ตับอ่อนอักเสบเป็นสาเหตุของการนอนโรงพยาบาลกว่า 200,000 รายต่อปีในสหรัฐอเมริกาตามรายงานของสถาบันโรคเบาหวาน โรคระบบย่อยอาหาร และโรคไตแห่งชาติ(National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases) และในปี 2013 มีรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกา(American Journal of Gastroenterology)พบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบ 13-45 รายต่อประชากร 100,000 คน เกิดทั้งในผู้ชายๆและผู้หญิงพอๆกันและมีความเสี่ยงมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น นอกจากนี้อุบัติการณ์ของตับอ่อนอักเสบ (ทั้งตับอ่อนอักเสบฉับพลันและเรื้อรัง) ในคนผิวสีสูงกว่าคนผิวขาวสองถึงสามเท่า แต่สาเหตุของความแตกต่างดังกล่าวยังไม่แน่ชัด
ในผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบฉับพลันบางรายที่มีอาการค่อนข้างรุนแรงและต้องนอนโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์ หรือหลายสัปดาห์ เนื่องจากมีภาวะขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำ และอวัยวะล้มเหลวชั่วขณะ โดยอาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง ประมาณหนึ่งในห้าของผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบจะมีอาการรุนแรงซึ่งอาการจะไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง อาจเกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว เลือดออกในทางเดินอาหารและอาจเสียชีวิตได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตับอ่อนอักเสบเกิดได้อย่างไร
ในตับอ่อนจะมีเซลล์ชื่ออะซินาร์(acinar cell)คอยสร้างโปรเอนไซม์(proenzyme)ซึ่งเป็นสารที่ไม่ทำงานจนกว่าจะเปลี่ยนเป็นเอนไซม์ด้วยกระบวนการทางเคมีของร่างกาย โปรเอนไซม์จะเดินทางถึงลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกดูโอดีนัมทางท่อตับอ่อน จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นเอนไซม์จึงทำงานได้ เมื่อถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนเป็นเอนไซม์แล้ว จะย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และสารอาหารอื่นๆ
อย่างไรก็ตามหากเซลล์อะซินาร์ได้รับความเสียหายหรือท่อตับอ่อนได้รับบาดเจ็บหรือตัน โปรเอนไซม์จะสะสมอยู่ในตับอ่อนและเริ่มทำงานก่อนถึงเวลา เกิดเป็นเอนไซม์ไปย่อยเยื่อหุ้มเซลล์ของตับอ่อนและไปกระตุ้นการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกัน
สาเหตุของตับอ่อนอักเสบ
สาเหตุของตับอ่อนอักเสบที่พบได้มากที่สุดคือนิ่วในทางเดินน้ำดี ซึ่งนิ่วคือการสะสมของสารจำพวกคลอเลสเตอรอลและเม็ดสีเกิดเป็นก้อนคล้ายก้อนกรวดในถุงน้ำดี งานวิจัยพบว่าก้อนนิ่วเหล่านี้โดยเฉพาะนิ่วขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรเป็นสาเหตุของตับอ่อนอักเสบกว่า 40% ตามรายงานของวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกา ซึ่งยังไม่เข้าใจแน่ชัดว่านิ่วทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบได้อย่างไรแต่น่าจะเกี่ยวข้องกับความดันในท่อตับอ่อนที่เพิ่มขึ้นจากการอุดตันของนิ่ว สาเหตุที่พบได้บ่อยอันดับสองของตับอ่อนอักเสบคือการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุประมาณ 25% ของผู้ป่วยทั้งหมดตามรายงานของวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกา
