อย่างที่เราทราบกันดีว่า แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวของเราแก่ก่อนวัย อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุของการเกิดริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ผิวหย่อนคล้อย โรคมะเร็งผิวหนัง ทำให้ผิวไหม้ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การไม่ทาครีมกันแดดเมื่ออยู่นอกบ้านไม่เพียงแต่ทำให้ผิวมีโอกาสไหม้แดดมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถทำให้ผิวของคุณมีโอกาสเสียหายจากแสงแดดมากขึ้นเช่นกัน แต่จะมีอะไรบ้างนั้น เราลองมาดูพร้อมกันเลยค่ะ
1. สกินแคร์บางชนิด
ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และผลิตภัณฑ์รักษาสิวสามารถทำให้ผิวชั้นนอกบางลง หรือควบคุมการผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีตามธรรมชาติที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันแสงอาทิตย์ หากผลิตภัณฑ์มีเรตินอล วิตามินเอ ไกลโคลิก กรดซาลิซิลิก หรือไฮโดรควิโนน ผิวของคุณอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากแสงแดดมากขึ้น ทางที่ดีคุณควรทาครีมกันแดด ใส่เสื้อผ้าที่ช่วยป้องกันแสงแดด และสวมหมวก
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
2. น้ำหอม
เชื่อหรือไม่ว่า น้ำหอมบางชนิดสามารถทำให้ผิวมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น น้ำหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ ซีดาร์ โรสแมรี มะกรูด และไม้จันทน์ มักมีสารเคมีที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้น กล่าวโดย Sonia Batra แพทย์ผิวหนัง เมื่อน้ำหอมกลิ่นเหล่านี้สัมผัสกับแสงแดด มันก็สามารถทำให้ผิวระคายเคือง ผิวอักเสบ หรือทำให้เกิดจุดด่างดำ
3. ยาที่ทาน
ยาสำหรับทานบางชนิดที่มีจุดประสงค์เพื่อรักษาสิวอย่างไอโซเทรทิโนน สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผิวไหม้แดดได้มากทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันด้วยว่ายารักษาโรคซึมเศร้า ยาต้านฮีสตามีน ยาปฏิชีวนะ ยาต้านเชื้อรา และยาต้านการอักเสบ ล้วนแต่ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น ทางที่ดีคุณควรปรึกษาแพทย์ค่ะ
4. รถยนต์
หากคุณคิดว่าการนั่งอยู่ในรถจะทำให้คุณรอดพ้นจากอันตรายจากแสงแดด คุณคิดผิดแล้วค่ะ เพราะรังสียูวีมี 2 ชนิด คือ รังสียูวีบี และรังสียูวีเอ ซึ่งกระจกหน้าต่างสามารถป้องกันรังสียูวีบีได้ ในขณะที่รังสียูวีเอสามารถทะลุผ่านกระจก และทะลวงเข้าสู่ผิวของเรา ดังนั้นการทาครีมกันแดดทุกวันเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคนที่ใช้เวลาในรถเป็นเวลานาน หรือนั่งใกล้หน้าต่างตอนทำงาน
5. อาหาร
การได้รับไนอาซีน (วิตามิน บี3) ไม่เพียงพอ มีความเชื่อมโยงกับการมีผิวที่ไวต่อดวงอาทิตย์มากขึ้น สำหรับอาหารที่คุณพบวิตามิน บี3 ได้มาก เช่น เนื้อ เห็ด ถั่วลิสง และธัญพืชที่มีการเติมวิตามิน บี3 ในขณะที่อาหารอย่างมะนาว เซเลอรี และพาสลีย์ มีสารประกอบที่ทำให้ผิวมีความไวต่อแสง โดยสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาเช่นเดียวกับภาวะผิวไหม้แดด
6. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่
การเป็นโรค หรือการรักษาที่ไประงับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้คุณมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง และผิวเสียหายจากแสงแดดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การทานยากดภูมิคุ้มกันเพื่อรักษาโรคลูปัส โรคสะเก็ดเงิน หรือโรครูมาติกส์ การรักษาโดยใช้เคมีบำบัด การไม่สามารถควบคุมโรคเอดส์ ฯลฯ
7. การไม่ทาครีมกันแดดในวันที่ไม่มีแสงแดด
คุณสามารถมีผิวไหม้ในวันที่อากาศเย็น หรือแม้แต่วันที่มีเมฆมาก ซึ่งคนส่วนมากมีแนวโน้มที่จะไม่ใช้ครีมกันแดด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า 80% ของรังสียูวีสามารถทะลุผ่านก้อนเมฆได้ ดังนั้นไม่ว่าอุณหภูมินอกบ้านเป็นเท่าไร คุณควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลาที่รังสียูวีมีความเข้มข้นมากที่สุด ซึ่งอยู่ในช่วงเวลา 11.00 น.-15.00 น. และให้คุณทาครีมกันแดดทุกวันแม้ว่าวันนั้นจะไม่มีแสงแดดก็ตาม
8. ไม่ทาครีมกันแดดซ้ำ
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทาครีมกันแดดเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนออกจากบ้าน แต่ความจริงแล้ว คุณควรทาครีมกันแดดซ้ำหลังว่ายน้ำหรือเหงื่อออก และให้ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยให้คุณใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือมากกว่านี้ และให้ทาครีมกันแดดประมาณ 1 แก้วช็อตให้ทั่วร่างกาย
จากที่กล่าวไปจะเห็นได้ว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผิวของเราเสียหายจากแสงแดด โดยเป็นได้ตั้งแต่การใช้น้ำหอมไปจนถึงการที่ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานได้แย่ลง นอกจากการหลีกเลี่ยงปัจจัยบางข้อที่เรากล่าวไปแล้ว คุณก็อย่าลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกจากบ้านด้วยค่ะ