คู่มือการกินดีอย่างสมดุล มีการรวบรวมสาระและคำแนะนำเพื่อการรับประทานอาหารอย่างสมดุลเพื่อสุขภาพที่ดีเอาไว้ โดยเนื้อหาในคู่มือนี้มีการแนะนำอาหารและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ที่ควรบริโภคและแนะนำปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับแต่ละวันหรือสำหรับแต่ละสัปดาห์
แผนภาพคู่มือกินดี ที่แสดงให้เห็นถึงปริมาณอาหารและเครื่องดื่มที่ควรบริโภคให้เหมาะสมในแต่ละหมวดหมู่อาหาร
อาหารหลัก 5 หมู่
คู่มือกินดีได้แบ่งอาหารและเครื่องดื่มที่เราบริโภคออกเป็น 5 หมู่ ดังนี้
- ผักและผลไม้
- มันฝรั่ง ขนมปัง ข้าว พาสต้า และอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
- อาหารประเภทเมล็ดถั่ว ธัญพืช ปลา ไข่ เนื้อ และอาหารจำพวกโปรตีนต่างๆ
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ผลิตภัณฑ์ทาขนมปัง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน
ดังนั้น เราจึงควรเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลายในแต่ละหมวดหมู่เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
ใครควรปฏิบัติตามคำแนะนำของคู่มือกินดี?
คู่มือนี้เหมาะสำหรับทุกคนที่มีปัญหาในเรื่องต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก
- ผู้ที่มีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารตามความเชื่อ
- ผู้ที่มีข้อจำกัดในเรื่องการบริโภคอาหาร
หากคุณมีความจำเป็นในเรื่องของการใช้ยารักษาโรคหรือการบริโภคอาหาร แนะนำให้ปรึกษาผู้ให้คำปรึกษาด้านอาหารเพื่อสุขภาพหรือนักโภชนาการเพื่อปรับวิธีการบริโภคอาหารตามคำแนะนำของคู่มือกินดี เพื่อให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
การใช้คู่มือกินดีกับทารกและเด็กเล็ก
สำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 – 5 ปี คู่มือกินดีแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการรับประทานอาหารประเภทเดียวกัน ในปริมาณที่เท่าๆ กันก่อนแล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนประเภทอาหารไปเรื่อยๆ ส่วนเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งมีความต้องการสารอาหารที่หลากหลาย คำแนะนำของคู่มือกินดีจึงไม่เหมาะสมกับเด็กวัยนี้
การใช้คู่มือกินดีในการบริโภคอาหารอย่างสมดุล
เราสามารถใช้คู่มือนี้ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นได้
- เมื่อเราต้องการวางแผนว่าต้องการรับประทานอาหารประเภทใดในแต่ละมื้อ
- เมื่อเราออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านหรือในวันที่เราต้องเลือกซื้ออาหารทานระหว่างทาง
- เมื่อเราต้องการทำอาหารหรือเตรียมอาหารทานเองที่บ้าน
- เมื่อเราเดินจ่ายตลาดเลือกซื้ออาหารเข้าบ้าน
โดยมื้ออาหารส่วนใหญ่ที่เรารับประทานในแต่ละวันนั้นเกี่ยวพันกันกับหมวดหมู่อาหารและเมื่อเราวางแผนการบริโภคอาหารแต่ละมื้อ เราจึงต้องคำนึงถึงส่วนประกอบที่นำมาปรุงอาหารด้วยว่าครบทั้ง 5 หมู่หรือไม่
ผักและผลไม้
ผักและผลไม้เป็นแหล่งของวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะเพื่อการรักษาสมดุลภายในร่างกาย ทั้งยังช่วยป้องกันปัญหาระบบย่อยอาหารได้ด้วย
ผักและผลไม้เป็นหนึ่งในอาหาร 5 หมู่และถือเป็น 1 ใน 3 ของอาหารทั้งหมดที่คุณควรบริโภคต่อมื้อ
ปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานผักและผลไม้
