ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก "คอลลาเจน (Collagen)" หนึ่งในสารอาหารยอดนิยม ตัวช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส ที่เป็นส่วนผสมสำคัญในครีมทาผิว ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องดื่ม หรือแม้กระทั่งผสมลงไปในขนมขบเคี้ยว ซึ่งในวันนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักคอลลาเจนกัน
คอลลาเจนคืออะไร?
คอลลาเจน คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวของ กรดอะมิโน (Amino Acid) หลายชนิดต่อกัน โดยปกติร่างกายมนุษย์จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น ขน และเส้นผม รวมไปถึงเนื้อเยื่อทั้งหมดในร่างกาย
ผลิตภัณฑ์สำหรับเข่าและกระดูก สูตรเฉพาะ รวมสารสกัดที่ผ่านงานวิจัย คอลลาเจน UC-II ขมิ้นชัน งาดำ และวิตามิน
ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
คอลลาเจนจะทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆ โดยคอลลาเจนจะผลิตได้มากในขณะที่เราอายุยังน้อย และจะค่อยๆ ลดปริมาณการผลิตลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนลดลง ปัจจัยต่างๆ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ก็มีส่วนให้ปริมาณการผลิตคอลลาเจนลดลงได้อีกด้วย
เมื่อปริมาณคอลลาเจนลดลงก็จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ กับผิวพรรณ เช่น ผิวพรรณขาดความกระชับ หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และเกิดความหมองคล้ำ จึงทำให้คนส่วนมากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนมาทดแทนในส่วนที่ขาดหายไปนั่นเอง
คอลลาเจนเกี่ยวข้องกับผิวพรรณอย่างไร?
ผิวหนังแบ่งเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า หนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
คอลลาเจนมีความสัมพันธ์กับชั้นหนังกำพร้า หรือหนังชั้นนอกในเรื่องของการเกิดสิว ฝ้า กระ
ส่วนหนังแท้จะเกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยแห่งวัย เนื่องจากในผิวชั้นนี้จะประกอบด้วยโปรตีนเส้นใย 2 ชนิดทำงานร่วมกัน คือ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเข่าและกระดูก สูตรเฉพาะ รวมสารสกัดที่ผ่านงานวิจัย คอลลาเจน UC-II ขมิ้นชัน งาดำ และวิตามิน
ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- คอลลาเจนและอีลาสติน ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างให้ความเหนียว ตึง แข็งแรง และเรียบเนียนของผิวหนัง ส่วนอีลาสตินทำหน้าที่ให้ความหยืดหยุ่นต่อผิวหนัง
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เป็นส่วนที่รองให้ผิวหนังคงรูปร่าง สามารถรับแรงกระแทก ตลอดจนสะสมพลังงานให้กับร่างกาย
เรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่าง คือ เรื่องของความอ่อนเยาว์ ที่เกิดจากผลของการทำงานร่วมกันระหว่างชนิดของคอลลาเจนที่เรียกว่า "โซลูเบิลคอลลาเจน (Soluble Collagen)" กับอีลาสติน ที่ผสานกันทำหน้าที่ช่วยให้เซลล์สามารถอุ้มน้ำ และความชุ่มชื้นไว้ได้ เซลล์ในผิวหนังจึงเต่งตึง และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนชนิดนี้จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นคอลลาเจนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "อินโซลูเบิลคอลลาเจน (Insoluble Collagen)" กลายเป็นโปรตีนที่ทนต่อสารเคมีมากขึ้น ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่นของเซลล์ไป
อีกทั้งคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นต่อเซลล์ผิวลดลงตามลำดับ ส่งผลให้เกิดผิวหนังเกิดการยุบตัว กลายเป็นริ้วรอยบนใบหน้า หรือผิวหนังในบริเวณอื่นตามมา
คอลลาเจนในอาหารมีอะไรบ้าง?
นอกจากคอลลาเจนจะสามารถผลิตขึ้นได้เองภายในร่างกายของมนุษย์แล้ว เรายังสามารถพบคอลลาเจนได้จากแหล่งอาหารอื่นๆ เช่น ปลาทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วหลากสี พืชผักใบเขียว เห็ดชนิดต่างๆ ผักผลไม้สีแดงส้ม เอ็นหมู และเอ็นวัว
เราควรเลือกอาหารเสริม หรือครีมผสมคอลลาเจน?
