ท้องเสีย สาเหตุ การรักษาและการป้องกัน

จัดการตัวเองอย่างไรให้หายจากท้องเสีย สาเหตุของท้องเสียเกิดจากอะไร และจะป้องกันอย่างไรดี?
เผยแพร่ครั้งแรก 28 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 2023 ตรวจสอบความถูกต้อง 19 ก.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
ท้องเสีย สาเหตุ การรักษาและการป้องกัน

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ท้องเสียหมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลวกว่าปกติและถ่ายมากกว่าวันละ 3 ครั้ง พบได้ในทุกเพศทุกวัย และเกิดขึ้นได้ในทุกฤดูกาล
  • ท้องเสียโดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ท้องเสียชนิดเฉียบพลันและท้องเสียเรื้อรัง
  • สาเหตุที่พบบ่อยของอาการท้องเสีย ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียจากอาหาร การแพ้อาหาร รวมทั้งความเครียด
  • ช่วงที่มีอาการท้องเสียควรหลีกเลี่ยงอาหารและผลิตภัณฑ์จากนม อาหารรสจัด ของมัน ของทอด ของหมักดอง และรับประทานอาหารที่เหมาะสม ย่อยง่าย ไขมันต่ำแทน
  • ท้องเสียเป็นอาการที่อาจมาเยือนโดยคุณไม่รู้ตัว การดูแลสุขภาพ หมั่นรักษาความสะอาดเป็นประจำจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่นี่)

ท้องเสีย หมายถึง การถ่ายอุจจาระเหลวกว่าปกติและถ่ายมากกว่าวันละ 3 ครั้ง เกิดขึ้นได้ในทุกฤดูกาล แต่ส่วนมากมักเกิดในช่วงฤดูร้อน ยิ่งหากเผลอไปรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย อาหารที่แพ้ ทำให้อาการท้องเสียเป็นอาการที่พบได้ในทุกเพศทุกวัย

ชนิดของอาการท้องเสีย

หากแบ่งชนิดโรคท้องเสีย โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด

1. ท้องเสียชนิดเฉียบพลัน

ท้องเสียชนิดเฉียบพลันมักมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อน เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส การแพ้อาหารหรือความเครียด ผู้ป่วยท้องเสียชนิดเฉียบพลันอาจมีอาการดังนี้ 

  • ถ่ายเป็นน้ำบ่อยๆ 
  • มีอาการปวดท้อง 
  • หากอาการรุนแรงก็อาจมีไข้ และอาเจียน 

อาการท้องเสียชนิดนี้จะมีอาการที่ประมาณ 1-2 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์

2. ท้องเสียชนิดเรื้อรัง

มีสาเหตุมาจากความแปรปรวนในระบบทางเดินอาหาร หรือลำไส้ ที่มีความไวต่อสิ่งเร้า การแพ้อาหาร ส่วนประกอบในอาหาร หรือสารอาหารบางชนิดอันเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน

เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย

อาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อไวรัสและการติดเชื้อแบคทีเรีย

เชื้อไวรัสที่พบบ่อย ได้แก่ 

  • ไวรัสโคโรนา (Corona virus)
  • ไวรัสอะดีโน (Adeno virus)
  • อหิวาต์ (Cholera)
  • ลิสทีเรีย (Listeria)
  • ชิเกลลา (Shigella)
  • ไวรัสโรตา (Rota virus)
  • ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)

เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย ได้แก่ 

  • แบคทีเรียอีโคไล (Escherichia coli: E. coli)
  • แบคทีเรียสแตฟีโลค็อคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus)
  • แบคทีเรียวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio Parahaemolyticus)
  • แบคทีเรียแคมไพโลแบคเตอร์ เจจูไน (Campylobacter Jejuni)
  • แบคทีเรียบาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus Cereus)
  • แบคทีเรียซัลโมเนลลา (Salmonella)
  • แบคทีเรียคลอสตริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium Perfringens)
  • แบคทีเรียคลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum)

การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการท้องเสีย

สิ่งที่ควรทำในกรณีที่อาการท้องเสียไม่รุนแรงคือ ถ่ายอุจจาระออกให้หมดเพื่อกำจัดของเสีย หรือเชื้อโรคในลำไส้ให้หมดไป แต่สิ่งที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคือกินยาหยุดถ่ายทั้งๆ ที่ท้องเสียไม่มาก

เพราะยาหยุดถ่ายเป็นตัวยาที่มีกลไกทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงจึงลดการขับอุจจาระลง เพิ่มมวลของอุจจาระ ลดการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ มักใช้กับอาการท้องเสียชนิดถ่ายเหลวมาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ แต่อาจทำให้มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายนานขึ้นนั่นเอง

นอกจากนี้เรายังสามารถดูแลตนเองระหว่างท้องเสียได้เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น และร่างกายกลับมาเป็นปกติโดยไว ในที่นี้จะเน้นเรื่องอาหารทั้งอาหารที่ควรรับประทานและอาหารที่ไม่ควรรับประทาน 

เนื่องจากอาหารบางประเภทยิ่งรับประทานยิ่งทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น เสียน้ำ และเกลือแร่มากขึ้น อีกทั้งร่างกายยังแทบไม่ได้รับประโยชน์จากอาหารมื้อนั้นๆ ด้วย