เราควรวางเป้าหมายการบริโภคผักและผลไม้ให้ได้อย่างหลากหลายอย่างน้อย 5 จานในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตาม มันฝรั่งจะไม่ถูกนับรวมให้อยู่ในกลุ่มผักและผลไม้เนื่องจากมันฝรั่งถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตนั่นเอง
เราสามารถเลือกซื้อผักและผลไม้มารับประทานได้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดทั้งแบบสด แช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง หรือแบบน้ำผักผลไม้ก็ได้
ปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานต่อครั้ง
ปริมาณการรับประทานต่อครั้งคือ 80 กรัม หรือทางเลือกต่อไปนี้
- แอปเปิ้ล ลูกแพร์ กล้วย ส้ม จำนวน 1 ลูก หรือผลไม้ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
- น้ำผลไม้หรือสมูทตี้ 1 แก้ว ปริมาณ 150 มล. โดยนับเป็นปริมาณการดื่มทั้งวันไม่ว่าเราจะดื่มกี่ครั้งต่อวันก็ตาม นั่นเพราะน้ำผลไม้จะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าและมีปริมาณใยอาหารน้อยกว่าผลไม้สดนั่นเอง
- ผัก ผลไม้สด ผลไม้กระป๋อง หรือผลไม้แช่อิ่ม จำนวน 3 ช้อนโต๊ะ
- ผลไม้ตากแห้ง จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ โดยแนะนำให้รับประทานระหว่างมื้ออาหาร
- สลัดผักหรือผลไม้ จำนวน 1 ถ้วย
มันฝรั่ง ขนมปัง ข้าว พาสต้า และอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
อาหารจำพวกนี้เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ให้พลังงานและเปี่ยมไปด้วยใยอาหาร โดยเป็นหนึ่งในอาหาร 5 หมู่และถือเป็น 1 ใน 3 ของอาหารทั้งหมดที่คุณควรบริโภคต่อมื้อ
ปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
อาหารประเภทแป้งควรถูกจัดสรรให้บริโภคเพียง 1 ใน 3 ของอาหารทั้งหมดที่ควรรับประทานต่อมื้อ
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืชหรือข้าวกล้อง นั่นเพราะอาหารเหล่านี้มีใยอาหารสูงและมีปริมาณสารอาหารมากส่งผลให้เกิดการย่อยได้ช้าลงทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น นอกจากนี้ เมื่อเตรียมอาหารเหล่านี้ควรลดปริมาณการใช้น้ำมันจากพืชจำพวกน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวันหรือผลิตภัณฑ์ทาขนมปังแบบ low-fat ทั้งหลาย
อาหารประเภทเมล็ดถั่ว ธัญพืช ปลา ไข่ เนื้อ และอาหารจำพวกโปรตีนต่างๆ
อาหารเหล่านี้ถือเป็นแหล่งของโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต่อร่างกายที่ต้องบริโภคอาหารจำพวกนี้ในทุกมื้ออาหาร นอกจากนี้โปรตีนยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายเราด้วย
เนื้อ
เนื้อบางประเภทมีปริมาณไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ดังนั้นประเภทเนื้อที่เราเลือกและวิธีการปรุงอาหารจึงส่งผลต่อสิ่งที่ร่างกายจะรับเข้าไป ดังนั้นเราจึงต้อง
- พยายามเลือกซื้อเนื้อที่ไม่มีไขมันและหลีกเลี่ยงการใช้เนยหรือน้ำมันในการปรุงอาหาร แนะนำให้ใช้วิธีการย่างแทนการทอด
- เมื่อเตรียมเนื้อเพื่อปรุงอาหาร ควรหั่นส่วนที่มีไขมันและส่วนหนังออก
- บริโภคเนื้อสำเร็จรูปให้น้อยลง เช่น ไส้กรอก เบคอน และเนื้อหมักต่างๆ หากคุณรับประทานเนื้อแดงหรือเนื้อสำเร็จรูปมากกว่า 90 กรัมในแต่ละวัน แนะนำให้ลดปริมาณการบริโภคลงให้เหลือเพียง 70 กรัมต่อวัน
อาหารประเภทเมล็ดถั่วและธัญพืช
เมล็ดถั่วและธัญพืชเป็นอาหารที่มีไขมันต่ำและดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นอาหารประเภทโปรตีนที่มีราคาถูก สามารถหาซื้อมาบริโภคได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดถั่วต่างๆ ถั่วลูกไก่ ถั่วเลนทิล และถั่วลันเตา เป็นต้น
