กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ : ยาใดที่มีความปลอดภัยและยาใดที่เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์

เผยแพร่ครั้งแรก 27 มิ.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ : ยาใดที่มีความปลอดภัยและยาใดที่เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์

ถึงแม้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องการที่จะไม่ใช้ยาใดๆเลยในช่วงระยะตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามในบางครั้งหญิงตั้งครรภ์อาจมีอาการแพ้ท้อง หรือแม้กระทั่งบางรายที่มีโรคเรื้อรังจึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ใช้ยาเลยในช่วงตั้งครรภ์ ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดหมดที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ จึงเป็นข้อมูลจำเป็นที่หญิงตั้งครรภ์ควรทราบเกี่ยวกับการใช้ยาขณะตั้งครรภ์

ยาที่พิจารณาแล้วว่าใช้ได้อย่างปลอดภัยในขณะตั้งครรภ์

ไม่มียาใดที่ใช่ได้อย่างปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ในขณะตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง หรือยาสมุนไพร แต่อย่างไรก็ตามมียาเพียงไม่กี่ชนิดที่ถูกพิจารณาว่าเป็นยาที่อันตรายต่อการพัฒนาของตัวอ่อน และมียาหลายชนิดที่ใช้ได้ในช่วงตั้งครรภ์ แต่กระนั้นก่อนใช้ยาทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์ถึงขนาดการใช้ และวิธีใช้ก่อนเสมอ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ยาที่มีสามารถใช้ได้ในช่วงตั้งครรภ์มีดังนี้

  • ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ซึ่งเป็นตัวยาสำคัญของยายี่ห้อไทลินอล (Tylenol) ใช้สำหรับแก้ปวด ลดไข้ ซึ่งสามารถใช้ได้ในระยะสั้น
  • ยาลดกรด (Antacids) ซึ่งมีส่วนประกอบของแคลเซียม คาร์บอเนต ใช้ลดอาการกรดไหลย้อนได้
  • ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) หรือยาแก้แพ้ สามารถใช้ได้แต่ไม่ได้ปลอดภัยทุกชนิด ตัวที่แพทย์นิยมใช้คือ ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) ลาราตาดีน (Loratadine) ในบางรายแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
  • ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของเด็กซ์โตรเมทโทแฟน (dextromethorphan) หรือรวมถึงยาขับเสมหะต่างๆ สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย
  • ยาระบายชนิดไฟเบอร์ (Fiber laxatives) ใช้สำหรับอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัย
  • ยาขับลม สำหรับท้องอืดท้องเฟ้อ สามารถใช้ได้เป็นครั้งคราว เช่น แอร์เอ็กซ์ (Air-X) เป็นต้น
  • ยาพ่นจมูกที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (steroids) ใช้สำหรับลดอาการคัดจมูก หรืออาจใช้น้ำเกลือแทนก็ได้
  • ยาที่ใช้สำหรับโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด หรือ เบาหวาน โดยรวมสามารถใช้ได้ที่จะใช้ต่อไปในช่วงตั้งครรภ์ แต่ทั้งนี้ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • วิตามิน วิตามินสำหรับก่อนคลอดสามารถรับประทานได้ เพื่อเสริมสร้างวิวัฒนาการของตัวอ่อน แต่สารอาหารต่างๆ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
  • ยาครีมสำหรับผื่นผิวหนัง เช่น ยาทาผื่นภูมิแพ้ หรือยาทาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ สามารถทาได้เป็นครั้งคราว และใช้ในปริมาณน้อย
  • วิค วาโปรับ (Vicks Vaporub) สามารถใช้ในการถูนวด หรือลดการคัดจมูกได้
  • ยาเหน็บสำหรับริดสีดวง สามารถใช้ กลีเซอรีนแบบเหน็บได้ 

ยาที่หญิงตั้งครรภ์อาจจะใช้ได้

ในบางกรณีแพทย์อาจจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาโรคบางชนิด โดยใช้ในความดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ยาปฏิชีวนะบางชนิดสามารถใช้ได้ในการรักษาโรคติดเชื้อ โดยใช้เมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น
  • ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาแอสไพรินเป็นยาที่ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สาม เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสในการเกิดเลือดไหลไม่หยุดและอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบต่อของตัวอ่อนได้ แต่ในบางการศึกษาได้พบว่าการใช้แอสไพรินขนาดต่ำสามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (preeclampsia) ได้ หรือในบางการศึกษาพบว่าการใช้แอสไพรินขนาดต่ำร่วมกับแฮปาริน (Heparin) สามารถลดอุบัติการณ์การเกิดการแท้งบุตรได้ในบางราย ดังนั้นในการใช้จึงขึ้นอยู่กับแพทย์ประจำตัวผู้ป่วยนั้นเท่านั้น
  • ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) โดยทั่วไปหญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ยานี้ โดยเฉพาะในไตรมาสที่หนึ่งและไตรมาสที่สาม ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดได้ จะใช้ได้เมื่อแพทย์สั่งใช้ยาเท่านั้น
  • ยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressant) ยาต้านซึมเศร้าบางชนิดสามารถใช้ได้ในช่วงตั้งครรภ์ แต่บางชนิดก็ห้ามใช้อย่างเด็ดขาดในช่วงตั้งครรภ์ ดังนั้นขึ้นอยู่กับแพทย์ประจำตัวและดูเป็นกรณีไป ว่าควรใช้ยาหรือไม่ จะเป็นประโยชน์หรือโทษมากกว่าต่อมารดาและบุตร ทั้งนี้ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์

