ท้องเสีย หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลวกว่าปกติและถ่ายมากกว่าวันละ 3 ครั้ง เกิดขึ้นได้ในทุกฤดูกาล แต่ส่วนมากมักเกิดในช่วงฤดูร้อน ยิ่งหากเผลอไปรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย อาหารที่แพ้ ทำให้อาการท้องเสียเป็นอาการที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย
ชนิดของอาการท้องเสีย
หากแบ่งชนิดโรคท้องเสีย โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด
1. ท้องเสียชนิดเฉียบพลัน
ท้องเสียชนิดเฉียบพลันมักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อน เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส การแพ้อาหารหรือความเครียด ผู้ป่วยท้องเสียชนิดเฉียบพลันอาจมีอาการดังนี้
- ถ่ายเป็นน้ำบ่อยๆ
- มีอาการปวดท้อง
- หากอาการรุนแรงก็อาจมีไข้ และอาเจียน
อาการท้องเสียชนิดนี้จะมีอาการที่ประมาณ 1-2 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์
2. ท้องเสียชนิดเรื้อรัง
มีสาเหตุมาจากความแปรปรวนในระบบทางเดินอาหาร หรือลำไส้ ที่มีความไวต่อสิ่งเร้า การแพ้อาหาร ส่วนประกอบในอาหาร หรือสารอาหารบางชนิดอันเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
อาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อไวรัสและการติดเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อไวรัสที่พบบ่อย ได้แก่
- ไวรัสโคโรนา (Corona virus)
- ไวรัสอะดีโน (Adeno virus)
- อหิวาต์ (Cholera)
- ลิสทีเรีย (Listeria)
- ชิเกลลา (Shigella)
- ไวรัสโรตา (Rota virus)
- ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)
เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย ได้แก่
- แบคทีเรียอีโคไล (Escherichia coli: E. coli)
- แบคทีเรียสแตฟีโลค็อคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus)
- แบคทีเรียวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio Parahaemolyticus)
- แบคทีเรียแคมไพโลแบคเตอร์ เจจูไน (Campylobacter Jejuni)
- แบคทีเรียบาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus Cereus)
- แบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella)
- แบคทีเรียคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium Perfringens)
- แบคทีเรียคลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum)
การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย
สิ่งที่ควรทำในกรณีที่อาการท้องเสียไม่รุนแรงคือ ถ่ายอุจจาระออกให้หมดเพื่อกำจัดของเสีย หรือเชื้อโรคในลำไส้ให้หมดไป แต่สิ่งที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคือกินยาหยุดถ่ายทั้งๆ ที่ท้องเสียไม่มาก
เพราะยาหยุดถ่ายเป็นตัวยาที่มีกลไกทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงจึงลดการขับอุจจาระลง เพิ่มมวลของอุจจาระ ลดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ มักใช้กับอาการท้องเสียชนิดถ่ายเหลวมาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ แต่อาจทำให้มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายนานขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้เรายังสามารถดูแลตนเองระหว่างท้องเสียได้เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น และร่างกายกลับมาเป็นปกติโดยไว ในที่นี้จะเน้นเรื่องอาหารทั้งอาหารที่ควรรับประทานและอาหารที่ไม่ควรรับประทาน
เนื่องจากอาหารบางประเภทยิ่งรับประทานยิ่งทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น เสียน้ำ และเกลือแร่มากขึ้น อีกทั้งร่างกายยังแทบไม่ได้รับประโยชน์จากอาหารมื้อนั้นๆ ด้วย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอาการท้องเสีย
- อาหารประเภทนมแลผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส ไอศกรีม เพราะประกอบด้วยน้ำตาลแลคโตสซึ่งร่างกายย่อยและดูดซึมได้ยาก
- ผลไม้ น้ำผลไม้ เนื่องจากมีน้ำตาลฟรุ๊กโตสมาก หากร่างกายดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้เข้าไปมากๆ จะทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น มีรายงานว่า 75% ของผู้บริโภคน้ำตาลฟรุกโตสปริมาณ 40-80 กรัม ในแต่ละวัน มีโอกาสท้องเสียสูง
