เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis)

อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบหรือตาแดง
เผยแพร่ครั้งแรก 18 ก.พ. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 27 ก.พ. 2019 เวลาอ่านประมาณ 8 นาที
เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis)

เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) หรือตาแดง คืออาการอักเสบและแดงที่ชั้นเนื้อเยื่อปกคลุมส่วนหน้าของดวงตา (Conjunctiva)

อาการอื่นๆ จากภาวะตาแดงมีทั้งอาการคัน ตาแฉะ หรือมีน้ำตา และหากเกิดจากภูมิแพ้ บางครั้งอาจมีสารคัดหลั่งเหนียวติดบนขนตาได้ โดยภาวะเยื่อบุตาอักเสบหรือตาแดงมักจะเกิดกับตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงลามไปยังตาอีกข้างภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจตา รักษาโรคตาวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 437 บาท ลดสูงสุด 61%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

อาการของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

อาการของภาวะเยื่อบุตาอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ในช่วงแรกมักจะมีอาการที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน จากนั้นจึงลามไปยังตาอีกข้างภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง อาการที่บ่งชี้ว่าเกิดภาวะเยื่อบุตาอักเสบขึ้นแล้ว ได้แก่

  • ตาแดง เป็นผลมาจากการอักเสบและการขยายใหญ่ขึ้นของหลอดเลือดขนาดเล็กในเยื่อบุตา (ชั้นเซลล์บางๆ ที่ปกคลุมส่วนหน้าของดวงตา)
  • มีสารคัดหลั่งออกมาจากดวงตา เนื่องจากเยื่อบุตาประกอบด้วยเซลล์หลายพันเซลล์ที่ผลิตเมือก และมีต่อมที่ใช้ผลิตน้ำตาออกมา การอักเสบที่เกิดขึ้นทำให้ต่อมเหล่านี้ทำงานมากขึ้นจนผลิตน้ำและเมือกออกมามากขึ้น

หากเป็นภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ (Infective conjunctivitis) คุณอาจพบอาการเหล่านี้เพิ่มเติม

  • แสบร้อนในตา
  • รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมติดดวงตาอยู่
  • มีสารคัดหลั่งเหนียวเกาะบนขนตา โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนในตอนเช้า
  • ต่อมน้ำเหลืองที่หน้าใบหูโตขึ้น

หากเป็นภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis) มักพบอาการคันตา การแสดงอาการจะขึ้นอยู่กับว่าคุณแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด เช่น หากแพ้ละอองเกสร จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่คุณจะมีอาการอื่นๆ เช่น จาม คัดจมูก หรือจมูกตัน ร่วมด้วย

หากเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่นหรือขนสัตว์จะทำให้เกิดอาการได้ตลอดทั้งปี ตาทั้งสองข้างของผู้ป่วยมักจะระคายเคือง ซึ่งมักมีอาการแย่มากในช่วงเช้า บางคนมีภาวะแพ้ยาหยอดตา หรือมีการแพ้จากการสัมผัสของผิวหนังรอบดวงตา (Contact dermatoconjunctivitis) ซึ่งส่งผลให้เปลือกตาแห้งและปวดได้ บางคนแพ้คอนแทคเลนส์ (Giant papillary conjunctivitis) ซึ่งจะค่อยๆ ออกอาการอย่างช้าๆ และจะเกิดจุดขึ้นข้างใต้เปลือกตาส่วนบน โดยภาวะเยื่อบุตาอักเสบประเภทนี้จะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงที่สุด ทำให้คุณควรต้องเข้าพบแพทย์ทันทีที่ทำได้

ภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อบุตาอักเสบ

ภาวะเยื่อบุตาอักเสบเป็นภาวะที่น่ารำคาญ โดยเฉพาะภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ แต่ส่วนมากโรคนี้ไม่ทำอันตรายรุนแรงต่อสุขภาพใดๆ

ภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อบุตาอักเสบนั้นเกิดได้น้อย แต่หากเกิดขึ้นมักจะรุนแรง เช่น หากเกิดการติดเชื้อ ภายหลังเชื้ออาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย จนทำให้เกิดภาวะติดเชื้อทุติยภูมิขึ้น เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

โดยทั่วไป ภาวะเยื่อบุตาอักเสบมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ หากเกินกว่านี้แล้วยังไม่ทุเลาจะเรียกว่า ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อต่อเนื่อง (Persistent infective conjunctivitis)

หากคุณมีอาการอื่นๆ ผิดปกติ เช่น เจ็บปวดรุนแรง มองเห็นไม่ชัดเจน อ่อนไหวต่อแสงเพิ่มขึ้น อาจหมายความว่าคุณประสบกับภาวะที่ร้ายแรงกว่าเยื่อบุตาอักเสบ เช่น