ตับอ่อนอักเสบจากแอลกอฮอล์พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ยังไม่ชัดเจนว่าแอลกอฮอล์ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบได้อย่างไร อาจเป็นไปได้ว่า แอลกอฮอล์ทำให้เกิดสารประกอบอัลดีไฮด์(aldehyde)และเอสเตอร์(ester)ซึ่งเป็นพิษกับเซลล์อะซินาร์ของตับอ่อน และแอลกอฮล์ทำให้เซลล์อะซินาร์ไวต่อฮอร์โมนโคลีซิสโตไคนิน(cholecystokinin)ซึ่งสร้างจากลำไส้เล็กส่วนต้นเพื่อกระตุ้นการหลั่งโปรเอนไซม์
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ไม่ทราบสาเหตุ
- นิ่วในทางเดินน้ำดี
- เอทานอล(แอลกอฮอล์)
- การกระแทกบริเวณตับอ่อน
- สเตียรอยด์
- คางทูม (และการติดเชื้ออื่นๆ ได้แก่ พยาธิไส้เดือน ไวรัสค็อกซากีบี ไวรัสตับอักเสบ เชื้อฉี่หนู และไวรัสเอชไอวี)
- เนื้องอกและมะเร็ง
- ตับอ่อนอักเสบจากภูมิคุ้มกันต้านตนเอง เกิดจากการสร้างแอนติบอดีชื่อ ไอจีโฟร์(IgG4 antibodies) มากไปหรือน้อยไปก็ได้
- แมงป่องต่อย
- ไขมันในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง(สารจำพวกไขมันชนิดหนึ่ง) และแคลเซียมในเลือดสูง(แคลเซียมในเลือดที่สูงอาจจะไปสะสมที่ท่อตับอ่อนหรืออาจไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์จากตับอ่อน)
- การส่องกล้องระบบทางเดินน้ำดีและตับอ่อน หรือที่เรียกว่า อีอาร์ซีพี(ERCP) ซึ่งเป็นวิธีการวินิจฉัยที่ต้องรุกล้ำต่ออวัยวะมาก
- ยา
ยาที่ทำให้ตับอ่อนอักเสบ
นอกจากยาสเตียรอยด์แล้ว ยาอีกหลายตัวทำให้ตับอ่อนอักเสบได้ ได้แก่
- ยาปฏิชีวนะ
- ยากดภูมิคุ้มกัน
- ยารักษาความดันโลหิตสูง
- เอสโตรเจน
- ยาสลบ
- ยาต้านซึมเศร้า
- ยาพาราเซตามอลที่เกินขนาด
รายงานในปี 2008 จากวารสารการดำเนินงานของศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ (journal Baylor University Medical Center Proceedings) รายงานว่าในความเป็นจริงมียาที่ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบมากกว่า 40 ชนิดที่อยู่ในรายการยาที่ถูกสั่งบ่อยที่สุด 200 ตัว และมียาหรือกลุ่มยาที่ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบมากที่สุด 6 ตัวคือ
- สแตติน (statin) หรือ ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ เอชเอ็มจี-โคเอ รีดักเตส (HMG-CoA reductase inhibitors) ซึ่งเป็นยาลดคลอเลสเตอรอล เช่น ยาซิมวาสแตติน (simvastatin) มีชื่อการค้าคือ โซคอร์ (Zocor) และยาอะทอวาสแตติน (atorvastatin) มีชื่อการค้าคือ ลิปิตอร์ (Lipitor)
- ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ เอซีอี (ACE inhibitor) เช่น ยาอีนาลาพริล (enalapril) มีชื่อการค้าคือ วาโซเทค (Vasotec) และ ยาไลซิโนพริล (lisinopril) ชื่อการค้าคือ เซสทริล (Zestril) ซึ่งเป็นยารักษาความดันโลหิตสูงและหัวใจล้มเหลว
- เอสโตรเจน ที่ใช้ในการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน
- ยาขับปัสสาวะ เช่น ยาฟูโรซีไมด์ (furosemide) ชื่อการค้าคือ ลาซิก (Lasix) และ ยาไฮโดรคลอดรไทอะไซด์ (hydrochlorothiazide) ชื่อการค้าคือ ไมโครไซด์ (Microzide)