- อาหารประเภทหมักดอง
- อาหารสุกๆ ดิบๆ
- อาหารที่ปรุงทิ้งไว้นานๆ
- อาหารที่มีกลูเตน เช่น แป้งสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ เบียร์ น้ำสลัดบางชนิด เพราะย่อย ดูดซึมยาก และมีโอกาสท้องเสียสูง
- อาหารทอด อาหารมัน อาหารที่ไขมันสูง เพราะย่อยยาก ร่างกายดูดซึมยาก หรืออาจไม่ดูดซึมเลย บางรายลำไส้ใหญ่อาจเร่งขับออกทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปี้ยวจัด เค็มจัด เพราะทำให้ระคายเคืองส่วนปลายของลำไส้ (ติดทวารหนัก)
- คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา ช็อคโกแลต โซดา เร่งกระบวนการย่อยและกระบวนการขับถ่าย
- ผู้มีอาการท้องเสียบางรายยังอาจต้องงดการรับประทานอาหารชั่วคราวเพื่อลดการระคายเคืองในลำไส้ ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อลงระหว่างที่มีอาการ เพื่อลดการทำงานของลำไส้ลงและสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้น
อาหารที่ควรรับประทานเมื่อมีอาการท้องเสีย
- อาหารอ่อนๆ อาหารไขมันต่ำ อาหารย่อยง่าย และทำให้การหดรัดตัวของลำไส้ใหญ่ลดลง จึงช่วยให้การขับถ่ายลดลงไปด้วย ตัวอย่างอาหารที่แนะนำ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป
- ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ อาการอ่อนเพลียต่างๆ โดยผสมผงเกลือแร่ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ จิบครั้งละน้อยจนหมดแก้ว หลังผสมแล้วสามารถเก็บไว้ได้แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง หากไม่มีผงเกลือแร่ ก็สามารถเตรียมเองง่ายๆ ด้วยการผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่น 1 ช้อนชา ผสมในน้ำต้มสุก 1 ขวด (750 ซีซี) คนให้เข้ากัน แต่ห้ามผู้ป่วยดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกายทดแทนเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
- ดื่มน้ำมะพร้าวเพราะมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง สามารถลดอาการอ่อนเพลียจากการสูญเสียน้ำได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย
- ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก
ผู้มีอาการท้องเสียควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ดี ลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหารได้ง่าย
การใช้ยาเพื่อรักษาอาการท้องเสีย
- นิยมรับประทานยาที่ทำหน้าที่เป็นสารดูดซับ ได้แก่ ยาคาโอลินหรือเพกติน ผงถ่าน และยาไดออกทาฮีดรอลสเมกไทต์ ควรใช้ร่วมกับผงน้ำตาลเกลือแร่ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
- รับประทานผลไม้และสมุนไพร โดยเฉพาะที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย เช่น รับประทานกล้วยน้ำว้าผลดิบสด แต่ข้อควรระวังคือ อาจเกิดอาการท้องอืดหลังรับประทาน หรือใช้ใบฝรั่งแก่ต้มดื่มแทนน้ำก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
ที่สำคัญควรรับประทานยา ผลไม้ และสมุนไพรตามความจำเป็นและพิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อต้องใช้ยา
อย่างไรก็ตาม หากรักษาด้วยตนเองด้วยวิธีเหล่านี้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ผู้ป่วยยังคงถ่ายบ่อย ถ่ายเป็นน้ำ อุจจาระมีลักษณะเป็นมูกมีกลิ่นคล้ายกุ้งเน่า ปวดท้อง อาเจียน มีไข้ อ่อนเพลีย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว
คำแนะนำการดูแลตนเองหลังหายจากอาการ
ท้องเสีย
- หลังจากหายท้องเสียควรรับประทานอาหารที่มีจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น น้ำเปรี้ยว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotics) เพื่อเพิ่มสมดุลของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมอาหาร
- รับประทานอาหารที่ปรุงสดใหม่ สุก และย่อยง่าย
- ดื่มน้ำสะอาด
- ดูแลสุขอนามัยให้ดี หมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
- พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android