ขิง (Ginger) เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่โดดเด่นเรื่องรสชาติ และกลิ่น ไม่ว่าจะนำมาแปรรูปทำเป็นเครื่องดื่ม หรือเป็นเมนูของหวาน ต่างก็ล้วนให้สรรพคุณที่ดีต่อร่างกายทั้งสิ้น
บางคนอาจทราบแค่ว่า ขิงช่วยแก้ท้องอืดได้ แต่จริงๆ ยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ข้อมูลทั่วไปของขิง
ขิง เป็นพืชล้มลุกในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Zingiber officinale Roscoe" และมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีก เช่น ขิงแกลง ขิงแดง ขิงเผือก สะเอ
ลักษณะของขิง เป็นพืชมีเหง้าใต้ดินเป็นข้อๆ เนื้อในสีขาว หรือเหลืองอ่อน ปลายสุดของข้อจะเป็นที่แทงยอด หรือลำต้นเทียม ลำต้นสูงพ้นพื้นดินขึ้นมา 50-100 เซนติเมตร มีกาบ หรือโคนใบหุ้ม
ลักษณะใบของขิง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นสองแถว ใบรูปหอก ปลายใบสอบเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ และจะเป็นกาบหุ้มลำต้นเทียม
ตัวดอกของชิงมีลักษณะเป็นช่อทรงกระบอก แทงขึ้นมาจากเหง้า กลีบดอกสีเหลืองอมเขียว อุ้มน้ำ และหลุดร่วงไว โคนกลีบดอกม้วนห่อ ส่วนปลายกลีบผายกว้างออก ใบประดับสีเขียว มีแต้มแดงตรงโคน ดอกเกสรผู้มี 6 อัน ผลแห้ง แข็ง มี 3 พู
ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
- เหง้า สรรพคุณ รักษาอาการแน่นจุกเสียด และอาการอาเจียน
สารสำคัญที่ออกฤทธิ์
- อนุพันธ์ของ Gingerol Shogaol และ Diarylheptanoids มีฤทธิ์ต้านการอาเจียน และช่วยขับลม
- สารในน้ำมันหอมระเหย เช่น Menthol Cineole มีผลลดอาการจุกเสียดได้
คุณค่าทางโภชนาการของขิง
ขิง 100 กรัม ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี่ และให้คุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
- โปรตีน 0.4 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 4.4 กรัม
- ไขมัน 0.6 กรัม
- เส้นใยอาหาร 0.8 กรัม
- เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 18 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม
- เบต้า-คาโรทีน 10 ไมโครกรัม
- วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
- ไธอะมีน 0.02 มิลลิกรัม
- ไนอะซีน 1 มิลลิกรัม
- ไลโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
ประโยชน์ของขิง
ขิง (Ginger) เป็นสมุนไพรที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู อีกทั้งยังมากไปด้วยสรรพคุณทางยาที่ช่วยในการรักษาโรคได้เป็นอย่างดี มีรสชาติเผ็ดร้อน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ขิงอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต เส้นใย และโปรตีน
อีกทั้งทุกส่วนของขิง เช่น ราก เหง้า ต้น แก่น ดอก ใบ และผล ล้วนนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด
ขิงไม่เพียงแต่มีประโยชน์เฉพาะทางด้านการประกอบอาหาร หรือทำให้รสชาติอาหารดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ทางด้านอื่นๆ รวมถึงมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายหลายด้าน ประโยชน์เหล่านั้นมีดังนี้
1. แก้อาการเมารถเมาเรือ
ขิงถือว่า มีกลิ่นที่แรง บวกกับการมีรสชาติที่เผ็ดอมเปรี้ยว จึงช่วยแก้อาการเมารถ เมาเรือได้ นอกจากนี้ ขิงยังช่วยแก้อาการแพ้ท้องสำหรับสตรีตั้งครรภ์ได้ กรณีที่ตั้งครรภ์ หากรับประทานขิงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทานเพื่อความปลอดภัย
2. แก้ปัญหาผมขาดร่วง
