กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

ส้ม ข้อมูล สรรพคุณ ข้อควรระวัง และวิธีการกินเพื่อสุขภาพ

วิธีการกินส้มเพื่อสุขภาพ พร้อมประโยชน์ต่อร่างกาย ผลไม้แคลอรี่ต่ำที่มีประโยชน์สูง
เผยแพร่ครั้งแรก 3 ส.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 2021 ตรวจสอบความถูกต้อง 21 มี.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
ส้ม ข้อมูล สรรพคุณ ข้อควรระวัง และวิธีการกินเพื่อสุขภาพ

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ส้ม เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่ให้วิตามิน และแร่ธาตุที่หลากหลาย ทั้งยังสามารถนำไปทำเป็นเครื่องดื่ม และอาหารเพื่อสุขภาพได้มากมายได้หลายแบบ
  • ประโยชน์ของส้มนั้นมีมากมาย ทั้งสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอยบนใบหน้า สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ลดอาการวิงเวียน เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย
  • ส้มสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในบ้านของคุณได้ด้วย โดยสามารถใช้ไล่ยุง เพิ่มกลิ่นหอมภายในบ้าน อีกทั้งช่วยดับกลิ่นในห้องครัวได้
  • หากรับประทานส้มมากเกินไป จะทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องร่วง นอนไม่หลับ เกิดโรคนิ่วในไต ฟันสึกหรอจากกรดของส้ม หัวใจทำงานผิดปกติ
  • คุณควรรับประทานผลไม้ และอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ รวมถึงหมั่นออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และไปตรวจสุขภาพกับแพทย์เป็นประจำด้วย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัยได้ที่นี่)

ส้ม ผลไม้ที่หลายคนมักจะนึกถึงในช่วงที่ร่างกายต้องการความสดชื่น เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้กลิ่นหอม มีรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี อีกทั้งให้วิตามินซี และสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย 

คนส่วนมากมักนิยมรับประทานหลังอาหาร เพราะช่วยล้างปากได้ดีนั่นเอง ที่สำคัญ ส้มมีส่วนช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน และยังช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้อีกด้วย แล้วนอกจากนี้ ส้มมีประโยชน์อะไรอีกบ้างนั้น มาลองสำรวจดูกัน 

ทำความรู้จักส้ม

ส้ม (Orange) เป็นผลไม้มีรสชาติเปรี้ยวหวาน สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม และอาหารเพื่อสุขภาพได้หลากหลาย ให้สารอาหารประเภทวิตามินต่างๆ หลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินดี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส คอลลาเจนธาตุเหล็ก และแคลเซียม 

ส้มเป็นผลไม้ที่คนทุกวัยสามารถรับประทานได้ โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน ผู้ปรองมักจะเริ่มให้ดื่มน้ำส้มผสมน้ำเปล่า เพื่อลดการระคายเคือง และนอกจากส้มจะเป็นผลไม้ที่ให้สารอาหารมากแล้ว 

คุณค่าทางโภชนาการของส้ม

ในส่วนของส้ม 100 กรัม ให้คุณค่าทางโภชนาการหลักๆ ดังนี้

  • พลังงาน 47 กิโลแคลอรี 
  • คาร์โบไฮเดรต 11.75 กรัม  
  • น้ำตาล 9.35 กรัม 
  • เส้นใย 2.4 กรัม 
  • วิตามินบี 1 0.087 มิลลิกรัม 8% 
  • วิตามินบี 9 30 ไมโครกรัม 8% 
  • วิตามินซี 53.2 มิลลิกรัม 64% 
  • ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3% 
  • โพแทสเซียม 181 มิลลิกรัม 4%

ประโยชน์ของส้ม

นอกจากส้มที่นำมากินเปล่าๆ หรือคั้นกินเป็นน้ำส้มจะช่วยแก้กระหาย ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแล้ว ส้มยังมีประโยชน์มากมาย ดังนี้ 