- ยาต้านรีโทรไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูง หรือ เอชเอเออาร์ที(HAART) เช่น ยาลามิวูดีน (lamivudine) ชื่อการค้า อีพิเวียร์ (Epivir) และยาเนลฟินาเวียร์ (nelfinavir) ชื่อการค้า ไวโรเซป (Virocept) ซึ่งเป็นยารักษาเอชไอวี
- ยากันชักกลุ่มวัลโปรอิคเอซิด (valproic acid) เช่น ยาที่มีชื่อการค้าว่า เดพาคีน(Depakene), เดพาคอน(Depacon) และ สตาฟซอร์(Stavzor)
อาการปวดจากตับอ่อนอักเสบ
อาการที่พบได้บ่อยที่สุดของตับอ่อนอักเสบคืออาการปวดท้องอย่างทันทีทันใดบริเวณด้านบนเหนือกระเพาะอาหาร โดยลักษณะของอาการปวดคือ
- อาจปวดเพียงเล็กน้อยในตอนแรกแล้วจะปวดมากขึ้นหลังจากกินอาหารหรือน้ำ
- อาจปวดได้รุนแรง ปวดคงที่ตลอดเวลาเป็นเวลาหลายวัน
- ปวดมากขึ้นเมื่อนอนหงายและปวดเบาลงเมื่อนั่งโน้มตัวไปข้างหน้า
- มักจะร้าวทะลุหลัง
- ไม่ปวดมากขึ้นเวลาขยับตัว
- ไม่ปวดตื้อๆ และไม่ปวดบริเวณท้องด้านล่าง
นอกจากนี้อาการปวดท้องนั้นจะมีลักษณะแตกต่างกันตามสาเหตุของตับอ่อนอักเสบ ตามรายงานในปี 2006 ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์นิวอิงแลนด์(The New England Journal of Medicine) เช่น ตับอ่อนอักเสบจากนิ่งในทางเดินน้ำดีจะมีอาการปวดทันทีทันใด ปวดรุนแรงเหมือนโดนแทง ปวดร้าวทะลุหลัง ส่วนตับอ่อนอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์จะมีอาการตรงกันข้ามคือจะค่อยๆปวดมากขึ้นและระบุตำแหน่งได้ไม่ชัด
อาการอื่นๆของตับอ่อนอักเสบ
นอกจากอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนซึ่งเป็นอาการสำคัญของตับอ่อนอักเสบแล้วยังมีอาการอื่นๆอีกคือ
- ซีด และดูกระวนกระวาย
- ไข้
- ดีซ่าน(ตัวเหลืองตาเหลือง)
- เหงื่อแตก ชีพจรเต้นเร็ว
- หน้าท้องบวมหรือกดเจ็บ
- อุจจาระสีซีดเหมือนดินเหนียว
- ท้องอืด
- สะอึก
- อาหารไม่ย่อย
ภาวะขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำ อวัยวะล้มเหลวชั่วขณะ(มักไม่เกิน 48 ชั่วโมง)จะเกิดในผู้ที่ตับอ่อนอักเสบรุนแรงปานกลาง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตับอ่อนอักเสบรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง
ตามรายงานในปี 2013 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกา(the American Journal of Gastroenterology)กล่าวว่าผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบประมาณ 15-20% มีอาการรุนแรง โดยตับอ่อนอักเสบจะทำให้เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลวต่อเนื่องหรืออวัยวะล้มเหลมที่ไม่สามารถกลับมาทำงานได้ใน 48 ชั่วโมง ภาวะตับอ่อนอักเสบรุนแรงจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างคือ
- เลือดออก
- ท่อน้ำดีใหญ่(common bile duct)อุดตัน
- เนื้อตับอ่อนตาย
- การติดเชื้อบริเวณเนื้อตาย
- เยื่อบุช่องท้องอักเสบ(peritonitis) เป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อที่เรียงตัวอยู่บริเวณผนังท้องด้านใน
- ท่อตับอ่อน(pancreatic duct)แตก
ตับอ่อนอักเสบในรายที่ไม่รุนแรงจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้บางอย่างเช่น
- ปัญหาการหายใจเนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อการทำงานของปอด
- ภาวะขาดสารอาหารเนื่องจากไม่สามารถย่อยและดูดซึมอาหารได้
- ถุงน้ำเทียมที่ตับอ่อน(pancreatic pseudocyst)คือถุงที่มีน้ำและเศษเนื้อตายซึ่งหากถุงน้ำนี้แตกจะเกิดเลือดออกและติดเชื้อ
- การติดเชื้อนอกตับอ่อน เช่น ปอดติดเชื้อ ติดเชื้อในกระแสเลือด ทางเดินปัสสาวะติดเชื้อ
การวินิจฉัยตับอ่อนอักเสบ
เช่นเดียวกับโรคส่วนใหญ่ การวินิจฉัยตับอ่อนอักเสบเริ่มจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย โดยแพทย์อาจสั่งตรวจเลือดและถ่ายภาพรังสีซึ่งมีหลายวิธี คือ
- การสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กหรือเอ็มอาร์ไอ(MRI) โดยเฉพาะการสร้างภาพระบบทางเดินน้ำดีและตับอ่อน(cholangiopancreatography)ซึ่งจะทำให้เห็นท่อน้ำดีและท่อตับอ่อน
- เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีที(CT)
- อัลตราซาวน์หน้าท้อง
- อัลตราซาวน์ส่องกล้อง(endoscopic)ซึ่งใช้ท่อยาวๆขนาดเล็กใส่ทางปากลงไปถึงลำไส้เล็ก
- ส่องกล้องตรวจระบบทางเดินน้ำดีและตับอ่อนซึ่งเป็นการใช้ทั้งการส่องกล้องเข้าไปในทางเดินอาหารและใช้เอ็กซเรย์ร่วมกัน
และการวินิจฉัยตับอ่อนอักเสบต้องมีอย่างน้อยสองข้อต่อไปนี้
- อาการปวดท้องที่สัมพันธ์กับตับอ่อนอักเสบ
- ผลตรวจเลือดมีระดับเอนไซม์ของตับอ่อนคือเอนไซม์อะไมเลส(amylase)และ/หรือเอนไซม์ไลเปส(lipase)สูงมากกว่าค่าปกติอย่างน้อยสามเท่า
- ภาพถ่ายรังสีแสดงลักษณะของตับอ่อนอักเสบ
การรักษาตับอ่อนอักเสบที่มีอาการเล็กน้อยจนถึงรุนแรง
อาการปวดท้อง คลื่นไส้ และอาเจียนเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของตับอ่อนอักเสบที่มีอาการเล็กน้อย ซึ่งมักจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำคือมีปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายลดลงจากหลายสาเหตุ ด้แก่ อาเจียน กินอาหารและดื่มน้ำน้อย(เพราะการกินอาหารจะทำให้ปวดตับอ่อนมากขึ้น) และเสียเหงื่อ ดังนั้นการรักษาแรกเริ่มสำหรับตับอ่อนอักเสบคือการให้สารน้ำปริมาณมากอย่างรวดเร็วทางหลอดเลือดดำในอัตรา 250-500 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง ตามรายงานในปี 2013 เรื่องการดูแลรักษาโรคตับอ่อนอักเสบที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกา(American Journal of Gastroenterology)
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำจะมีประโยชน์มากที่สุดใน 12-24 ชั่วโมงแรกของการรักษา หลังจากนั้นจะได้โประโยชน์น้อยลง นอกจากการให้สารน้ำแล้ว แพทย์จะลดอาการปวดจากตับอ่อนอักเสบด้วยสารกลุ่มโอปิออยด์(opioids) เช่น มอร์ฟีน และเฟนตานิล(ชื่อการค้า เดอเจสิค(Dugesic))
การรักษาภาวะแทรกซ้อนจากตับอ่อนอักเสบ
ยาปฏิชีวนะเป็นสิ่งจำเป็นหากมีการติดเชื้อนอกตับอ่อน และมากกว่าหนึ่งในสามของผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบจะมีการติดเชื้อนอกตับอ่อนด้วย เช่น ปอดอักเสบติดเชื้อ ติดเชื้อในกระแสเลือด และติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ตามรายงานในปี 2014 ของวารสารด้านตับอ่อน(the journal Pancreatology)
