ภูมิแพ้อาหาร เป็นโรคภูมิแพ้ประเภทหนึ่งที่หลายคนเผชิญ โดยอาการแพ้อาหารมีสาเหตุมาจากกลไกของระบบภูมิต้านทาน ที่ถูกกระตุ้นโดยอาหารที่ผู้ป่วยแพ้จนมีการสร้างภูมิต้านทานชนิดอี (Immunoglobin E: IgE) ขึ้นมา
ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้เกิดการหลั่งสารฮิสทามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการแพ้ออกมาด้วย
ตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 4,643 บาท ลดสูงสุด 72%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อาการของโรคภูมิแพ้อาหารที่มักเกิดขึ้น
- จมูก ตา ปาก ลิ้น หรือทั้งใบหน้ามีอาการบวม
- หายใจลำบาก หรือหายใจไม่ออกเลย
- ความดันโลหิตต่ำลง
- คลื่นไส้อาเจียน
- ท้องเสียอย่างรุนแรง
- ท้องร่วง
- มีอาการลมพิษ หรือผิวหนังเป็นตุ่มบวม เกิดผื่นคัน หรือเป็นรอยปื้นแดงทั่วร่างกาย
- ช็อกจนหมดสติ
ตัวอย่างอาหารที่แพ้บ่อยๆ
- ทารกและเด็กเล็ก: มักแพ้ในช่วงอายุ 0-2 ปี จะพบได้ประมาณ 6%-8% ของประชากร อาหารที่แพ้บ่อยได้แก่ นมวัว ไข่ ถั่งลิสง ถั่วเหลือง
- ผู้ใหญ่: จะพบได้ประมาณ 2%-5% ของประชากร มักจะพบมากในช่วงอายุประมาณ 30 ปี บางครั้งอาจเป็นแค่เพียงการสัมผัสที่ริมฝีปาก ก็ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ (Oral Allergy Syndrome; OAS) อาหารที่แพ้บ่อยได้แก่ ปลา อาหารทะเลที่มีเปลือก ถั่วลิสง ถั่วเหลือง
- การแพ้อาหารที่พบไม่บ่อยได้แก่ การแพ้อาหารในผู้ประกอบอาหาร ซึ่งมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการหอบหืด หรือภูมิแพ้จมูก หรือผื่นลมพิษ การแพ้ถุงมือยาง
ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้อาหารแต่ละรายจะมีอาการแพ้ต่อประเภทของอาหารที่แตกต่างกันไป
อาหารที่ผู้ป่วยมักเกิดอาการแพ้และควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
นมวัว
นมวัวเป็นอาหารที่ทารกและเด็กเล็กมักเกิดอาการแพ้บ่อยที่สุด ประมาณ 2.5% ของเด็กในรุ่นนี้ โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็กที่เคยดื่มนมวัวมาก่อนที่พวกเขาจะอายุ 6 เดือน
นอกจากนี้ อาการแพ้นมวัวยังเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่มารดาได้รับโปรตีนนมวัวปานกลางในเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์จึงทำให้ทารกมีอาการแพ้นมวัวเมื่อคลอดออกมา
อย่างไรก็ตาม 90% ของทารกและเด็กเล็กที่เคยแพ้นมวัวอาการจะดีขึ้นเมื่ออายุครบ 3 ขวบ บางรายอาการจะดีขึ้นเมื่ออายุครบ 5-10 ขวบ และอาการแพ้จะน้อยลงไปอีก หรืออาจหายไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว
สำหรับอาการของผู้ที่แพ้นมวัวจะได้แก่ เป็นผื่น ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง อาเจียน ในบางรายอาจพบภูมิแพ้จมูก หอบหืดในช่วงเดือนแรกๆได้อีกด้วย
วิธีป้องกันอาการแพ้นมวัว: ให้หลีกเลี่ยงการดื่มนมวัว นอกจากนี้การรับประทานนมมารดาจะช่วยป้องกันอาการแพ้อาหารในทารกและเด็กเล็กได้ด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เนื่องจากนมมารดาจะไปกระตุ้นระบบทางทางเดินอาหารของทารกและเด็กเล็กให้มีภูมิคุ้มกัน และตัวทารกจะมีพัฒนาการที่สมบูรณ์จนความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้น้อยลง