  1. ส้มมีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจนภายในร่างกาย ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
  2. ส้มมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีความเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านและสุขภาพดี
  3. ส้มช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยลดความเครียด
  4. ส้มมีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคเลือดออกตามไรฟัน
  5. ส้มมีวิตามินซี และคอลลาเจนที่ช่วยในการสมานแผล ช่วยให้แผลหายไวขึ้น เช่น แผลไฟไหม้ แผลผ่าตัด  
  6. ส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ที่มีส่วนช่วยในการป้องกันการอักเสบ และช่วยป้องกันเลือดจับตัวกันเป็นก้อนได้ดี
  7. วิตามินซีในส้มช่วยบำรุงสายตาให้สุขภาพดี และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกได้อีกด้วย
  8. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม สารเบต้าแคโรทีนที่อุดมอยู่ในส้มนั้น มีส่วนช่วยในการชะลอความเสื่อมของเส้นผมได้ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเล็บ ผิว และช่วยให้ผนังหลอดเลือดเส้นเลือดฝอยมีความแข็งแรง
  9. เปลือกส้มเต็มไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ซึ่งสามารถแก้อาการวิงเวียนศีรษะ และยังจัดเป็นยาระบายอ่อนๆ ได้ดี นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยในการปรับระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยกรองสารพิษที่อยู่ในตับได้อีกด้วย
  10. การรับประทานส้มเป็นประจำทุกวัน ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งที่ปาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งกล่องเสียง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเป็นอัมพาตได้เป็นอย่างดี

ไอเดียการใช้ส้มเพื่อสุขภาพ

นอกจากส้มจะเป็นผลไม้มงคลต้อนรับตรุษจีนแล้ว ยังถือว่าเป็นผลไม้ที่สามารถนำมาทำเป็นเมนูอาหารและเครื่องดื่มได้อีกหลากหลายเลยทีเดียว ที่สำคัญยังสามารถนำมาใช้เพื่อสุขภาพได้อีกด้วย เช่น

  1. เปลือกส้มไล่ยุงได้ โดยการนำเปลือกส้มมาตากจนแห้งแล้วนำมาจุดไฟ วิธีนี้จะช่วยให้เกิดกลิ่นที่หอมช่วยไล่ยุงอย่างปลอดภัยต่อสุขภาพ และกลิ่นส้มยังเพิ่มความสดชื่นในร่างกาย
  2. ปลือกส้มดับกลิ่นในห้องครัว การนำเปลือกส้มมาอบด้วยไฟอ่อนสักประมาณ 4-5 นาที จากนั้นเปิดฝาไมโครเวฟทิ้งไว้ จะทำให้กลิ่นหอมของเปลือกส้มที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยช่วยดับกลิ่นอาหารที่ไม่พึงประสงค์ในห้องครัวได้เป็นอย่างดี
  3. ช่วยย่อยอาหาร การเสิร์ฟอาหารที่เป็นเมนูเนื้อสัตว์คู่กับเปลือกส้ม จะช่วยย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว หรือจะสับเปลือกส้มลงในเมนูอาหารขณะที่กำลังปรุงอาหารนั้นๆ ด้วยก็ได้
  4. ดับกระหาย เพียงนำส้มมาคั้นสดๆ แล้วดื่มก็จะช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ปลุกความสดชื่น และสามารถดื่มดับกระหายในหน้าร้อน หรือช่วงอากาศร้อนๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิตามินซีจากส้มยังช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย
  5. ปรนนิบัติด้านความงาม ส้มสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบเสริมความงามได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใส เรียบเนียน และลดเลือนจุดด่างดำให้ดูจางลง โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

สูตรพอกหน้าด้วยส้ม

  • สูตร 1 คั้นน้ำส้มผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น และทำให้ผิวหน้าขาวใสขึ้นได้
  • สูตร 2 นำเนื้อส้มมาแกะกลีบออก แล้ววางแปะบนใบหน้าจนทั่ว ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ผิวหน้าจะกระจ่างใสขึ้น