  • ต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma) เป็นโรคต้อหินชนิดหายาก ทำให้เกิดการสะสมของแรงดันภายในดวงตาจนสร้างความเจ็บปวด
  • กระจกตาอักเสบ (Keratitis) หรือกระจกตา (Cornea) เกิดอาการบวมและมีแผล ภาวะนี้ทำให้เจ็บปวดและอ่อนไหวต่อแสงจ้ามากขึ้น (Photophobia) แผลยังอาจเกิดบนกระจกตาโดยตรง จนสร้างความเสียหายถาวรแก่กระจกตาได้
  • ม่านตาอักเสบ (Iritis) เกิดอาการบวมที่เนื้อเยื่อชั้นกลางภายในดวงตา ทำให้ปวดตา ปวดศีรษะ น้ำตาไหล

หากภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อเกิดในทารกแรกเกิด (เด็กที่อายุไม่เกิน 28 วัน) เด็กต้องเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที ซึ่งภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อในทารกนั้นหายาก และเมื่อได้รับการรักษาแล้ว ส่วนใหญ่จะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ

สาเหตุของเยื่อบุตาอักเสบ

ภาวะเยื่อบุตาอักเสบเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเยื่อบุตา (Conjunctiva) หรือชั้นเซลล์บางๆ ที่ปกคลุมส่วนหน้าของดวงตาเกิดการอักเสบขึ้น ส่วนมากมักเกิดจากสาเหตุดังนี้

  • ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ (Infective conjunctivitis) มักเกิดมาจากไวรัสหรือแบคทีเรีย หากเป็นภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสจะมีของเหลวลักษณะใสไหลออกจากดวงตา ในขณะที่ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียจะทำให้ของเสียที่ไหลออกมามีลักษณะคล้ายหนอง การเก็บตัวอย่างเชื้อจากดวงตาเพื่อตรวจสอบจะช่วยบอกสาเหตุของการติดเชื้อได้
  • ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis) เกิดขึ้นเมื่อดวงตาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ โดยเฉพาะสารที่มักทำให้คุณมีอาการแพ้อยู่แล้ว โดยภาวะประเภทนี้มี 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้
    1. ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาล (Seasonal allergic conjunctivitis) มักเกิดจากเกสร หญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ ไรฝุ่น สะเก็ดผิวตายจากสัตว์
    2. ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ตลอดปี (Perennial allergic conjunctivitis) ภาวะนี้จะเกิดกับผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้สารอื่นๆ ได้ง่ายมาก อย่างเช่น โรคหอบหืด และมักเกิดร่วมกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis)
    3. ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้สัมผัส (Contact dermatoconjunctivitis) มักเกิดจากยาหยอดตา แต่ก็สามารถเกิดจากสารเคมีหรือเครื่องสำอางได้ด้วย
    4. ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากคอนแทคเลนส์ (Giant papillary conjunctivitis) มักเกิดจากมือที่ไม่ได้ล้าง คอนแทคเลนส์โดนพื้นผิวที่ไม่สะอาด หรือใช้คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุ
  • ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการระคายเคือง (Irritant conjunctivitis) ส่วนมากเกิดจากน้ำคลอรีนในสระว่ายน้ำ แชมพู ขนตาที่เข้าไปเสียดสีกับเยื่อบุตา ควัน หรือน้ำหอม
  • ภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการระคายเคืองของไหมเย็บที่ใช้ในการผ่าตัดดวงตา ตาเทียม 

ใครที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

คุณอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อมากขึ้นด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้

  • คุณเป็นผู้สูงอายุหรือเด็ก เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ส่วนเด็กจะมีการสัมผัสถูกเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะในสถานศึกษา
  • คุณเคยประสบกับภาวะติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น เป็นหวัด
  • คุณเป็นเบาหวาน หรือมีภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • คุณกำลังใช้ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ ซึ่งตัวยาไปลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • คุณมีภาวะเปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และอาจส่งผลให้เกิดภาวะเยื่อบุตาอักเสบได้
  • คุณอยู่ในที่แออัด เช่น ในรถไฟฟ้าหรือรถโดยสารสาธารณะที่ผู้คนคับคั่ง

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์

ภาวะเยื่อบุตาอักเสบโดยส่วนมากไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล แต่หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะหากคุณคาดว่าสาเหตุเกิดจากการสวมใส่คอนแทคเลนส์ หรือสาเหตุอื่นที่คุณสงสัย เพื่อตรวจสอบหาต้นตอของภาวะเยื่อบุตาอักเสบหรือภาวะตาแดงที่มีความรุนแรงต่อดวงตาหรือระบบของร่างกายอื่นๆ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจตา รักษาโรคตาวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 437 บาท ลดสูงสุด 61%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

วิธีการวินิจฉัยภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

แพทย์จะสามารถวินิจฉัยภาวะเยื่อบุตาอักเสบได้ด้วยการสอบถามอาการและตรวจดวงตา ทั้งนี้ หากคุณสามารถบอกได้ว่า ภาวะเยื่อบุตาอักเสบของคุณเกิดขึ้นได้อย่างไรจะช่วยให้แพทย์หาชนิดและตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจแนะนำให้คุณรับการทดสอบเพิ่มเติม เช่น การทดสอบการปนเปื้อนเพื่อระบุเชื้อ (Swab test) หากไม่ตอบสนองต่อการรักษา หรือเพื่อช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การเก็บตัวอย่างจะใช้ไม้ที่มีรูปร่างคล้ายก้านสำลี เก็บตัวอย่างจากเมือกบนดวงตาที่ติดเชื้อเพียงเล็กน้อย ส่งไปยังห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ หากอาการของคุณมีความรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษา จำเป็นต้องพบจักษุแพทย์เป็นการเฉพาะ

การรักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

ตามปกติ ภาวะเยื่อบุตาอักเสบหรือตาแดงจากการระคายเคืองจะหายไปเมื่อตาไม่สัมผัสถูกต้นตอสิ่งระคายเคืองแล้ว เช่น หากเกิดจากขนตาเสียดสีกับดวงตา เพียงนำขนตาออก อาการต่างๆ ก็จะทุเลาลงไปเองได้ภายในสองถึงสามวัน แต่หากมีอาการรุนแรง การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

หากเป็นเยื่อบุตาอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อ อาจมีการใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ

หากเป็นเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านภูมิแพ้ อย่างยาต้านฮิสตามีน (antihistamines) และหากเป็นไปได้ ต่อไปคุณควรเลี่ยงการสัมผัสถูกสารก่อภูมิแพ้นั้นๆ

ไม่ควรสวมคอนแทคเลนส์จนกว่าจะหายดี และควรทำความสะอาดของเสียที่เกาะติดบนเปลือกตาหรือขนตาด้วยน้ำและผ้าไหม

หากภาวะเยื่อบุตาอักเสบเกิดในเด็ก โดยเป็นการติดเชื้อจากโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงจำนวนมาก ควรต้องแยกกลุ่มเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ จนกว่าการติดเชื้อของพวกเขาจะหายไป ส่วนในผู้ใหญ่ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้อื่น หรือต้องใช้อุปกรณ์ทำงานร่วมกัน เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ควรหยุดงานจนกว่าของเสียจากดวงตาจะหายไป

การรักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

มีหลายวิธีในการรักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบ ได้แก่

  • ไม่ขยี้ตาแม้จะคันเพียงใด เนื่องจากจะทำให้อาการตาแดงแย่ลง
  • ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบดวงตา
  • ใช้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียม ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ยาประเภทนี้จะช่วยลดอาการปวดและเคืองตา อย่างไรก็ตาม ต้องใช้ยาตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง
  • เช็ดทำความสะอาดของเสียที่เกาะบนเปลือกและขนตาด้วยสำลีเช็ดทำความสะอาดชุบน้ำ
  • ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสดวงตา เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • ใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ตัวยาที่มักใช้กับภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อ คือ คลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) และกรดฟูซิดิก (Fusidic acid)
    • คลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) เป็นยาปฏิชีวนะตัวเลือกแรกสุด อยู่ในรูปแบบของยาหยอดตาหรือขี้ผึ้งป้ายตา สามารถหาซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ อย่างไรก็ตาม ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีและระยะเวลาการใช้ยา และศึกษาข้อมูลบนฉลากยาก่อนใช้
    • กรดฟูซิดิก (Fusidic acid) ยานี้จะนำมาใช้หากคลอแรมเฟนิคอลไม่ได้ผล โดยมากมักใช้กับเด็กและผู้สูงอายุ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้บ่อย อีกทั้งยังเป็นการรักษาที่มักได้รับการแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ ทั้งนี้กรดฟูซิดิกก็อยู่ในรูปของยาหยอดตาที่ต้องใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือตามฉลากกำกับยาทุกครั้ง

การใช้ยาหยอดตาอาจทำให้เกิดอาการมองเห็นไม่ชัดชั่วขณะ ดังนั้นหลังใช้ยา ผู้ใช้ควรเลี่ยงการขับรถหรือใช้งานเครื่องจักรกล นอกจากนี้ทั้งคลอแรมเฟนิคอลและกรดฟูซิติกยังทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้ เช่น อาการแสบเล็กน้อย แต่ตามปกติควรจะเกิดขึ้นไม่นานแล้วหาย

