้จากค่าดัชนีมวลกาย (body mass index; BMI) เพื่อหาว่ามีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ใด ถ้าหญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวน้อย ระหว่างตั้งครรภ์ควรเพิ่มน้ำหนักให้มากขึ้นกว่าปกติ หรือถ้ามีน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์มาก ควรเพิ่มน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
อาหารที่ให้พลังงานที่หญิงตั้งครรภ์ได้รับควรมาจาก คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง ธัญพืช เผือก มัน โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา ถั่วต่าง ๆ ไขมันจากพืชและสัตว์ สำหรับวิตามินและเกลือแร่ได้จากการกินผักและผลไม้รวม ซึ่งการใช้พลังงานของร่างกายสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ควรใช้พลังงานจากการเผาผลาญกรดไขมันและกลูโคส สำหรับโปรตีนไม่ควรนำมาเป็นแหล่งพลังงาน แต่ควรใช้เพื่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เอนไซม์ และฮอร์โมน เป็นต้น
2. ความต้องการโปรตีนของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์
ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์มีความต้องการโปรตีนเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของทั้งมารดาและทารก ความต้องการโปรตีนจะสูงสุดในระยะไตรมาสสุดท้ายหรือ 3 เดือนก่อนคลอด เซลล์สมองของทารกจะมีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้ามารดาได้รับโปรตีนและแคลอรีไม่เพียงพอจะทำให้มีจำนวนเซลล์สมองน้อยและขนาดเล็ก ซึ่งมีผลต่อสติปัญญาและการเรียนรู้ของเด็กในอนาคต
คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ได้แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ กินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ 25 กรัม เนื่องจากโปรตีนประมาณ 1.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และประมาณ 2 ใน 3 ของโปรตีนที่ได้รับควรเป็นโปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
3. ความต้องการเกลือแร่
หญิงตั้งครรภ์มีความต้องการเกลือแร่ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจากภาวะปกติ เนื่องจากทารกในครรภ์ต้องนำเกลือแร่ต่าง ๆ ไปใช้ในการสร้างโครงสร้างหลักของร่างกาย เช่น กระดูกและฟัน เป็นต้น เกลือแร่ที่สำคัญที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับมากกว่าปกติ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก ไอโอดีน และสังกะสี เป็นต้น
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
1) แคลเซียม
- แคลเซียมเป็นเกลือแร่ที่คุณแม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน การควบคุมการเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการรับส่งของกระแสประสาท นอกจากนี้ยังพบว่าแคลเซียมช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
- หญิงตั้งครรภ์มีต้องการแคลเซียมมากกว่าหญิงปกติ 1 เท่าตัว
- ปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยการดูดซึมในลำไส้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วงการตั้งครรภ์ระยะแรกและสะสมไว้ในกระดูกแม่ พอถึงช่วงไตรมาสสุดท้ายทารกจะมีการสร้างกระดูกมากขึ้น โดยดึงแคลเซียมจากเลือดของมารดามาใช้ประมาณวันละ 300 มิลลิกรัม
- ความต้องการแคลเซียมสัมพันธ์กับฟอสฟอรัส โดยจำเป็นต้องมีสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเท่ากับ 1 : 1 เสมอ ร่างกายจึงจะดูดซึมแคลเซียมได้
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 19 ปี ควรได้รับแคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวัน
- อาหารที่มีแคลเซียม ได้แก่ น้ำนม เนย ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง และผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักโขม ผักกาด และกะหล่ำปลี เป็นต้น
2) ฟอสฟอรัส
- ฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และช่วยสร้างเซลล์อื่น ๆ เนื่องจากฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกรดนิวคลีอิก ที่มีความสำคัญต่อการถ่ายทอดพันธุกรรมและควบคุมกระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์
- หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 19 ปี ควรได้รับฟอสฟอรัส 700 มิลลิกรัมต่อวัน