ไอเดียการกินส้มเพื่อสุขภาพ

ส้มมักนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะน้ำส้มคั้นสดที่หลายคนเลือกดื่มในช่วงเช้าก่อนออกไปทำงาน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินซีในช่วงเช้า แต่ยังมีอีกหลากหลายเมนูที่นำส้มมาเป็นวัตถุดิบหลัก จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกัน

1. แยมส้ม 

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ ส้ม น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้ปอกผิวส้มโดยตัดส่วนที่ขาวๆ ออก จากนั้นซอยผิวส้มให้เป็นเส้นบางๆ ตามด้วยหั่นเนื้อส้มตามกลีบ ส่วนกากที่เหลือให้บีบน้ำออกใส่ลงไปในหม้อ

สำหรับขั้นตอนของการเคี่ยวส้ม และน้ำตาลทราย ให้เคี่ยวด้วยไฟอ่อน โดยเคี่ยวต่อไปจนส่วนผสมข้นแล้วค่อยปิดไฟ จากนั้นใส่ผิวส้มแต่เพียงพอประมาณ ตามด้วยน้ำมะนาวแล้วคนต่อไปให้เข้ากัน พักให้เย็น จากนั้นตักใส่ภาชนะเก็บไว้รับประทาน

2. น้ำส้มบ๊วยโซดา 

สำหรับเครื่องดื่มนี้ให้เตรียมน้ำส้มคั้นสด น้ำตาลทราย บ๊วยเค็มแห้ง เนื้อส้มหั่นเต๋า ใบสะระแหน่ น้ำโซดา น้ำเปล่า และน้ำแข็ง

ขั้นตอนในการทำ คือ เริ่มจากทำน้ำเชื่อมบ๊วยก่อน โดยต้มบ๊วยกับน้ำตาลทราย และน้ำด้วยไฟอ่อนๆ เคี่ยวต่อไปจนงวด ให้น้ำเชื่อมเหลือเพียงครึ่งเดียว แล้วพักให้เย็น

เมื่อได้น้ำเชื่อมแล้วให้ผสมน้ำเชื่อมบ๊วย น้ำส้มคั้นสด เนื้อส้ม ใบสะระแหน่ และโซดา คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน แล้วตักใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้

3. กรานิต้าน้ำส้ม 

เตรียมน้ำส้มคั้นสด น้ำเชื่อม เนื้อส้มไร้เมล็ด และน้ำมะนาว ขั้นตอนการทำเริ่มจากปั่นส่วนผสมทุกอย่างให้พอหยาบ จากนั้นเทใส่ภาชนะสแตนเลส แล้วนำไปแช่แข็งจนส่วนผสมที่ได้เริ่มอยู่ตัว

นำส้อมมาขูดให้เป็นเกล็ดน้ำแข็ง แล้วจึงนำไปแช่แข็งอีกครั้ง เมื่อส่วนผสมเริ่มแข็งตัว ให้นำออกมาขูดด้วยส้อมอีกครั้งจนหน้าตาคล้ายกับเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ เพียงเท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟในช่วงที่อากาศร้อน เพราะสามารถกินเพื่อช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายได้ดีทีเดียว

4. พานาคอตต้าส้ม

เตรียมวิปปิ้งครีม นมจืด น้ำตาลทราย น้ำส้มคั้นสด และเจลาติน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้ว ให้เริ่มจากการทำส่วนแรกก่อน คือ นำวิปปิ้งครีม และนมจืดเทใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นตั้งไฟให้พออุ่น แล้วจึงค่อยๆ เติมน้ำตาลทรายลงไป

ส่วนที่ 2 คือ นำน้ำส้มคั้นสดใส่หม้อแล้วตั้งไฟให้พออุ่น เติมน้ำตาลทรายลงไป ระหว่างนั้นให้นำแผ่นเจลาตินมาแช่ลงในน้ำเย็น เมื่อเจลาตินนิ่มให้นำไปใส่ในส่วนผสมที่ 1 และ 2 แล้วจึงคนให้เข้ากัน ต่อด้วยเทใส่ลงไปในพิมพ์ ตกแต่งด้วยผลไม้ที่ต้องการ นำเข้าตู้เย็น

