แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้านั้นมีประโยชน์กับมนุษย์ นั่นเพราะมันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยเสริมสร้างแคลเซียม (Calcium) อันเป็นแร่ธาตุสำคัญของกระดูก แต่เมื่อถึงเวลาสาย แสงแดดจะเริ่มแรงขึ้น และรังสีอัตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation: UV) หรือเรียกสั้นๆ ว่า "รังสียูวี" จากดวงอาทิตย์ก็จะสาดส่องลงมายังผิวโลก แล้วทำลายผิวหนังอันบอบบางของเราได้
รังสียูวี มี 3 ประเภท และจะมีความยาวคลื่นมากและน้อยต่างกันตามลำดับ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
1. รังสียูวีเอ
รังสียูวีเอ (Ultraviolet A: UVA) เป็นรังสีที่มีคลื่นยาวที่สุดกว่ารังสีอื่น เมื่อรังสียูวีเอส่องผ่านก้อนเมฆเข้าสู่ผิวหนังของมนุษย์ซึ่งได้แก่ ชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ก็จะทำให้เกิดอาการผิวคล้ำแดด ขาดความสดใส ชาวตะวันตกมักเรียกผิวคล้ำแดดแบบนี้ว่า "ผิวสีแทน" แต่ในทางตรงกันข้าม รังสีชนิดนี้ก็ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นแต่หากคุณรับรังสีมากจนเกินไป ก็จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนังได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความยืดหยุ่นของเซลล์ผิวที่ลดลง
2. รังสียูวีบี
รังสียูวีบี (Ultraviolet B: UVB) รังสียูวีบีจัดว่าเป็นรังสีร้าย ถึงแม้จะถูกชั้นบรรยากาศของโลกกั้นและเข้าถึงผิวหนังได้ไม่ลึกเท่ากับรังสียูวีเอ แต่รังสียูวีบีก็สามารถทำให้เกิดฝ้า ผิวไหม้เกรียม และขาดความชุ่มชื้นได้ จนอาจลุกลามเป็นมะเร็งผิวหนังได้ในเวลาต่อมา โดยช่วงเวลาที่รังสียูวีบีรุนแรงที่สุดคือ เวลาประมาณ 10.00-14.00 น.
3. รังสียูวีซี
รังสียูวีซี (Ultraviolet C: UVC) มีความยาวคลื่นน้อยที่สุดแต่มีพลังงานสูงที่สุด และยังเป็นอันตรายต่อดวงตาและผิวของมนุษย์ที่สุดด้วย ในอดีต รังสียูวีซีไม่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศโลกเข้ามาได้ แต่ในปัจจุบัน ด้วยมลภาวะที่เป็นพิษซึ่งมนุษย์ก่อขึ้น ทำให้รังสียูวีซีสามารถทะลุเข้ามาถึงพื้นโลกได้มากขึ้น
รังสียูวีประเภทต่างๆ มีผลกระทบต่อร่างกายของมนุษย์ทั้งนั้น ถึงแม้บางวันท้องฟ้าจะมีเมฆมาก หรือในวันที่ฝนตกหรืออยู่ในฤดูหนาวที่แสงแดดดูจะไม่ส่องแรงนัก แต่ความจริงแล้วรังสียูวีก็ยังคงส่องผ่านมาถึงชั้นผิวหนังของเราได้เหมือนกัน ดังนั้น เราจึงควรหาวิธีป้องกันรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ ด้วยวิธีดังนี้
สวมแว่นตากันแดด
เพราะหากดวงตาของเราได้รับแสงยูวีเป็นเวลานาน จะทำให้ตามีอาการกลัวแสง มีน้ำตาคลอ อาจมีอาการกระตุกตามขอบตาและเยื่อบุตาอักเสบได้ นอกจากนี้อาจมีอาการมึนงงและเกิดความอ่อนเพลียได้ มีโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับตาจำนวนมากที่มีต้นเหตุมาจากการรับรังสียูวีมากเกินไป เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อเนื้อ กระจกตาอักเสบ
ดังนั้นการเลือกแว่นตากันแดดสักอัน เพื่อใส่ป้องกันดวงตาจากรังสียูวีจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะนอกจากโรคร้ายที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว รังสียูวียังสามารถทำลายเยื่อบุตาขาว ทำให้เลนส์ตาเกิดอาการระคายเคืองและเจ็บตาได้ด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
