อาการปวดกระดูก คือ ภาวะที่มีอาการปวด อาการกดเจ็บ หรือรู้สึกไม่สบายตัวที่บริเวณกระดูก ซึ่งอาการจะแตกต่างจากอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ เพราะผู้ป่วยจะมีอาการทั้งตอนที่เคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย อาการปวดที่เกิดขึ้นนี้มักสัมพันธ์กับโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของกระดูกหรือโครงสร้างของกระดูก
อาการของผู้ที่มีอาการปวดกระดูก
อาการที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระดูก รู้สึกไม่สบายตัวทั้งในเวลาที่เคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหวก็ตาม สำหรับอาการอื่นๆ จะขึ้นกับสาเหตุของอาการปวดกระดูก รายละเอียดแสดงดังตาราง
ตรวจกระดูกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 534 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สาเหตุของอาการการปวดกระดูก |
อาการที่พบได้ |
การได้รับบาดเจ็บ |
มีอาการบวม กระดูกแตก กระดูกผิดรูปสังเกตเห็นได้ มีเสียงเกิดขึ้นขณะได้รับบาดเจ็บ |
การขาดแร่ธาตุ |
ปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ การนอนหลับผิดปกติไป เป็นตะคริว อ่อนเพลีย อ่อนแรง |
ปวดหลัง หลังค่อม หลังโค้งลง ส่วนสูงลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป |
|
การแพร่กระจายของมะเร็งมาที่กระดูก |
ผู้ป่วยจะมีอาการหลากหลายขึ้นกับว่ามะเร็งแพร่กระจายไปที่ใด เช่น
|
เพิ่มการเกิดกระดูกแตก พบก้อนใต้ผิวหนัง รู้สึกชาหรือเสียวซ่านที่เกิดจากก้อนมะเร็งกดทับที่เส้นประสาท |
|
การขัดขวางการไหลเวียนเลือดไปที่กระดูก |
ปวดกระดูก สูญเสียการทำงานของข้อต่อ และอ่อนแรง |
แดง มีอาการบวม ร้อน ที่บริเวณของการติดเชื้อ การเคลื่อนไหวของข้อลดลง คลื่นไส้ เบื่ออาหาร |
|
อ่อนเพลีย ผิวหนังซีด หายใจถี่ เหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ |
อาการปวดกระดูกในหญิงตั้งครรภ์
อาการปวดกระดูกเชิงกราน (Pelvic Bone Pain) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์หลายๆ ราย บางครั้งเรียกว่า อาการปวดรอบๆ อุ้งเชิงกรานเหมือนรัดเข็มขัด (Pregnancy-related Pelvic Girdle Pain (PPGP)) อาการปวดจะเกิดขึ้นที่กระดูกหัวหน่าว มีอาการข้อติดและปวดข้อที่บริเวณข้อต่ออุ้งเชิงกราน
อาการปวดรอบๆ อุ้งเชิงกรานเหมือนรัดเข็มขัดนี้จะไม่หายไปจนกว่าจะคลอดลูก แต่การรักษาตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยบรรเทาอาการได้ โดยทางเลือกในการรักษา ได้แก่
- การฝึกเคลื่อนไหวข้อต่ออย่างถูกต้อง
- การทำกายภาพบำบัด
- การออกกำลังกายในน้ำ
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Exercises to strengthen the pelvic floor)
แม้ว่าอาการปวดนี้จะพบได้บ่อย แต่ถือเป็นความผิดปกติชนิดหนึ่ง ดังนั้นหากตั้งครรภ์อยู่แล้วมีอาการปวดกระดูกเชิงกราน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
สาเหตุของอาการปวดกระดูก
อาการปวดกระดูกสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- การได้รับบาดเจ็บ : สาเหตุที่พบบ่อยของอาการปวดกระดูก โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อเกิดอุบัติเหตุบางชนิด เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งอาจทำให้กระดูกแตกหรือกระดูกหักได้
- การขาดแร่ธาตุ : กระดูกจำเป็นต้องอาศัยวิตามินและแร่ธาตุในการเพิ่มความแข็งแรง ได้แก่ แคลเซียม และวิตามินดี การขาดแคลเซียมและวิตามินดีมักเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ซึ่งเป็นโรคกระดูกที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ที่มีอาการกระดูกพรุนในระยะท้ายๆ ของโรค มักมีอาการปวดกระดูกร่วมด้วย