ยาที่หญิงตั้งครรภ์ห้ามใช้มีดังนี้

  • ตัวยับยั้ง แองจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติง เอนไซม์ (Angiotensin-converting enzyme inhibitors) ซึ่งเป็นยารักษาภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งมีผลทำให้แท้งบุตรหรือทารกพิการได้
  • ยาแก้คัดจมูก ซูโดอีฟริดีน และ ฟีนิลอิฟรีน (Pseudoephedrine,Phenylephrine)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกพิการและส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปสู่รกได้ และควรหลีกเลี่ยงยาแก้อักเสบและการดื่มแอลกอฮอล์
  • ไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) ยานี้ใช้รักษาสิวอักเสบรุนแรง โดยจะทำให้แท้งบุตรและอาจเสี่ยงต่อการทำให้ทารกพิการได้
  • ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) เป็นยารักษาสะเก็ดเงินและข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยาจะทำให้แท้งบุตรและอาจเสี่ยงต่อการทำให้ทารกพิการได้
  • ยานาพรอกเซน (Naproxen) เป็นยากลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ โดยการใช้ในช่วงไตรมาสที่หนึ่งและสองอาจทำให้แท้งบุตรหรือทารกวิรูป การใช้ในช่วงไตรมาสที่สามจะส่งผลให้ความดันในปอดของเด็กสูงได้
  • ยาพ่นจมูกที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ มีส่วนผสมของออกซีเมทาโซลิน (Ozymetazoline) โดยมากจะไม่แนะนำให้ใช้ หรืออาจให้ใช้เพียง 1-2 วัน หลังจากผ่านช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก
  • วาโปรอิก แอซิด (Valproic acid) เป็นยากันชัก รักษาโรคไบโพล่า หรือบางรายอาจใช้รักษาไมเกรน ซึ่งการใช้ยานี้จะก่อให้เกิดทารกพิการ เช่น หัวใจผิดปกติ ปากแหว่งเพดานโหว่ หรืออาจทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าได้

การใช้ยาปฏิชีวนะในหญิงตั้งครรภ์

ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่มีความสำคัญมาก เป็นยาช่วยชีวิต ใช้ในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หากแพทย์ให้ยาปฏิชีวนะมาใช้ในขณะตั้งครรภ์ นั่นหมายถึงแพทย์เห็นถึงประโยชน์ในการช่วยชีวิตมากกว่าโทษหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งโดยมากแพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มแพนนิซิลลิน (penicillin) หรือ อิริโทรมัยซิน (erythromycin)

แต่การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป หรือใช้อย่างไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดการดื้อยาได้ สิ่งที่ควรพิจารณาไว้เสมอมีดังนี้

  • ยาปฏิชีวนะใช้สำหรับรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ดังนั้นโรคที่เกิดจากการติดเชื้ออื่น เช่น ไวรัส (ไข้หวัด) จะใช้ไม่ได้ผล
  • ยาปฏิชีวนะหลายชนิดสามารถใช้ได้ในขณะตั้งครรภ์ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
  • การติดเชื้อแบคทีเรียแต่ละชนิด จะรักษาได้โดยยาปฏิชีวนะต่างชนิดและขนาดกันไป และแต่โรค ดังนั้นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง และใช้ตรงตามขนาดที่แพทย์สั่ง
  • รับประทานยาปฏิชีวนะให้ตรงตามแพทย์สั่งทุกครั้ง ไม่ควรรับประทานยาเป็นสองเท่า หรือลดปริมาณลงด้วยตัวเอง อาจทำให้เชื้อดื้อยาได้
  • รับประมานยาที่ได้รับจากแพทย์ที่ทราบว่าท่านตั้งครรภ์เท่านั้น
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มรับประทานอาหารเสริมโปรไบโอติก เพื่อรักษาสมดุลของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้
  • ยาปฏิชีวนะที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เตตราไซคลีน (tetracycline) ซึ่งโดยมากจะใช้รักษาสิว อาจจะทำให้แท้งบุตร และทารกพิการ เกิดปัญหาต่อกระดูกและฟันของทารกได้ โดยทำให้ฟันมีสีเทาและลดการเจริญเติบโตของกระดูก
  • มีการศึกษาจากประเทศแคนาดาพบว่ายาปฏิชีวนะที่ประกอบด้วย อะซิโทรมัยซิน คลาริโทรมัยซิน และ เมโทรนิดาโซล อาจส่งผลให้เกิดการแท้งบุตรได้ และยังพบว่ายากลุ่มควิโนโลน เตตราไซคลีน และซัลโฟนาไมด์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้