เป็นธรรมดาเมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาริ้วรอยต่างๆก็ตามมา ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจกับเรื่องนี้กันมาก ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนจำนวนมากที่ช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอย ทำให้ผิวเต่งตึง
แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็ยังมีส่วนผสมของสารเคมีอยู่ด้วย และบางผลิตภัณฑ์เมื่อใช้ไปแล้วก็อาจไม่เกิดผลที่ควรจะได้รับ
ผลิตภัณฑ์สำหรับเข่าและกระดูก สูตรเฉพาะ รวมสารสกัดที่ผ่านงานวิจัย คอลลาเจน UC-II ขมิ้นชัน งาดำ และวิตามิน
ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เนื่องจากคอลลาเจนที่เป็นส่วนผสมมีโมเลกุลใหญ่เกินไป เป็นเหตุให้ร่างกายไม่ปล่อยให้คอลลาเจนเหล่านั้นผ่านชั้นผิวหนังเข้าไป ดังนั้น การบริโภคอาหารเสริมที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนทดแทน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
อาหารที่มีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจนทดแทน
- ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง (Soy Bean) เช่น นมถั่วเหลือง โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลืองจะมีเจนีสทีน (Genistein) เป็นองค์ประกอบ ช่วยให้เกิดการผลิตคอลลาเจน และป้องกันเอนไซม์ที่ทำลายผิว
- ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักโขม (Spinach) กะหล่ำปลี (Cabbage) และผักคะน้า (Kale) ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน (Lutien) เป็นส่วนประกอบ ผักเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความสามารถของร่างกายในการผลิตคอลลาเจน และก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สารต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในหัวผักกาด (Beets) พริกแดง (Red Peppers) บลูเบอร์รี่ (Blueberries) พรุน (Prunes) ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน
- ผลไม้สีแดงและผัก ในผักประเภทนี้จะมี ไลโคปีน (Lycopene) เป็นองค์ประกอบ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและยังส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอีกด้วย
- วิตามินซี (Vitamin C) ที่อยู่ในผักและผลไม้ ทำให้ร่างกายสร้างและดูดซึมคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี จึงควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เช่น ส้ม มะนาว และสตรอเบอรรี่
- กรดโอเมก้า (Omega Acid) พบได้ใน ปลาแซลม่อน ปลาทูน่า ถั่วอัลมอนด์ และอะโวคาโด เนื่องจากผิวหนังของมนุษย์จะประกอบด้วยโปรตีนกรดโอเมก้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อผิวพรรณ
- วิตามินอี (Vitamin E) เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากสองปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนสลาย ได้แก่ แสงแดด และอนุมูลอิสระ ซึ่งวิตามินอี จะช่วยให้ริ้วรอยลดลง เพิ่มความอ่อนนุ่ม และเรียบเนียนให้กับผิว โดยอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินอี ได้แก่ ข้าวโพด ผักโขม จมูกข้าวสาลี และมะกอก
- วิตามินเอ (Vitamin A) มีเรติน-เอ (Retine-a) ที่ช่วยในการปรับสีผม ขจัดผิวที่แห้ง รักษาความอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวดูกระชับขึ้น สำหรับอาหารที่เป็นแหล่งวิตามินเอ ได้แก่ แครอท นม เนื้อ ปลา เนยแข็ง ไข่ และตับ
- ทองแดง นับว่าเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์คอลลาเจน แต่เนื่องจากทองแดง คือ โลหะเป็นพิษ จึงควรรับทองแดงที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร เช่น น้ำอ้อย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วเขียว มะเขือเทศ มันฝรั่ง และผักคะน้า
- ไลซีน (Lysine) และโพรลีน (Proline) คือ กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบของคอลลาเจน โดยที่โพรลีนเป็นกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น และร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้จึงต้องรับจากอาหารเท่านั้น ได้แก่ นม เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู และปลา
สมุนไพรที่ช่วยการผลิตคอลลาเจน
นอกจากอาหารที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนแล้ว ยังมีสมุนไพรที่ช่วยส่งเสริมการผลิตคอลลาเจนอีกด้วย ได้แก่
- ว่านหางจระเข้ (Aloe) มีส่วนในการรักษาบาดแผลโดยการเพิ่มการผลิตคอลลาเจน
- บิลเบอร์รี่ (Bilberry) มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้คอลลาเจนคงตัว
- ดาวเรือง (Calendula) นักวิจัยเชื่อว่าครีมดาวเรืองจะช่วยรักษาแผลและช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้