ปลา
เราสามารถเลือกซื้อปลามาบริโภคได้ ไม่ว่าจะเป็นปลาสด ปลาแช่แข็ง หรือปลากระป๋อง แต่ทว่าปลาที่มาในรูปแบบของปลากระป๋องหรือปลารมควันมักมีส่วนประกอบของเกลือหรือโซเดียมสูง เพื่อสุขภาพที่ดีแนะนำให้
รับประทานปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยกำหนดให้ 1 มื้อมีปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน หรือปลาทูน่าสด เป็นต้น
ไข่
ไข่มีสารอาหารต่างๆ ดังนี้
ไข่ต้ม ไข่กวน หรือไข่ลวก ที่ไม่มีการปรุงโดยใช้น้ำมันต่างดีต่อสุขภาพมากกว่าการปรุงด้วยน้ำมันหรือการทอด แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ เนย หรือชีส ร่วมกับการทานไข่
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมและผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้บริโภคนม
ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมต่างๆ ดังนี้ นมสด ชีส โยเกิร์ต โยเกิร์ตชีส (fromage frais) โยเกิร์ตเปรี้ยว (quark) และครีมชีส รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่นๆ ที่อาจไม่ได้มีส่วนประกอบของนม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมถั่วเหลืองหรือนมถั่ว ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีน วิตามิน และแคลเซียม ที่มีประโยชน์และดีต่อกระดูกและฟัน เมื่อต้องเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แนะนำให้ซื้อแบบไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือมีการเติมสารแคลเซียม
ปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมหรือผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่นๆ
เราจำเป็นต้องวางเป้าหมายการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมให้มีความหลากหลาย เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางชนิดอย่างชีสหรือโยเกิร์ตแต่งรสแต่งกลิ่นนั้นมีปริมาณไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง ดังนั้นเราควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณไขมัน น้ำตาล และเกลือต่ำ
นมกึ่งพร่องมันเนย นมพร่องมันเนย หรือนมไขมันต่ำจะมีปริมาณไขมันน้อยกว่านมไขมันเต็มสัดส่วน ซึ่งยังคงมีปริมาณแคลเซียมและโปรตีนเช่นเดิม นอกจากนี้ โยเกิร์ตไขมันต่ำและโยเกิร์ตชีส (fromage frais) ก็มีปริมาณไขมันต่ำกว่าโยเกิร์ตไขมันเต็มสัดส่วนเช่นกัน อย่างไรก็ตามอย่าลืมอ่านฉลากบริโภคเพื่อพิจารณาปริมาณน้ำตาลด้วย
ปริมาณการบริโภคต่อครั้ง
ยกตัวอย่างปริมาณที่ควรบริโภคต่อครั้ง:
- นม 1 แก้ว (200 มล.)
- โยเกิร์ต 1 ถ้วย (125 มล.)
- ชีสขนาดประมาณกล่องไม้ขีดไฟ (25 กรัม)
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันและผลิตภัณฑ์ทาขนมปัง
แนะนำให้บริโภคอาหารประเภทนี้ในปริมาณที่จำกัด นั่นเพราะอาหารเหล่านี้มีไขมันสูงมาก แม้ไขมันบางชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่การบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปนั้นไม่เป็นผลดี
ไขมันอิ่มตัว
ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์จะส่งผลให้มีปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นได้ และปริมาณคอเลสเตอรอลที่มากเกินไปนั้นอาจเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงต่างๆ ได้ ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองด้วย ซึ่งไขมันอิ่มตัวพบมากใน...