นอกจากนี้ แว่นตากันแดดที่คุณเลือกซื้อ ควรเป็นแว่นตากันแดดที่มีเลนส์กันรังสียูวีได้ และอย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งสีของเลนส์แว่นเข้มหรือดำมากเท่าไรก็ยิ่งป้องกันรังสีได้มากเท่านั้น เพราะความจริงแล้ว การป้องกันรังสียูวีด้วยแว่นตากันแดดต้องใช้เลนส์ที่ผลิตออกมาเพื่อป้องกันรังสียูวีโดยเฉพาะ และหากคุณสวมแว่นตากันแดดที่มีเลนส์สีเข้มแต่ไม่ได้ป้องกันรังสียูวี อาจมีโอกาสที่ม่านตาของคุณจะขยาย และได้รับรังสียูวีมากกว่าเดิมด้วย
ครีมกันแดด
การทาครีมกันแดดเป็นการป้องกันผิวจากรังสียูวีอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้วผิวหนังของมนุษย์จะมีความทนทานต่อรังสียูวีได้ไม่เกิน 20 นาที ดังนั้นครีมกันแดดก็จะมีค่าการปกป้องจากแสงแดด (Sun Protection Factor: SPF) กำกับเป็นตัวเลขไว้ ถ้าคุณเจอครีมกันแดดที่มีตัวเลขเขียนกำกับไว้ว่า SPF 15 หมายความว่า ครีมดังกล่าวจะป้องกันผิวได้นานขึ้นอีก 15 เท่าของระยะเวลาที่ผิวของมนุษย์จะทนทานรังสียูวีได้ (15×20 = 300 นาที) หากไลฟ์สไตล์ชีวิตของคุณจำเป็นต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน คุณควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากขึ้น เพื่อช่วยป้องกันอาการแสบร้อนจากรังสียูวี
ร่มกันแดด เสื้อผ้ามิดชิด หมวกปีกกว้าง
อุปกรณ์ง่ายๆ เหล่านี้จะช่วยลดรังสียูวีได้ในระดับหนึ่ง แต่ป้องกันได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบันได้มีการผลิตเสื้อกันแดดหรือกันลมออกมาหลากหลายแบบ และสามารถนำมาใส่ร่วมกับเสื้อผ้าในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย อาจเป็นไอเดียที่ไม่เลว หากคุณจะหาซื้อเสื้อแบบนี้ไวัสักตัว
หลีกเลี่ยงการออกไปในที่กลางแจ้ง
ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่กลางแจ้งหรือถูกแสงแดดจ้าๆ เป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาประมาณ 10.00-16.00 น. เพราะเป็นช่วงที่รังสียูวีส่องลงมาอย่างรุนแรงเกือบ 80% แต่หากคุณจำเป็นต้องออกไปในที่กลางแจ้งหรือเผชิญแสงแดดจ้าๆ ให้สวมแว่นตากันแดด สวมหมวกและใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด รวมทั้งทาครีมกันแดดในบริเวณที่เสื้อผ้าไม่สามารถป้องกันได้ด้วย
รับประทานอาหารที่ช่วยป้องกันรังสียูวี
ผักผลไม้บางชนิด เช่น มะเขือเทศ มะพร้าว มีสารอาหารเอนไซม์ (Enzyme) ที่ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณ และป้องกันการทำลายผิวหนังจากรังสียูวีได้ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ อาหารและผักผลไม้อื่นๆ เช่น ชาเขียว แครอท แตงโม ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาวและส้ม ก็มีสารอาหารที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากรังสียูวีได้เช่นเดียวกัน หรือกรดไขมันโอเมกา-3 (Omega-3) จากน้ำมันปลาก็สามารถช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนังและป้องกันการเกิดมะเร็งได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แสงแดดไม่ได้มีแต่โทษเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน เช่น ช่วยเสริมสร้างกระดูก ช่วยให้เกิดการหลั่งของสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารสร้างความสุขและช่วยต้านอาการซึมเศร้า ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ช่วยลดความดันโลหิต รวมทั้งช่วยป้องกันโรคเรื้อนได้อีกด้วย