- อาหารที่มีฟอสฟอรัสมาก ได้แก่ ปลา นม ไข่ เนย และผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ
3) เหล็ก
- เหล็กเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นมากสำหรับภาวะตั้งครรภ์ เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และเป็นองค์ประกอบของฮีโมโกลบินที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจน
- การได้รับเหล็กในปริมาณไม่เพียงพอทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์และในระหว่างคลอดได้ง่าย เนื่องจากมารดาที่เป็นโรคโลหิตจางจะทนต่อการสูญเสียเลือดในระหว่างการคลอดได้น้อย ทำให้เป็นอันตรายแก่มารดาและทารกได้ รวมทั้งเกิดความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อหลังคลอดได้
- คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2546 แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับยาเม็ดธาตุเหล็กเสริมวันละ 60 มิลลิกรัมเสริมจากการได้รับธาตุเหล็กจากอาหาร เนื่องจากระยะตั้งครรภ์จะมีการถ่ายเทเหล็กจากมารดาไปสู่ทารกโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ประมาณวันละ 3-4 มิลลิกรัม และหญิงตั้งครรภ์จะสูญเสียเหล็กในระหว่างคลอดประมาณ 150 มิลลิกรัม
- อาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น เครื่องในสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะตับ ไต ม้าม ไข่แดง ผักใบเขียวต่างๆ ซึ่งควรรับประทานอาหารร่วมกับวิตามินซีและโปรตีนเพื่อช่วยให้ร่างการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
4) ไอโอดีน
- ไอโอดีนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างฮอร์โมนไทรอกซินจากต่อมไทรอยด์ ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อใช้เป็นพลังงาน ในระยะตั้งครรภ์ที่ร่างกายต้องการพลังงานมากกว่าปกติ ร่างกายจึงต้องการไอโอดีนเพิ่มมากขึ้น
- ฮอร์โมนไทรอกซินจึงมีความเกี่ยวข้องในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและเซลล์สมอง หากขาดฮอร์โมนนี้ในช่วงตั้งครรภ์อาจทำให้แท้งหรือเสียชีวิตในระหว่างคลอด แต่ถ้ารอดชีวิตและเติบโตได้การพัฒนาทางสมองของเด็กลดลง การพัฒนาการทางด้านร่างกายช้า ถ้าขาดรุนแรงพัฒนาการด้านประสาทจะบกพร่องทารกที่คลอดมาจะมีลักษณะเป็นเด็กปัญญาอ่อน หรือที่เรียกว่า “โรคเอ๋อ”
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับไอโอดีนเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 50 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 200 ไมโครกรัม
- อาหารที่มีสารอาหารไอโอดีนสูง ได้แก่ อาหารทะเล เช่น ปลา ปู กุ้ง และหอยทะเล นอกจากนี้อาจได้จากการกินเกลือผสมไอโอดีน หรือที่เรียกว่า เกลืออนามัย หรือผลิตภัณฑ์ที่เสริมเกลือไอโอดีน เป็นต้น
5) สังกะสี
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- สังกะสีมีความสำคัญต่อการทำงานของเอนไซม์โปรตีน และการแสดงออกของหน่วยพันธุกรรมในทุกระบบของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้สังกะสียังมีความสำคัญต่อกระบวนการเมแทบอลิซึมของกรดนิวคลีนิก และโปรตีน ช่วยในการเจริญเติบโต และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ทำให้ร่างกายนำวิตามินเอที่สะสมในตับมาใช้ให้ภูมิคุ้มกันโรค และยังทำให้อวัยวะเพศและกระดูมีการพัฒนาตามปกติ
- ภาวะขาดสังกะสีก่อให้เกิดความผิดปกติของการเจริญเติบโต ระบบภูมิคุ้มกันการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และระบบประสาทที่ควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับสังกะสีเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 2 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 9 มิลลิกรัม
- อาหารที่มีสารอาหารสังกะสีสูง ได้แก่ หอยนางรม จมูก ข้าว ปู กุ้ง เนื้อสัตว์ ตับ เห็ด อาหารที่มีโปรตีนสูงมักมีสังกะสีเป็นส่วนประกอบ
- แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายโดยเป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์จำนวนมาก มีบทบาทในการควบคุมอุณหภูมิ การยืดหดของกล้ามเนื้อ การสังเคราะห์โปรตีน
- ถ้าปริมาณแมกนีเซียมในเลือดน้อยจะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับแมกนีเซียม เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 30 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 280 มิลลิกรัม