ส่วนกรณีทารกและเด็กเล็กที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูง คุณควรให้ทารกและเด็กเล็กรับประทานนมมารดาเพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด โดยมารดาไม่จำเป็นต้องงดนมวัว หรืออาหารที่รับประทานเป็นปกติก็ได้
อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีมารดาควรงดรับประทานอาหารเสริมบางประเภทไปก่อนในระหว่างต้องให้นมบุตร เช่น ไข่แดง อาหารทะเล และรีบปรึกษาแพทย์ว่า ควรดูแลสุขภาพของทารก หรือเด็กเล็กอย่างไรให้ถูกวิธี
ผู้ที่แพ้นมวัวนอกจากจะต้องหลีกเลี่ยงไม่รับประทานนมวัวแล้ว ยังต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของนมวัวด้วย เช่น นมผง ชีส เนย โยเกิร์ต วิปครีม ไอศกรีม
2. ไข่
ไข่เป็นอาหารอีกประเภทที่มีคนแพ้ไม่น้อยไปกว่านมวัว โดยกลุ่มผู้ป่วยที่มักเกิดอาการแพ้ไข่ก็คือ กลุ่มเด็กเล็กอีกเช่นกัน โดยอาการแสดงมักจะเป็นปวดท้อง เป็นผื่น หายใจลำบาก หรืออาจเป็นอาการภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงซึ่งมีความอันตรายสูง
สำหรับส่วนประกอบของไข่ที่มักจะทำให้เกิดอาการแพ้มากที่สุดคือ ส่วนของไข่ขาว เพราะในไข่ขาวมีโปรตีนที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ได้มากกว่าไข่แดง
ตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 4,643 บาท ลดสูงสุด 72%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
วิธีการป้องกันอาการแพ้ก็คือ คุณต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานไข่ให้ได้มากที่สุด แต่อาจไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของไข่เสมอไป
เพราะอาหารที่มีส่วนผสมของไข่ หากมีการปรุงสุกแล้ว ความร้อนจะเข้าไปเปลี่ยนโปรตีนของไข่ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ก็จะน้อยลงหรือไม่มีอาการเลย
แต่เพื่อความปลอดภัย หากคุณมีอาการแพ้ไข่ก็ควรปรึกษากับแพทย์ก่อนว่า สามารถรับประทานไข่ได้อย่างไรบ้าง
3. ถั่วลิสง
อาหารตระกูลถั่วเป็นอีกหนึ่งประเภทของอาหารที่มีคนแพ้เป็นจำนวนมาก ถั่วลิสงก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
สำหรับกลุ่มผู้ที่เสี่ยงแพ้ถั่วลิสงมากที่สุดคือ กลุ่มผู้ที่เคยมีประวัติคนในครอบครัวแพ้ถั่วมาก่อน หรืออาการแพ้อาจมีจุดเริ่มต้นมาจากในช่วงที่ยังให้นมบุตร หรือกำลังหย่านม ซึ่งมารดาของผู้ป่วยมักจะรับประทานถั่วอยู่เป็นประจำ
เด็กๆ ที่เป็นโรคภูมิแพ้ถั่วลิสงประมาณ 15-22% จะสามารถหายจากอาการแพ้ถั่วได้เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แต่ก็ยังมีผู้ป่วยเด็กส่วนอื่นอีกจำนวนมากที่อาการแพ้ยังคงเป็นอยู่จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ และมักจะแพ้ถั่วชนิดอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ถั่วลิสงเท่านั้น เช่น
- วอลนัท
- เฮเซลนัท
- อัลมอนด์
- ถั่วพีแคน
- ถั่วแมคคาเดเมีย
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์
- ถั่วเหลือง
วิธีป้องกันอาการแพ้ถั่วลิสง: ผู้ป่วยจะต้องระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของถั่วไปตลอดชีวิตหากอาการป่วยยังคงมีอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ได้มีการคิดค้นวิธีรักษาอาการแพ้ถั่วอีกรูปแบบหนึ่ง
นั่นคือ แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานถั่วที่แพ้ในปริมาณเล็กน้อยตามที่กำหนดมาให้ เพื่อให้อาการตอบสนองต่อโรคภูมิแพ้ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง
อาการแพ้ถั่วสามารถรุนแรงถึงขั้นเป็นอาการภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงได้ และผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้อย่างกะทันหันหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา ส่วนอาการภูมิแพ้จากถั่วลิสงและถั่วอื่นๆ จะมีดังต่อไปนี้
- ผิวหนังเป็นตุ่มบวม และคันตามผิวหนัง
- ใบหน้าและลำคอบวมขึ้น
- อาเจียน
- หายใจไม่ออก
- ปวดท้อง
- ท้องร่วง
- คลื่นไส้อาเจียน
4. ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองเป็นอีกสารก่อภูมิแพ้ยอดฮิตที่เด็กๆ หลายคนต้องระวังเพราะผู้ที่มักเกิดอาการแพ้ถั่วเหลืองจะเป็นเด็กเสียส่วนมาก โดยค่าเฉลี่ยอายุจะอยู่ที่ทารกและเด็กอายุต่ำว่า 3 ขวบ
กลุ่มเด็กไทยและเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ประเทศแถบเอเชียอาจต้องระวังอาการแพ้ถั่วเหลืองเป็นพิเศษ เพราะอาหารในภูมิภาคเอเชียส่วนมาก มักจะมีส่วนผสมของถั่วเหลืองอยู่เกือบทั้งหมด รวมถึงนมวัวด้วย
อาการแพ้ที่แสดงออกมักจะมีดังต่อไปนี้
- หอบหืด
- หายใจลำบาก
- คันตามผิวหนัง
- เป็นผื่นขึ้น
- หายใจมีเสียงวี้ด
ผู้ที่มีอาการแพ้ถั่วเหลืองอย่างรุนแรงอาจช็อกและหมดสติได้ ดังนั้นหากคุณมีอาการแพ้ถั่วเหลือง ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง คุณจึงควรอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์อาหารนั้นๆ เสียก่อน
นอกจากนี้คุณยังต้องสอบถามกับทางร้านอาหารที่ไปรับประทานทุกครั้งว่า ในอาหารมีส่วนผสมของถั่วเหลืองหรือไม่ และให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
5. อาหารทะเลที่มีเปลือก
อาหารทะเลจัดเป็นอาหารอันดับต้นๆ ที่มักทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง โดยอาหารทะเลที่มีเปลือกซึ่งผู้เป็นโรคภูมิแพ้ควรหลีกเลี่ยงจะได้แก่
- กุ้ง
- กุ้งล็อบสเตอร์
- ปู
- กุ้งก้ามแดง
- หอยนางรม
- หอยแครง
- หอยแมลงภู่
- หอยกาบ
- หอยตลับ
ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารทะเลที่มีเปลือกต่อไปนี้ส่วนมากมักจะมีอาการแพ้ต่ออาหารทะเลที่มีเปลือกชนิดอื่นๆ ด้วย
ทางที่ดีหากคุณมีอาการแพ้อาหารที่กล่าวมาข้างต้นชนิดใดชนิดหนึ่ง ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทะเลทุกชนิดเพื่อความปลอดภัย
สำหรับกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่ออาการแพ้อาหารทะเลที่มีเปลือกมักจะเป็นผู้ที่เคยมีคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน อาการแพ้อาหารทะเลที่มีเปลือกก็สามารถเกิดขึ้นได้กับกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย ไม่จำเป็นต้องเกิดอาการตั้งแต่เด็กเท่านั้น
อาการแพ้อาหารทะเลมักจะแสดงออกค่อนข้างรุนแรงและไวต่อสารก่อภูมิแพ้มาก ผู้ป่วยบางรายจะมีการตอบสนองถึงแม้จะสัมผัสแค่ไอน้ำ หรือควันจากอาหารทะเลที่ปรุงแล้ว เช่น
- รู้สึกคันปาก ลิ้น คอ จมูก หรือตา
- หนังตาบวม ปากบวม หรือมีอาการบวมทั่วทั้งใบหน้า
- คลื่นไส้อาเจียน
- ท้องร่วง
- แน่นหน้าอก
- ปวดหัว
- วิงเวียนศีรษะ
- ชีพจรเต้นเร็วขึ้น
- หายใจลำบาก
- ช็อกจนหมดสติ เนื่องจากความดันโลหิตต่ำลงมาก
6. ปลา
