โกจิเบอร์รี่ หรือรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า เก๋ากี้ มักถูกนำมาประกอบอาหารประเภทตุ๋นยาจีน ในทวีปเอเชียเชื่อกันว่าโกจิเบอร์รี่ เป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่ง โดยในประเทศได้ใช้เก๋ากี้เป็นยามาแล้วมากกว่า 2,000 ปี เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย และสามารถนำมาใช้เพื่อสุขภาพและนำมารับประทาน ดังนี้
โกจิเบอร์รี่ (Goji berry) หรือ Wolfberry มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycium barbarum วงศ์ Solanaceae เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดแถบทวีปเอเชีย ในประเทศที่อยู่ตามแนวเขาหิมาลัย เช่น ประเทศจีน มองโกเลีย และทิเบต ลักษณะของต้นจะเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1-2 เมตร ผลโกจิเบอร์รี่จะมีสีแดงอมส้ม ขนาดเล็กประมาณเท่าลูกเกด รสชาติจะออกเปรี้ยวอมหวาน ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก มีสรรพคุณหลากหลาย ได้รับขนานนามว่าเป็น “ซูเปอร์ฟรุต (Super fruit)”
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
คุณค่าทางอาหารของโกจิเบอร์รี่
โกจิเบอร์รี่แห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 83 แคลอรี โดยที่ขึ้นกับ ความสด ชนิด และวิธีการปรุงเป็นอาหาร มีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
- โปรตีน 11 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 21 กรัม
- ไขมัน 1 กรัม
- น้ำตาล 13 กรัม
- ใยอาหาร 8 กรัม
- วิตามิน A 9,000 IU
- วิตามิน C 19.2 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 100 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 9 มิลลิกรัม
- โซเดียม 24 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 840 มิลลิกรัม
- ซิงค์ 2.7 มิลลิกรัม
- คอปเปอร์ 2 มิลลิกรัม
และยังมีสารสําคัญ จําพวกซีแซนทีน (Zeaxanthin) และลูทีน (Lutein) สูงมากกว่าผักและผลไม้ทั่วไป
สรรพคุณของโกจิเบอร์รี่
โกจิเบอร์รี่มีประโยชน์ดังนี้
- ช่วยรักษาโรคเบาหวาน จากงานวิจัยในปี ค.ศ. 2015 พบว่า โกจิเบอร์รี่ช่วยเพิ่มการตอบสนองของกลูโคสและมีผลต่อการลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL โดยศึกษาจากการวิจัยในสัตว์ทดลอง
- ช่วยต้านมะเร็งและป้องกันการเกิดมะเร็ง มีการศึกษาเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคมะเร็งพบว่า ผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้น เมื่อเสริมอาหารที่มีส่วนผสมของโกจิเบอร์รี่ เนื่องจากพืชชนิดนี้มีไฟซาลินที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็ง และยังมีโพลีแซคคาไรด์ที่ทำให้เซลล์มะเร็งถูกกำจัดออกไป
- ช่วยลดน้ำหนัก เพราะมีแคลอรีต่ำ มีไฟเบอร์สูงถึง 20% และมีน้ำตาลน้อย จึงเหมาะสำหรับการนำมารับประทานเป็นอาหารลดน้ำหนัก เพราะจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่หิวบ่อยอย่างที่เคย
- ช่วยเพิ่มคุณภาพของการมองเห็น เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินเอและสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ได้แก่ ซีแซนทิน และ ลูทีน ซึ่งเป็นชนิดที่พบที่จุดรับภาพของจอตา ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างสองสารนี้เองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร จึงช่วยลดการเสื่อมสภาพดวงตาและปกป้องดวงตาจากรังสียูวี
- เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย จากงานวิจัยพบว่าสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ และทำให้อสุจิแข็งแรงขึ้น
- ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้า จากการทดลองในหนูทดลอง พบว่า ช่วยลดอาการวิตกกังวล และอาการเครียดที่เป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยให้ผู้ทดลองดื่มน้ำจากพืชชนิดนี้ต่อเนื่อง 14 วัน ผลที่ได้คือผู้ทดลองรู้สึกสบายใจขึ้น และมีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
- ต้านอาการอักเสบ เนื่องจากมีวิตามินซี วิตามิน A และสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดต่างๆ เช่นอาการปวดข้อ หรืออาการปวดตามกระดูก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย
- ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว วิตามินซีและเบต้าแคโรทีนในโกจิเบอร์รี่ จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวจากแดดและมลภาวะให้กลับมากระจ่างใส จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า การดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่เข้มข้น 5% ก็เพียงพอต่อการป้องกันรังสี UV แล้ว
เมนูสุขภาพจากโกจิเบอร์รี่
โกจิเบอร์รี่สามารถรับประทานสด แห้ง ผง หรือทำเป็นเครื่องดื่ม เช่น ชาหรือน้ำโกจิเบอร์รี่ แม้กระทั่งนำมาทำเป็นของทานเล่น เช่น
- โกจิเบอร์รี่ ซีเรียลบาร์ เปิดเตาอบที่ 325 องศา ผสมข้าวโอ๊ต อัลมอนด์ อบเชยและเกลือ ในชามขนาดกลาง จากนั้นนำกระทะขนาดเล็กเทน้ำมันเมล็ดองุ่น ใส่วานิลลาและน้ำตาลทรายแดงลงไป รอจนร้อนและเดือด เคี่ยวจนน้ำตาลละลายแล้วนำออกจากกะทะ เทน้ำเชื่อมผสมกับส่วนผสมของข้าวโอ๊ตและใส่ยีสต์ลงบนแผ่นกระทะนำเข้าอบประมาณ 20 นาทีหรือจนเป็นสีเหลืองทอง ปล่อยให้เย็นแล้วแบ่งเป็นชิ้น โรยผลโกจิเบอร์รีลงไป
- โกจิเบอร์รี่ผสมวอดก้า ผสมวอดก้าและโกจิเบอร์รี่ลงในขวดแก้วที่ปิดสนิทและเก็บในที่มืดและเย็นประมาณ 1-2 สัปดาห์
ข้อควรระวังและผลข้างเคียงของโกจิเบอร์รี่
- การรับประทานในปริมาณมากและต่อเนื่องกันนานๆ อาจพบอาการคลื่นไส้ และอาเจียนได้เป็นบางครั้ง แต่ไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย หากพบอาการเหล่านี้ให้หยุดรับประทานสักระยะ
- อาจช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานโกจิเบอร์รี่ เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำมากเกินได้
- สตรีมีครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานโกจิเบอร์รี่ เพราะมีสาร Betaine ที่อาจทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรตามมาได้
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เนื่องจากอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำลงกว่าเดิม
- ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) หรือผู้ที่ต้องได้รับการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน เนื่องจากพบว่าโกจิเบอร์รี่ทำให้ประสิทธิภาพของยาเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะเลือดออกเพิ่มขึ้นได้
- ผู้แพ้พืชตระกูล Solonaceae เช่น มันฝรั่ง มะเขือเทศ ควรหลีกเลี่ยงโกจิเบอร์รี่