การรับประทานยาปฏิชีวนะอย่างปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์

  • แจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าท่านกำลังตั้งครรภ์ โดยให้แจ้งทุกครั้งที่เข้าพบแพทย์ ไม่ว่าจะแพทย์คนเดิมหรือคนใหม่ และแจ้งถึงยาที่ได้ใช้อยู่ปัจจุบันด้วย
  • แจ้งแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งว่าใช้ยาอะไรอยู่บ้าง หรือ อาหารเสริม วิตามิน เช่นกัน เนื่องจากระบบเผาผลาญและดูดซึมยาในหญิงตั้งครรภ์นั้นแตกต่างจากคนปกติ ดังนั้นขนาดการใช้จึงต้องปรับเปลี่ยนใหม่หรือเปลี่ยนชนิดยา ดังนั้นจึงต้องปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนเสมอ
  • ใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงประโยชน์และโทษของยาต่อแม่และทารกก่อนเสมอ ประโยชน์ต้องมีมากกว่าโทษ
  • สอบถามข้อมูลให้ครบถ้วน โดยข้อมูลที่ต้องทราบคือ ขนาดการใช้ยา วิธเก็บรักษายาที่เหมาสม ยา อาหารเสริม หรือเครื่องดื่ม อาหารใดที่ไม่เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น
  • ควรจำรูปร่าง ลักษณะเม็ดยาที่ใช้ประจำให้ได้
  • อ่านฉลากยา และตรวจสอบฉลาก ก่อนเปิดรับประทานยาเสมอ ว่าตรงตามขนาดที่ต้องใช้ หรือ ถูกชนิดหรือไม่
  • อ่านฉลาก ใบปลิวที่แนบมากับยาด้วยเสมอ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูล กลไกการออกฤทธิ์ของยาที่จะใช้
  • ห้ามแบ่งยาใช้ร่วมกับผู้อื่น หรือใช้ยาของผู้อื่น

การอ่านและทำความเข้าใจฉลากยา

ภายในฉลากยา จะมีข้อมูลเกี่ยวกับยาชนิดนั้นอยู่อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ ซึ่งจะทำให้เข้าใจต่อกลไลและผลกระทบต่อร่างกายได้ง่ายขึ้น

ในส่วนของข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ในฉลากนั้น จะเป็นส่วนที่แจ้งถึงผลกระทบที่ยานั้นจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้มากน้อยเพียงใด เมื่อไรที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับยานี้ ผลข้างเคียงของยา ข้อมูลการศึกษา ทางเลือกการรักษาอื่น เป็นต้น นอกจากส่วนของหญิงตั้งครรภ์แล้ว ยังมีส่วนของหญิงให้นมบุตร ซึ่งเช่นเดียวกันในส่วนนี้จะเน้นถึงผลของยาต่อน้ำนมแม่ มียาผสมอยู่ในน้ำนมหรือไม่ ส่งผลต่อทารกที่กินนมอย่างไร และส่วนสุดท้ายคือผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์จะอธิบายถึงผลข้างเคียงของยาต่อระบบสืบพันธุ์ การคุมกำเนิด สมรรถภาพทางเพศ และข้อควรระวังต่างๆในการใช้ยา เป็นต้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

 


6 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Substance use by pregnant women. UpToDate. (https://www.uptodate.com/contents/substance-use-by-pregnant-women)
Pregnancy and Drug Use | Smoking While Pregnant. MedlinePlus. (https://medlineplus.gov/pregnancyanddruguse.html)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจช้า อันตรายหรือไม่
ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจช้า อันตรายหรือไม่

เรื่องง่ายๆ ที่คุณแม่ทุกคนต้องใส่ใจเพราะอัตราการเต้นของหัวใจสัมพันธ์กับความปลอดภัยของลูกน้อย

อ่านเพิ่ม
อะไรคือสัญญาณการฉีกขาดในภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก?
อะไรคือสัญญาณการฉีกขาดในภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก?

เรียนรู้สัญญาณการตั้งครรภ์นอกมดลูกก่อนที่มันจะฉีกขาด

อ่านเพิ่ม
ทำความเข้าใจกับภาวะตั้งครรภ์ที่ไข่ที่ปฏิสนธิไม่ฝังตัว (Chemical Pregnancy) ใช่หรือไม่ใช่?
ทำความเข้าใจกับภาวะตั้งครรภ์ที่ไข่ที่ปฏิสนธิไม่ฝังตัว (Chemical Pregnancy) ใช่หรือไม่ใช่?

การตั้งครรภ์ที่เร็วเกินไปที่จะยืนยันด้วยวิธีการทางชีวเคมี

อ่านเพิ่ม