- อาหารที่มีสารอาหารแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง นม เป็นต้น
6) แมกนีเซียม
- แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายโดยเป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์จำนวนมาก มีบทบาทในการควบคุมอุณหภูมิ การยืดหดของกล้ามเนื้อ การสังเคราะห์โปรตีน
- ถ้าปริมาณแมกนีเซียมในเลือดน้อยจะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับแมกนีเซียม เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 30 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 280 มิลลิกรัม
- อาหารที่มีสารอาหารแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง นม เป็นต้น
4. ความต้องการวิตามิน
วิตามินเป็นสารอาหารที่ช่วยในการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายต้องการปริมาณเล็กน้อย แต่การขาดอาจส่งผลให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับวิตามิน และส่งผลต่อทารกที่อยู่ในครรภ์ได้โดยตรง วิตามินที่สำคัญที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับ ได้แก่
1) วิตามินเอ
- เป็นวิตามินที่ช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยในการสร้างกระดูกและฟัน ส่งเสริมสุขภาพของผิวหนังและพัฒนาการของเซลล์เยื่อบุผิว ช่วยบำรุงสุขภาพของตาและการมองเห็นของหญิงตั้งครรภ์ บำรุงผิวหนังและเพิ่มความต้านทานโรค รวมทั้งการเพิ่มภูมิต้านทานซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเกิดมะเร็งด้วย
- แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับวิตามินเอ เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 200 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 800 ไมโครกรัม
- อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอ ได้แก่ ไข่แดง ตับ และผักที่มีสารแคโรทีน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ ประกอบด้วย ผักใบเขียว และผลไม้ที่มีสีเหลืองเข้ม เช่น ผักตำลึง ผักคะน้า ผักหวาน แครอท ฟักทอง มะละกอสุก เป็นต้น
2) วิตามินดี
- หญิงตั้งครรภ์ต้องการวิตามินดีเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในการสร้างกระดูกของทารกในครรภ์ วิตามินดีมีความสำคัญต่อการควบคุมเมแทบอลิซึมของแคลเซียมและกระดูก ช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ทางเดินอาหาร และการทำงานของเซลล์กระดูกเป็นปกติ ซึ่งเป็นผลให้ระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด ปริมาณมวลกระดูก รวมทั้งโครงสร้างและความแข็งแรงของกระดูกอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินดีวันละ 5 ไมโครกรัม ซึ่งคนไทยที่มีสุขภาพแข็งแรงดีซึ่งได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ ผิวหนังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีสะสมในร่างกายในปริมาณที่เพียงพอตลอดปี
- อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดี ได้แก่ น้ำมันตับปลา เนื้อปลาที่มีไขมัน ตับ นม และไข่แดง เป็นต้น
3) วิตามินอี หรือโทโคเฟอรอล (tocopherol)
- วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์และสัตว์ ความสำคัญต่อการผลิตพลังงานในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยให้กล้ามเนื้อและประสาทที่เกี่ยวข้องทำงานได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อย เพิ่มความทนทานและช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวกขึ้น
- วิตามินอีพบได้ในผนังเซลล์ทุกชนิดและในหยดไขมัน มีบทบาทในการต่อต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันที่เกิดขึ้นกับสารต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกาย เช่น บนผนังเซลล์เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำลาย
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินอีวันละ 15 ไมโครกรัม
- อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืชต่าง ๆ เมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดแตงโม อัลมอนด์ ถั่วเหลือง รวมทั้งจมูกข้าวสาลี ตลอดจนตับ หัวใจ และไข่แดง
4) วิตามินบีหนึ่ง
- วิตามินบี 1 เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ ที่ใช้ในกระบวนการย่อยคาร์โบไฮเดรต ถ้ามีวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอคาร์โบไฮเดรตจะไม่ถูกย่อย ดังนั้นถ้าใช้พลังงานมากหรือกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก ควรได้รับวิตามินบีหนึ่งเพิ่มขึ้นด้วย