นอกจากอาหารทะเลที่มีเปลือกจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้แล้ว สัตว์ทะเลอย่างปลาก็สามารถก่ออาการแพ้ได้เช่นกัน และยังร้ายแรงถึงขั้นเป็นอาการแพ้เฉียบพลันรุนแรงด้วย
กลุ่มผู้ที่เสี่ยงแพ้ปลาจะเป็นผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่มากกว่าวัยเด็ก โดยสาเหตุอาจมาจากคนวัยผู้ใหญ่มักจะรับประทานอาหารทะเลบ่อยกว่าเด็กนั่เอง
นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการแพ้ในปลาชนิดหนึ่งก็มักจะมีอาการแพ้ในปลาชนิดอื่นๆ ด้วย ผู้ป่วยที่แพ้ปลาจึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทปลาทุกรูปแบบ ถึงแม้จะมีการปรุงสุกแล้วก็ตาม
7. ธัญพืช
สารก่อภูมิแพ้หลักที่อยู่ในอาหารประเภทธัญพืชจะเป็นโปรตีนที่มีชื่อว่า “ไกลอะดิน (Gliadin)” ซึ่งอยู่ในโปรตีนในแป้งชื่อ “กลูเตน (Gluten)” โดยผู้ที่มักมีอาการแพ้ธัญพืชจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มเด็กเล็กเป็นส่วนมาก และอาการแพ้ธัญพืชมักจะเกี่ยวกับระบบระบบย่อยอาหาร เช่น
- คลื่นไส้อาเจียน
- เป็นผื่นแดง
- ผิวหนังบวมนูน
นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่เกิดอาการแพ้เฉียบพลันรุนแรงได้หลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ประเภทธัญพืชเข้าไป
ดังนั้นผู้ที่อาการแพ้ธัญพืชจึงต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชทุกชนิด รวมถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของโปรตีนกลูเตนด้วย
นอกจากอาหารทั้ง 7 ประเภทที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีอาหารประเภทอื่นๆ ที่เสี่ยงทำให้เกิดอาการแพ้อีก เช่น
- ธัญพืชซีเรียล ส่วนมากมักจะอยู่ในข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าว ข้าวไรย์ ข้าว ข้าวบาร์เล่ย์
- มะพร้าว ซึ่งอาการของผู้ที่แพ้จะคล้ายกับผู้ป่วยที่แพ้อาหารประเภทถั่ว
- ผักและผลไม้ แต่ส่วนมากจะไม่เกิดอาการภูมิแพ้หากรับประทานผักปรุงสุก หรือได้ผ่านความร้อนมาก่อน
- เนื้อ เช่น เนื้อวัว เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยลดความเสี่ยงของอาการแพ้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ในผู้ป่วยภูมิแพ้บางราย อาการก็จะยังปรากฏอยู่
- ข้าว อาการแพ้ไม่ได้เกิดแค่จากการรับประทานเท่านั้น แค่ผู้ป่วยบางรายที่สูดเอาละอองฝุ่น หรือละอองเล็กๆ ที่มีส่วนประกอบของข้าวเข้าไปก็สามารถเกิดอาการแพ้ได้
- งา ปัจจุบันมีปริมาณผู้ป่วยที่มีอาการแพ้งามากขึ้นเรื่อยๆ หากแพ้งาต้องหลีกเลี่ยงทุกผลิตภัณฑ์ที่มีงาเป็นส่วนผสม เช่น เมล็ดงา น้ำมันงา
- เครื่องเทศ เป็นประเภทของอาหารที่มีอาการแพ้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ยังมีผู้ป่วยบางส่วนที่เกิดอาการแพ้ได้ในอาหารที่มีเครื่องเทศเป็นส่วนผสม เช่น มัสตาร์ด ผักชี เมล็ดยี่หร่า หัวเฟนเนล ปาปริก้า หญ้าฝรั่น
ถึงแม้จะต้องจำกัดประเภทของอาหารที่รับประทาน แต่ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อาหารก็ยังต้องดูแลตนเองให้ได้รับสารอาหารเพียงพอครบ 5 หมู่ เพื่อให้ภูมิต้านทานของร่างกายยังสมดุล ไม่เกิดภาวะขาดสารอาหาร และได้รับสารอาหารที่หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะด้วย
ดูแพ็กเกจตรวจภูมิแพ้และภาวะแพ้ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัพเดทแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android