นิ่วในทางเดินน้ำดีเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของตับอ่อนอักเสบตามรายงานของวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกา(the American Journal of Gastroenterology report) โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีนิ่วขนาดเล็กและไม่ค้างอยู่ในท่อน้ำดีหรือท่อตับอ่อนเป็นเวลานาน แต่บางครั้งนิ่วจะอุดตันและจะไม่หายหากไม่รักษา และแพทย์จำเป็นต้องเอานิ่วออกโดยใช้วิธีส่องกล้องระบบทางเดินน้ำดีและตับอ่อนหรืออีอาร์ซีพี(ERCP) ถ้ามีนิ่วในถุงน้ำดีก็ต้องผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นตับอ่อนอักเสบซ้ำอีก
ในอดีต เชื่อกันว่าผู้ป่วยต้องงดน้ำงดอาหารให้ตับอ่อนได้พักและฟื้นตัว แต่รายงานของวารสารระบบทางเดินอาหารของอเมริกากล่าวว่าไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารหากตับอ่อนอักเสบเพียงเล็กน้อยและไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดแล้ว โดยนอกจากอาหารเหลวที่ไม่มีกากแล้ว ดูเหมือนว่า ผู้ป่วยยังสามารถกินอาการปกติที่มีไขมันต่ำได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน
การรักษาตับอ่อนอักเสบที่มีอาการรุนแรง
ประมาณ 20% ของผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบจะมีอาการรุนแรงซึ่งจะมีอวัยวะล้มเหลวหลายอวัยวะที่จะไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง ผู้ป่วยที่มีตับอ่อนอักเสบรุนแรงจำเป็นจะต้องเข้ารับการดูแลในแผนกผู้ป่วยวิกฤตและใช้เวลารักษานานมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนของตับอ่อนอักเสบรุนแรงที่พบได้บ่อยที่สุด คือการติดเชื้อของเนื้อตับอ่อน หรือเนื้อเยื่อข้างเคียงที่ตายจากขาดเลือดไปเลี้ยง ภาวะดังกล่าวต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้วผ่าตัดเอาเนื้อตับอ่อนที่ตายออก
มีการศึกษาในปี 2008 ในวารสารแลนเซ็ต(Lancet)ระบุว่าโปรไบโอติกส์(probiotics)ไม่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีการติดเชื้อแทรกซ้อนในตับอักเสบรุนแรงผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบรุนแรงจำเป็นต้องให้อาหารทางสายยางเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โดยใส่สายยางให้อาหารทางจมูกลงไปถึงกระเพาะอาหาร ซึ่งมีการศึกษาบางชิ้นสนับสนุนว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
การปรับพฤติกรรมและการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยตับอ่อนอักเสบ
นอกจากการรักษาในโรงพยาบาลแล้ว แนะนำว่าควรปรับพฤติกรรมต่อไปนี้เพื่อช่วยให้ฟื้นตัวและอาจป้องกันการเกิดตับอ่อนอักเสบได้
- ดื่มน้ำเปล่ามากๆ
- หยุดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หยุดสูบบุหรี่เนื่องจากเพิ่มโอกาสเกิดตับอ่อนอักเสบตามข้อมูลของบทความด้านระบบทางเดินอาหาร
- งดอาหารไขมันสูง
จากบทความในปี 2010 ของวารสารระบบทางเดินอาหารและตับ(the journal Gastroenterology and Hepatology)กล่าวว่ามีการศึกษาเบื้องต้นบางชิ้นระบุว่าสารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยรักษาตับอ่อนอักเสบได้ แต่จำเป็นต้องมีการทดลองทางคลินิกที่ออกแบบดีกว่านี้เพื่อพิสูจน์เรื่องดังกล่าว
ไวรัสตับ บี มีโอกาศหายมั้ยค่ะ