5. มัฟฟินส้ม 

เตรียมแป้งอเนกประสงค์ แป้งโฮลวีต เบกกิ้งโซดา เนื้อส้มแกะเป็นกลีบ นมถั่วเหลือง น้ำส้มเข้มข้น น้ำมันคาโนลา น้ำตาลหญ้าหวาน แอปเปิ้ลไซเดอร์ และเกลือป่น 

ขั้นตอนการทำเริ่มด้วยการเปิดเตาอบที่ 170 องศา ทาน้ำมันให้ทั่วพิมพ์แต่เพียงบางๆ เตรียมรอไว้ มาต่อกันที่ส่วนผสมแรก โดยร่อนแป้งทั้ง 2 ชนิด และเบกกิ้งโซดาเข้าด้วยกัน จากนั้นให้ทำส่วนที่ 2 โดยเติมส่วนผสมที่เหลือยกเว้นเนื้อส้ม ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน 

หลังจากนั้น ให้เทส่วนผสมที่ได้ลงไปในแป้งที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ใช้พายกวนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ตักใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ จัดเรียงเนื้อส้มที่แกะเป็นกลีบให้สวยงาม นำเข้าเตาอบประมาณ 25 นาที พักให้เย็นแล้วแกะออกจากพิมพ์ เตรียมเสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มได้เลย

ข้อควรระวังการใช้หรือบริโภคส้ม

แม้ว่าส้มจะเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ แต่หากรับบริโภคมากเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน โดยข้อควรระวังในการรับประทานส้ม มีดังนี้

  • ไม่ควรรับประทานมากไป ส้มถือว่าเป็นผลไม้ที่มีปริมาณเส้นใยมากที่สุดอีกหนึ่งชนิด โดยมีปริมาณอยู่ที่ 2.4 กรัม ดังนั้นจึงควรรับประทานเพียงแค่ 1 ลูกเท่านั้น แต่หากรับประทานมากกว่านั้นจะส่งผลทำให้มีปริมาณเส้นใยภายในลำไส้มากจนเกินไป และทำให้เกิดปัญหาท้องผูกได้
  • ไม่ควรรับวิตามินซีมากไป โดยปกติแล้วร่างกายต้องการวิตามินซีเพียงแค่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น  ภายในส้มมีปริมาณวิตามินซีมากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากร่างกายได้รับปริมาณวิตามินซีมากเกินไป ก็จะส่งผลทำให้เกิดโรคท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด นอนไม่หลับ เกิดโรคนิ่วในไตขึ้นได้  หากคุณรับประทานส้มเพียง 2-3 ผล ก็เพียงพอต่อวิตามินซีที่ต้องการต่อวันแล้ว ไม่ควรหาวิตามินเสริมอื่นๆ มากเกินไป
  • ผู้ที่มีปัญหากรดไหลย้อนควรระวัง ส้มถือเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรดเช่นกัน ผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของกรดภายในกระเพาะ หรือกรดไหลย้อน ควรรับประทานส้มไม่เกิน 1 ลูก นอกจากนี้ หากรับระทานส้มมากเกินไป ก็อาจทำให้กรดจากส้มทำลายผิวฟันให้สึกหรอได้
  • ส้มมีโพแทสเซียมสูง โพแทสเซียมเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเป็นอย่างมาก แต่ก็มีระดับปริมาณที่ต้องการจำกัด ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละคน หากได้รับปริมาณโพแทสเซียมจากส้มมากเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะส่งผลทำให้หัวใจทำงานผิดปกติได้

ส้มไม่เพียงเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของวิตามินซีสูงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลไม้ที่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และยังสามารถนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหารทั้งคาว-หวานได้อีกด้วย 

นอกจากนี้ ส้มยังให้ประโยชน์และสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ถือเป็นผลไม้ที่ทุกคนควรหันมาบริโภคเพื่อการมีสุขภาพที่ดี แต่ก็ควรคำนึงถึงปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน เพื่อไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)