  • ใช้ยาต้านฮิสตามีน หากคุณมีภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้และมีอาการค่อนข้างรุนแรง แพทย์จะจ่ายยาต้านฮิสตามีนให้ โดยยาต้านฮิสตามีนจะออกฤทธิ์เข้ายับยั้งกระบวนการการหลั่งสารฮิสตามีน (histamine) ที่ร่างกายปล่อยออกมาเมื่อต้องกับสารก่อภูมิแพ้ เพื่อป้องกันการเกิดอาการปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่จะส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายที่อาจรุนแรงต่อไป ยาต้านฮิสตามีนสำหรับบรรเทาอาการเยื่อบุตาอักเสบมีทั้งยาหยอดตาและยารับประทาน
    • ยาต้านฮิสตามีนชนิดหยอดตา ได้แก่ Azelastine (ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี) Emedastine (ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี) Ketotifen (ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี) Antazoline ที่มี Xylometazoline (Otrivine-Antistin ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี)
      Antazoline ที่มี Xylometazoline (Otrivine-Antistin) สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ กระนั้นผู้ใช้ก็ต้องปฏิบัติตามคู่มือการใช้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะหากเป็นผู้กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนใช้ยาหยอดตากลุ่มนี้ทุกครั้ง
    • ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทาน ได้แก่ Cetirizine, Fexofenadine หรือ Loratadine แพทย์มักจะกำหนดให้คุณรับประทานยาต้านฮิสตามีนเพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้น
      หากเป็นไปได้ แพทย์จะไม่จัดยาต้านฮิสตามีนให้แก่ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือต้องให้นมบุตร แม้ว่าขณะที่ใช้ยาต้านฮิสตามีนในช่วงแรกจะไม่ทำให้ง่วงนอน แต่ยากลุ่มนี้ยังคงออกฤทธิ์กดประสาท และหากใช้ยาปริมาณสูงหรือใช้ร่วมกับการบริโภคแอลกอฮอล์จะยิ่งทำให้ผลข้างเคียงในการกดประสาทรุนแรงมากขึ้น
  • ใช้ยายับยั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Mast cell (Mast cell stabilisers) ยากลุ่มนี้ต่างจากยาต้านฮิสตามีนตรงที่ช่วยบรรเทาอาการได้ไม่เร็วเท่า แต่มีฤทธิ์ควบคุมอาการได้นานกว่า ผู้มีอาการเยื่อบุตาอักเสบจะต้องใช้ยานี้นานหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผล ดังนั้น แพทย์จึงอาจจ่ายยาต้านฮิสตามีนให้คุณใช้ร่วมไปด้วยกันก็ได้ ยายับยั้งการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด Mast cell stabilisers มักจะอยู่ในรูปของยาหยอดตา เช่น Lodoxamide, Nedocromil sodium, Sodium cromoglicate
  • ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ หากอาการเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้มีความรุนแรงเป็นพิเศษ อาจต้องใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดยาภายนอก เช่น ครีม เจล หรือขี้ผึ้ง สักระยะหนึ่ง ยากลุ่มนี้มักไม่แนะนำให้ใช้ นอกเสียจากจะจำเป็นจริงๆ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ 

สิ่งสำคัญคือ หากคุณยังมีอาการเจ็บตา อ่อนไหวต่อแสง สูญเสียการมองเห็น หรือมีอาการตาแดงที่รุนแรง ไม่ว่าจะข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง หลังผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้ารับการทดสอบหาภาวะติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infections (STIs)) เนื่องจากโรคในกลุ่ม STIs บางโรค เช่น หนองในเทียม (Chlamydia) อาจเป็นสาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบจากการติดเชื้อได้ด้วย และหากเป็นเช่นนั้นจริง อาการของคุณอาจเกิดขึ้นต่อเนื่องนานหลายเดือน

การป้องกันภาวะเยื่อบุตาอักเสบ

ควรล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ และอย่าใช้หมอนหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น



2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Karen K Yeung, Bacterial Conjunctivitis (Pink Eye) Medication (https://emedicine.medscape.com/article/1191730-medication), 3 January 2019.
Bennie H. Jeng (ed), Advances in Medical and Surgical Cornea: From Diagnosis to Procedure (https://www.springer.com/gb/book/9783662448878), Essentials in Ophthalmology, Springer-Verlag Berlin Heidelberg, 2014

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
7 สาเหตุของอาการตาบวม
7 สาเหตุของอาการตาบวม

รวมสาเหตุที่ทำให้ตาบวม แบบไหนอันตราย แบบไหนรักษาเองได้ หาคำตอบได้ที่นี่

อ่านเพิ่ม
สุนัขตาฟางเป็นอย่างไร รักษาได้หรือไม่?
สุนัขตาฟางเป็นอย่างไร รักษาได้หรือไม่?

อาการตาฟางในสุนัข สามารถพบได้ในสุนัขที่มีอายุ 6-7 ปีขึ้นไป หากพาไปพบสัตวแพทย์เร็ว ก็มีโอกาสรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติได้

อ่านเพิ่ม