- มะเร็งที่แพร่กระจายมาที่กระดูก (Metastatic Cancer) : ภาวะที่ผู้ป่วยเป็นมะเร็งที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของร่างกาย แต่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย มะเร็งที่พบการแพร่กระจายที่กระดูกได้บ่อย คือ
- มะเร็งกระดูก (Bone Cancer) : มะเร็งที่มีจุดเริ่มต้นของโรคที่กระดูก มะเร็งกระดูกเป็นมะเร็งที่พบได้น้อยเมื่อเทียบกับการแพร่กระจายของมะเร็งจากที่อื่นมาที่กระดูก อาการปวดกระดูกจะเกิดขึ้นเมื่อมะเร็งเริ่มขัดขวางหรือทำลายโครงสร้างของกระดูก
- โรคที่ขัดขวางไม่ให้เลือดไปเลี้ยงกระดูกอย่างที่ควรจะเป็น : โรคบางชนิด เช่น โลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Anemia) จะรบกวนไม่ให้เลือดไปหล่อเลี้ยงกระดูกอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อกระดูกไม่ได้รับเลือดอย่างเพียงพอจะทำให้เนื้อเยื่อกระดูกตายได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระดูกอย่างมาก และกระดูกอ่อนแอลง
- การติดเชื้อ : ถ้ามีการติดเชื้อที่กระดูก หรือมีการติดเชื้อจากที่อื่นแพร่กระจายมาที่กระดูก จะทำให้มีอาการที่รุนแรงคือ ภาวะกระดูกอักเสบ (Osteomyelitis) ซึ่งการติดเชื้อของกระดูกทำให้เซลล์กระดูกตายได้ และเป็นสาเหตุของอาการปวดกระดูก
- มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย (Leukemia) : คือมะเร็งของไขกระดูก (Bone marrow) ซึ่งไขกระดูกจะพบได้ในกระดูกเกือบทุกที่ของร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างเซลล์กระดูก ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมักมีอาการปวดกระดูก โดยเฉพาะที่ขา
เมื่อไรควรไปพบแพทย์
แม้ว่าอาการปวดกระดูกจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่ก็อาจบ่งชี้ถึงภาวะฉุกเฉินบางอย่างได้ ถ้าพบว่าตัวเอง หรือบุคคลรอบข้างมีอาการปวดกระดูกร่วมกับน้ำหนักลด เบื่ออาหาร และอ่อนเพลียและอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-3 วัน ให้รีบไปพบแพทย์
หากอาการปวดกระดูกเกิดจากการบาดเจ็บ ควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อทำการรักษากระดูกตามวิธีที่ถูกต้องต่อไป ในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม กระดูกจะซ่อมแซมตัวเองด้วยตำแหน่งที่ผิดรูป และทำให้การเคลื่อนไหวจำกัดลง นอกจากนี้อุบัติเหตุยังเพิ่มโอกาสเกิดการติดเชื้อในกระดูกได้
ตรวจกระดูกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 534 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
การวินิจฉัยอาการปวดกระดูก
แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และซักประวัติทางการแพทย์ โดยคำถามที่แพทย์จะซัก ได้แก่
- อาการปวดเกิดขึ้นที่ตำแหน่งไหน
- คุณมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อใด
- อาการปวดแย่ลงหรือไม่
- มีอาการอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับอาการปวดกระดูกหรือไม่
แพทย์อาจพิจารณาให้มีการเจาะเลือดเพื่อดูว่ามีภาวะขาดวิตามินหรือไม่ หรือเพื่อตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Cancer Markers) นอกจากนี้การตรวจเลือดอาจช่วยให้แพทย์ตรวจเจอการติดเชื้อและโรคของต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นโรคที่ส่งผลต่อสุขภาพกระดูกได้
การเอกซเรย์กระดูก การตรวจเอ็มอาร์ไอ (MRIs) และการตรวจซีทีสแกน (CT scans) จะช่วยแพทย์ประเมินบริเวณของกระดูกที่ได้รับความเสียหาย รอยโรคที่กระดูก และเนื้องอกภายในกระดูก ส่วนการตรวจปัสสาวะจะใช้เพื่อตรวจหาความผิดปกติภายในไขกระดูก ได้แก่ โรคมะเร็งชนิด Multiple myeloma
ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจจำเป็นต้องสั่งตรวจหลายชนิดร่วมกันเพื่อช่วยในการแยกโรคและช่วยให้วินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดกระดูกได้อย่างแม่นยำ
การรักษาอาการปวดกระดูก
เมื่อแพทย์ทำการประเมินแล้วว่าสาเหตุของอาการปวดกระดูกเกิดจากอะไร แพทย์จะเริ่มรักษาที่สาเหตุนั้น โดยอาจแนะนำให้คุณพักการใช้งานบริเวณที่มีอาการปวดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจ่ายยาบรรเทาอาการปวดในกรณีที่มีอาการปวดกระดูกระดับปานกลางถึงรุนแรง
ทางเลือกในการรักษาอาการปวดกระดูก ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ยาบรรเทาปวด : หนึ่งในรายการยาที่จ่ายบ่อยที่สุดเพื่อบรรเทาอาการปวดให้กับผู้ป่วย แต่ไม่ช่วยให้สาเหตุของโรคหายขาด สามารถใช้ยาสามัญประจำบ้าน ได้แก่ Paracetamol หรือยาแก้ปวดที่มีขายทั่วไปตามร้านขายยา เช่น Ibuprofen บรรเทาอาการปวดได้ ในกรณีที่มีอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรง คุณต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ซึ่งแพทย์จะสั่งยาที่มีความแรงมากขึ้น เช่น Morphine
- ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) : ถ้าคุณมีการติดเชื้อที่กระดูก แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะให้กับคุณเพื่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุ ซึ่งอาจได้แก่ ยา Ciprofloxacin, Clindamycin หรือ Vancomycin
- อาหารเสริม : ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนจำเป็นต้องได้รับการเสริมแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ แพทย์จะสั่งจ่ายอาหารเสริมเหล่านี้เพื่อรักษาภาวะขาดแร่ธาตุ โดยอาจอยู่ในรูปแบบน้ำ เม็ด หรือแบบเม็ดเคี้ยว
- การรักษามะเร็ง : กรณีที่มีอาการปวดกระดูกจากโรคมะเร็ง ถือเป็นเรื่องยากในการรักษา แพทย์จำเป็นต้องรักษามะเร็งก่อนเพื่อบรรเทาอาการปวดกระดูก โดยยาในกลุ่ม Bisphosphonates คือยาที่ช่วยในการป้องกันกระดูกหักและอาการปวดกระดูกในผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของมะเร็งมาที่กระดูก นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวดในกลุ่ม Opiate ให้กับผู้ป่วย
- การผ่าตัด มีหลายกรณีที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการปวดกระดูก เช่น
- ผ่าตัดเพื่อผ่าเอาบางส่วนของกระดูกที่ตายจากการติดเชื้อออก
- ผ่าตัดเพื่อเชื่อมต่อกระดูกที่หัก
- ผ่าตัดเพื่อเอาก้อนเนื้องอกที่เกิดจากมะเร็งออก
- ผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งเสริมสร้าง (Reconstructive surgery) ในผู้ที่มีอาการอย่างรุนแรง เช่นการผ่าตัดเพื่อใส่ข้อเทียมแทน เป็นต้น
ป้องกันอาการปวดกระดูกได้อย่างไร
การดูแลตนเองให้มีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง เพื่อป้องกันอาการปวดกระดูก สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป (ดื่มในระดับปานกลาง)
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
นอกเหนือจากการทำกระดูกให้แข็งแรงแล้ว คุณควรหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่นำไปสู่อาการปวดกระดูกได้ เช่น
- พยายามป้องกันไม่ให้ตนเองหกล้ม เช่น
- เก็บของบริเวณทางเดินให้เรียบร้อย
- ไม่มีของกีดขวางทางเดิน
- ระหว่างเดินให้ระมัดระวังพรมที่อาจจะลื่น
- ระวังการเดินในพื้นที่แสงน้อย
- ระมัดระวังขณะขึ้นหรือลงบันได
- ระวังการเล่นกีฬา โดยเฉพาะกีฬาที่มีการกระทบกระทั่ง เช่น ฟุตบอล มวย