- หญ้าหางม้า (Horsetail) มีซิลิกา (Silica) เป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการเพื่อผลิตคอลลาเจนและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- น้ำเต้า (Bottle gourd) มีสารไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยป้องกันริ้วรอย อีกทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย
- กวาวเครือขาว มีสารกลุ่มไฟโตเอสโทรเจน (Phytoestrogens) และโครมีน (Chromene) ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จากงานวิจัยพบว่า ไฟโตเอสโทรเจนและเอสโตรเจนจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นหนังแท้ได้ทั้งในเพศชาย และเพศหญิง
ความต้องการคอลลาเจนของร่างกาย
สำหรับคอลลาเจนที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะมีปริมาณที่แตกต่างกันออกไป โดยร่างกายของเราต้องการคอลลาเจน 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะได้รับคอลลาเจนอย่างเพียงต่อวันด้วยการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว
หากต้องเลือกประเภทคอลลาเจนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรพิจารณาผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
หากไม่แน่ใจในเรื่องของปริมาณการรับประทาน ความเหมาะสม และความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ หรือนักกำหนดอาหารที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เพื่อการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
เนื่องจากคอลลาเจนนั้นเป็นสารสกัดที่ได้มากจากพืช และสัตว์ จึงอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือในบางรายอาจมีอาการแพ้รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้
รับประทานคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
- ดื่มน้ำมากๆ คอลลาเจนนั้นต้องการ การละลายในการดูดซึมเข้าร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมคอลลาเจนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
- รับประทานวิตามินซี เพราะมีส่วนช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด เราจึงควรบริโภคคอลลาเจนควบคู่กับอาหารที่มี วิตามินซีสูง
- รับประทานขณะท้องว่าง มีงานวิจัยระบุไว้ว่า การเลือกบริโภคคอลลาเจนชนิดเม็ด หรือชนิดน้ำนั้น ควรรับประทานในช่วงเช้าขณะที่ท้องว่าง หรือก่อนรับประทานอาหารเช้า 30 นาที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนที่ดียิ่งขึ้น
อันตรายจากการฉีดคอลลาเจน
ปัจจุบันการเติมคอลลาเจนให้กับผิวกำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในคนที่อยากได้ผิวขาวเปล่งปลั่ง ทำให้การ "ฉีด" คอลลาเจน กลายเป็นค่านิยมแบบผิดๆ ที่เสี่ยงอันตรายต่อร่างกายของเราได้จนถึงขั้นเสียชีวิต
เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่อยู่ในรูปของไฟเบอร์ หากฉีดเข้าสู่เส้นเลือด หรือเส้นประสาท จะมีความเสี่ยงที่เกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองได้
ความจริงแล้ว คอลลาเจนไม่เคยได้รับการอนุญาติให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด และไม่ได้รับรองความปลอดภัยในการนำไปใช้ ซึ่งอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดคอลลาเจนได้ คือ
- เกิดความเสี่ยงต่อการแพ้สารคอลลาเจน อาจเกิดจากในตัวยาฉีดประกอบไปด้วยสารชนิดอื่นร่วมด้วย ทำให้ร่างกายมองคอลลาเจนเป็นสารแปลกปลอม ถึงแม้จะมีการสังเคราะห์โครงสร้างให้มีความใกล้เคียงกับคอลลาเจนใต้ชั้นผิวแล้วก็ตาม
แต่การแพ้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยไม่มีการบอกกล่าวอาการให้ทราบล่วงหน้า และระดับความรุนแรงของอาการแพ้ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ซึ่งผลของอาการแพ้อาจเกิดขึ้นในทันทีหลังฉีด หรือภายหลังจากนั้นเป็นสัปดาห์ไปแล้วก็ได้ - ปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดการช้ำ เรียกว่า "Trauma" เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีด ปลายเข็มที่ดันเอาสารคอลลาเจนเข้าไป
ในบริเวณดังกล่าวจะเกิดเป็นรอยแดง หรือรอยเขียวช้ำ เกิดอาการเจ็บ แสบ และบวมตามมาได้ แต่โดยทั่วไปจะสามารถหายไปได้เองภายใน 3 - 7 วัน - การเกิดตุ่มนูนบริเวณผิว จนทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน เกิดขึ้นได้จากการที่ผู้ฉีดไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ อาจจะฉีดในตำแหน่งที่ตื้นมากเกินไป หรือใช้ความเข้มข้นของคอลลาเจนมากเกินไป ซึ่งผิวที่เป็นตุ่มนูนเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อักเสบ และลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดตามมาได้
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับคอลลาเจนที่นำมาฝากกัน จะเห็นได้ว่า คอลลาเจนเป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุง และฟื้นฟูผิวให้กลับมาแลดูอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม หากใครเลือกที่จะบริโภคแล้วก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย แนะให้ไปปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android