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอาการท้องเสีย

  • อาหารประเภทนมแลผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส ไอศกรีม เพราะประกอบด้วยน้ำตาลแลคโตสซึ่งร่างกายย่อยและดูดซึมได้ยาก
  • ผลไม้ น้ำผลไม้ เนื่องจากมีน้ำตาลฟรุ๊กโตสมาก หากร่างกายดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้เข้าไปมากๆ จะทำให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น มีรายงานว่า 75% ของผู้บริโภคน้ำตาลฟรุกโตสปริมาณ 40-80 กรัม ในแต่ละวัน มีโอกาสท้องเสียสูง
  • อาหารประเภทหมักดอง
  • อาหารสุกๆ ดิบๆ
  • อาหารที่ปรุงทิ้งไว้นานๆ
  • อาหารที่มีกลูเตน เช่น แป้งสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ เบียร์ น้ำสลัดบางชนิด เพราะย่อย ดูดซึมยาก และมีโอกาสท้องเสียสูง
  • อาหารทอด อาหารมัน อาหารที่ไขมันสูง เพราะย่อยยาก ร่างกายดูดซึมยาก หรืออาจไม่ดูดซึมเลย บางรายลำไส้ใหญ่อาจเร่งขับออกทำให้ท้องเสียมากขึ้น
  • อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปี้ยวจัด เค็มจัด เพราะทำให้ระคายเคืองส่วนปลายของลำไส้ (ติดทวารหนัก)
  • คาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา ช็อคโกแลต โซดา เร่งกระบวนการย่อยและกระบวนการขับถ่าย
    ผู้มีอาการท้องเสียบางรายยังอาจต้องงดการรับประทานอาหารชั่วคราวเพื่อลดการระคายเคืองในลำไส้ ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อลงระหว่างที่มีอาการ เพื่อลดการทำงานของลำไส้ลงและสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้น 

อาหารที่ควรรับประทานเมื่อมีอาการท้องเสีย 

  • อาหารอ่อนๆ อาหารไขมันต่ำ อาหารย่อยง่าย และทำให้การหดรัดตัวของลำไส้ใหญ่ลดลง จึงช่วยให้การขับถ่ายลดลงไปด้วย ตัวอย่างอาหารที่แนะนำ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป
  • ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ อาการอ่อนเพลียต่างๆ โดยผสมผงเกลือแร่ตามสัดส่วนที่ระบุไว้ จิบครั้งละน้อยจนหมดแก้ว หลังผสมแล้วสามารถเก็บไว้ได้แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง หากไม่มีผงเกลือแร่ ก็สามารถเตรียมเองง่ายๆ ด้วยการผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่น 1 ช้อนชา ผสมในน้ำต้มสุก 1 ขวด (750 ซีซี) คนให้เข้ากัน แต่ห้ามผู้ป่วยดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกายทดแทนเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
  • ดื่มน้ำมะพร้าวเพราะมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง สามารถลดอาการอ่อนเพลียจากการสูญเสียน้ำได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย
  • ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก

ผู้มีอาการท้องเสียควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ดี ลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหารได้ง่าย  

การใช้ยาเพื่อรักษาอาการท้องเสีย

  • นิยมรับประทานยาที่ทำหน้าที่เป็นสารดูดซับ ได้แก่ ยาคาโอลินหรือเพกติน ผงถ่าน และยาไดออกทาฮีดรอลสเมกไทต์ ควรใช้ร่วมกับผงน้ำตาลเกลือแร่ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด 
  • รับประทานผลไม้และสมุนไพร โดยเฉพาะที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย เช่น รับประทานกล้วยน้ำว้าผลดิบสด แต่ข้อควรระวังคือ อาจเกิดอาการท้องอืดหลังรับประทาน หรือใช้ใบฝรั่งแก่ต้มดื่มแทนน้ำก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้

ที่สำคัญควรรับประทานยา ผลไม้ และสมุนไพรตามความจำเป็นและพิจารณาตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อต้องใช้ยา

อย่างไรก็ตาม หากรักษาด้วยตนเองด้วยวิธีเหล่านี้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ผู้ป่วยยังคงถ่ายบ่อย ถ่ายเป็นน้ำ อุจจาระมีลักษณะเป็นมูกมีกลิ่นคล้ายกุ้งเน่า ปวดท้อง อาเจียน มีไข้ อ่อนเพลีย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว

คำแนะนำการดูแลตนเองหลังหายจากอาการ

ท้องเสีย 

  • หลังจากหายท้องเสียควรรับประทานอาหารที่มีจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น น้ำเปรี้ยว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ (Probiotics) เพื่อเพิ่มสมดุลของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยและดูดซึมอาหาร 
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสดใหม่ สุก และย่อยง่าย 
  • ดื่มน้ำสะอาด
  • ดูแลสุขอนามัยให้ดี หมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
"Diarrhoeal disease Fact sheet N°330". World Health Organization. April 2013. Archived from the original on 17 July 2014.
Brian Lin, Viral Gastroenteritis (https://emedicine.medscape.com/article/176515-overview), 8 January 2018.
"The Basics of Diarrhea". Webmd.com. 17 February 2011. Archived from the original on 11 March 2011.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
อาหารและเมนูสำหรับกรดไหลย้อน (Heartburn)
อาหารและเมนูสำหรับกรดไหลย้อน (Heartburn)

แค่ปรับอาหารและพฤติกรรมการรับประทานให้เหมาัะสม ก็สามารถรักษาอาการกรดไหลย้อนได้

อ่านเพิ่ม