- การขาดวิตามินบี 1 ส่งผลให้เกิดโรคเหน็บชา ซึ่งอาจพบในหญิงตั้งครรภ์ที่เกิดการแพ้ท้องมากจนไม่สามารถบริโภคอาหารได้ ประกอบกับต้องใช้พลังงานมาก ทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ถ้าไม่รักษาอาจเกิดการแท้งบุตรได้
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินบีหนึ่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 0.4 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 1.4 มิลลิกรัม
- อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีหนึ่ง ได้แก่ จมูกข้าว ยีสต์ พืชตระกูลถั่ว เนื้อหมู ไข่ และเครื่องในสัตว์โดยเฉพาะตับ เป็นต้น
5) วิตามินบีสอง
- วิตามินบี 2 เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยบำรุงผิวหนัง ช่วยป้องกันโรคไมเกรน ช่วยขจัดอนุมูลอิสระ
- การขาดวิตามินบี 2 มีผลทำให้ผิวหนังแตกเป็นขุย และแดงอักเสบ บำรุงนัยน์ตา ลดอาการตาไม่กล้าสู้แสง ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก หรือรอยแผลแตกที่มุมปาก นอกจากนี้การขาดวิตามินบี 2 จะเกี่ยวข้องกับโรคขาดโปรตีนและพลังงาน
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินบีสอง เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 0.3 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 1.4 มิลลิกรัม
- อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีสอง ได้แก่ ตับ และผักใบเขียว
6) โฟเลต
- โฟเลตเป็นสารอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับกรดนิวคลีอิกและกรดแอมิโน
- โฟเลตเป็นวิตามินที่มีความสำคัญมากต่อหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากทารกในครรภ์อย่างรวดเร็วทั้งร่างกายและสมอง โฟเลตช่วยในการสร้างและพัฒนาเม็ดเลือดแดง ช่วยการสังเคราะห์สารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอจำเป็นสำหรับการแบ่งเซลล์และการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อต่าง ๆ และช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะหลอดประสาทของทารกในครรภ์เปิด หรือ neural defects : NTDs
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับโฟเลต เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 200 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 600 ไมโครกรัม เมื่อร่างกายได้รับโฟเลตไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอาการโลหิตจาง
- อาหารที่เป็นแหล่งของโฟเลต ได้แก่ ตับ ผักใบเขียว ผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดดอกทานตะวัน และจมูกข้าว เป็นต้น
7) วิตามินบีสิบสอง
- วิตามินบี 12 จำเป็นสำหรับการทำงานของเซลล์ในไขกระดูก ระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร ทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุตามปกติ ใช้รักษาระบบเลือดผิดปกติ และอาการทางประสาทของคนไข้ที่เป็นโรคโลหิตจางเป็นพิษชนิดเพอร์นิเซียส (pernicious anemia)
- วิตามินบี 12 ทำงานร่วมกับโฟเลต เหล็ก ในการผลิตเม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 0.2 ไมโครกรัม หรือควรได้รับวันละ 2.6 ไมโครกรัม
- อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบีสิบสอง ได้แก่ ตับ ไต หัวใจ เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เป็นต้น
8) วิตามินซี
- วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์คอลลาเจน คาร์นิทีน สารเหนี่ยวนำกระแสประสาท (neurotransmitter) และเมแทบอลิซึมของกรดแอมิโนและคาร์โบไฮเดรต เพิ่มภูมิต้านทานและช่วยในการดูดซึมเหล็ก ยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งไนโตรซามีน (nitrosamine) มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของลิพิด (lipid peroxidation)
- ถ้ามีการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงจะเกิดโรคลักปิดลักเปิด (scurvy) และมีผลต่อการสร้างกระดูกและฟันของทารกในครรภ์
- หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินซี เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกวันละ 10 มิลลิกรัม หรือควรได้รับวันละ 85 มิลลิกรัม
- วิตามินซีพบมากในผลไม้ เช่น เชอรี่ ฝรั่ง ส้ม มะนาว และผัก เช่น คะน้า สะเดา ผักหวาน เป็นต้น