- เนยและน้ำมันเนย
- มาการีนและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันหรือไขมันไฮโดรเจน
- น้ำมันหมู
- มันของเนื้อสัตว์
- น้ำมันปาล์ม
- น้ำมันมะพร้าว
หากจำเป็นต้องบริโภคไขมันอิ่มตัวเหล่านี้ แนะนำให้ใช้ในปริมาณน้อย
ไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายและสามารถช่วยปรับระดับคอเลสเตอรอลให้เหมาะสมต่อร่างกายได้ เรียกได้ว่าเป็นไขมันชนิดดีนั่นเอง ไขมันไม่อิ่มตัวส่วนใหญ่ได้มาจากพืช โดยพบมากใน...
- มะกอก พืชตระกูลกะหล่ำ ข้าวโพด และน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ทาขนมปังที่ได้จากงา
- น้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ทาขนมปังที่ได้จากถั่ว
ผลิตภัณฑ์ทาขนมปังที่มีไขมันต่ำถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้เนยเป็นการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวได้
ปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันและผลิตภัณฑ์ทาขนมปัง
เนื่องจากไขมันจากน้ำมันและผลิตภัณฑ์ทาขนมปังนั้นเป็นสาเหตุทำให้มีปริมาณคอเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องบริโภคในปริมาณน้อยเพื่อสุขภาพที่ดี โดยมีแนวทางการบริโภค ดังนี้
- สำหรับผู้ชาย ควรบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 30 กรัมต่อวัน
- สำหรับผู้หญิง ควรบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน
น้ำดื่มและเครื่องดื่มต่างๆ
การดื่มน้ำปริมาณมากเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและทำงานได้อย่างปกติ
ปริมาณการดื่มน้ำและเครื่องดื่มต่างๆ
เราควรตั้งเป้าหมายการดื่มน้ำให้ได้ 6 – 8 แก้วในแต่ละวัน โดยเป็นน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มต่างๆ ดังนี้
- น้ำเปล่า
- น้ำหวานหรือน้ำอัดลม แนะนำให้เลือกดื่มแบบไม่มีน้ำตาล
- นมสดไขมันต่ำ
- ชาหรือกาแฟ ซึ่งกาแฟบางชนิดอาจมีปริมาณไขมันและน้ำตามสูง เช่น ลาเต้หรือมอคค่า เป็นต้น
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- น้ำผลไม้หรือสมูทตี้ แนะนำให้ดื่มไม่เกิน 150 มล.ต่อวัน
ระหว่างการออกกำลังกายหรือช่วงที่มีสภาพอากาศร้อน เราอาจต้องดื่มน้ำมากกว่าปกติเพื่อป้องกันไม่ไห้ร่างกายขาดน้ำ
น้ำผลไม้และน้ำผลไม้ปั่นหรือสมูทตี้
น้ำผลไม้และสมูทตี้เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ อย่างไรก็ตามไม่ควรดื่มเกิน 150 มล.ต่อวัน เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มีปริมาณน้ำตาลสูง เพราะหากดื่มมากกว่านี้จะทำให้เราได้รับน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง
เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูงมีลักษณะดังต่อไปนี้
- ให้ปริมาณพลังงานแคลอรี่สูงและมีสารอาหารที่มีประโยชน์น้อย
- เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการมีน้ำตาลส่วนเกินหรือมีน้ำหนักเกินในเด็กและผู้ใหญ่
หากต้องการควบคุมน้ำหนัก แนะนำให้เปลี่ยนการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาเป็นการดื่มน้ำเปล่า เครื่องดื่มไม่มีน้ำตาล หรือไม่เติมน้ำตาลเพิ่มลงในเครื่องดื่มใดๆ จะดีต่อสุขภาพมากกว่า
เครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน
เครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ หรือน้ำอัดลมบางประเภท รวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง ต่างส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะทำให้เรารู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นจึงทำให้เกิดการสูญเสียน้ำมากกว่าปกติได้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะร่างกายขาดน้ำ แนะนำให้ดื่มน้ำมากกว่าปกติเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปริมาณแคลอรี่จำนวนมากซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกายหากดื่มในปริมาณมากและบ่อยครั้ง โดยปริมาณของแคลอรี่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
- ประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ปริมาณที่ดื่มเข้าไปในร่างกาย
ประเภทของเครื่องดื่มที่นำมาผสม
ตัวอย่างปริมาณแคลอรี่ที่มีอยู่ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิด
- เบียร์ 1 ไพนต์หรือประมาณ 473 มล.ที่มีแอลกอฮอล์ 5% มีปริมาณแคลอรี่ 182 กิโลแคลอรี่และมีปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.3 ยูนิต
- สุรากลั่น (spirits) 1 ช๊อต ขนาด 25 มล.ที่มีแอลกอฮอล์ 40% มีปริมาณแคลอรี่ 61 กิโลแคลอรี่และมีปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 1 ยูนิต
- ไวน์ 1 แก้วขนาดกลางหรือประมาณ 175 มล.ที่มีแอลกอฮอล์ 13% มีปริมาณแคลอรี่ 159 กิโลแคลอรี่และมีปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 2.3 ยูนิต
- Alcopop หรือพวกเหล้าอัดลมซ่าๆ 1 ขวดหรือประมาณ 275 มล.ที่มีแอลกอฮอล์ 4% มีปริมาณแคลอรี่ 170 กิโลแคลอรี่และมีปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 1.1 ยูนิต
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้จำกัดปริมาณการดื่มเอลกอฮอล์อยู่ที่ไม่เกิน 14 ยูนิตต่อสัปดาห์จึงจะเป็นปริมาณที่พอเหมาะและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
อาหารที่มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลในปริมาณสูง
อาหารที่มีไขมัน เกลือ หรือน้ำตาลในปริมาณสูง และมีสารอาหารน้อย จัดให้อยู่ในพวก 'discretionary foods' หรืออาหารที่ให้พลังงานและสารอาหารต่ำที่ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดอาหารจานหลัก เช่น
- ช๊อกโกแลตและขนมหวาน
- ขนมกรุบกรอบ
- เค้ก ขนมปังกรอบ และขนมอบ
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
ซึ่งเราสามารถทานอาหารประเภทนี้ได้เป็นครั้งคราวในปริมาณที่น้อยเพื่อการควบคุมน้ำหนักและเพื่อสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตามพบว่าหลายคนทานอาหารประเภทนี้ในปริมาณที่มากและบ่อยเกินไปจนอาจส่งผลต่อการมีน้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน มีภาวะเสี่ยงต่อการมีความดันโลหิตสูง และฟันผุ
ฉลากโภชนาการ
มีอาหารบรรจุเสร็จจำนวนมากที่ปรากฏฉลากโภชนาการอยู่ด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปริมาณสารอาหารที่ผู้บริโภคจะได้รับ และฉลากโภชนาการสามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นและสามารถเลือกอาหารที่ให้พลังงานต่ำ มีปริมาณไขมัน ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และเกลือน้อย อย่างในต่างประเทศ ระดับสีของฉลากโภชนาการถูกนำมาใช้เพื่อให้ผู้บริโภคสังเกตได้ง่ายขึ้นว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดให้สารอาหารระดับน้อย ปานกลาง หรือมาก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารอาหารมากฉลากจะมีสีเขียว ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารอาหารน้อยฉลากจะมีสีแดง เป็นต้น