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมขาดร่วง แนะนำให้นำเหง้าขิงสดไปผิงไฟจนอุ่นแล้วนำมาตำให้แหลก จากนั้นนำมาพอกบริเวณที่มีผมขาดร่วงวันละ 2 ครั้ง จนกว่าอาการจะดีขึ้น
อีกวิธีคือ นำน้ำขิงสดคั้นผสมกับน้ำมันมะกอก จากนั้นนำมาหมักผม นวดให้ทั่วศีรษะแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีจึงล้างออก วิธีนี้จะช่วยลดปัญหาผมขาดร่วงได้ดี พร้อมทั้งช่วยให้สุขภาพผมแข็งแรง นุ่มลื่น และไม่ขาดง่าย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
3. ช่วยลดอาการท้องอืด
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ขิงช่วยบรรเทาอาการท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อยได้ เพียงแค่จิบน้ำขิง หรือจะรับประทานสดๆ ก็จะช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้แล้ว อีกทั้งขิงยังช่วยขับลม ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้อย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วย
4. บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
เมื่อมีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือเกิดอาการเมารถเมาเรือ มักจะใช้ขิงช่วยบรรเทาอาการ มีการศึกษาวิจัยค้นพบว่า ขิงมีส่วนช่วยในการป้องกัน และบรรเทาอาการอาเจียนหลังจากผ่าตัดได้ นอกจากนี้ขิงยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ และอาเจียนสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับเคมีบำบัดได้ด้วยเช่นกัน
5. บรรเทาอาการไมเกรน
ขิงสามารถบรรเทาอาการอาการปวดหัวไมเกรนได้ด้วย จากการศึกษาพบว่า การรับประทานขิงในช่วงที่อาการปวดไมเกรนกำลังกำเริบทำให้อาการปวดลดลง เพราะขิงจะช่วยยับยั้งฮอร์โมนที่เกี่ยวกับอาการอักเสบได้
นอกจากนี้ ขิงยังช่วยรักษาอาการไขข้ออักเสบได้ด้วยเช่นกัน มีการค้นพบว่า ผู้ที่มีอาการโรคข้อเข่าเสื่อม หรือเป็นโรครูมาตอยด์ อาการจะลดลงเมื่อรับประทานขิงผงเป็นประจำทุกวัน
มีการศึกษาในปี 2015 พบว่า ขิงอาจมีประโยชน์ และปลอดภัยกับโรคข้อเข่าเสื่อม แต่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
6. ลดความเสี่ยงของการเกิดความดันโลหิตสูง
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีรสจัด และเป็นสมุนไพรที่มีโซเดียมที่ต่ำมาก ซึ่งอาหารที่มีโซเดียมต่ำจะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
7. ลดระดับน้ำตาลในเลือด
ขิงมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ควรบริโภคตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากขิงอาจไปทำปฏิกิริยากับยาที่รับประทานอยู่ได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องติดตามผลของระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด หากรับประทานมากเกินไปก็จะทำให้ระดับอินซูลินลดลง และอาจทำให้ร่างกายอยู่ในขีดอันตรายได้
8. ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
ขิงมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาพบว่า ขิง ช่วยทำให้เซลล์มะเร็งในรังไข่ตายได้ เพราะสารเคมีในขิงจะไปกระตุ้นเอนไซม์กลูตาไธโน-เอส-ทรานสเฟอรเรส (Glutathione S-Transferases: GSTs) ซึ่งเอนไซม์ชนิดนี้ คือ สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้
9. รักษากรดไหลย้อน
กรดไหลย้อน เป็นภาวะที่เกิดจากกรด หรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมายังหลอดอาหาร ส่งผลทำให้หลอดอาหารอักเสบได้ แต่ขิงสามารถช่วยรักษากรดไหลย้อนได้เช่นกัน
วิธีทำง่ายๆ โดยการนำขิงแก่สด 2-3 แง่ง มาทุบให้ละเอียด จากนั้นต้มในน้ำเดือด ปิดไฟ รอให้อุ่น แล้วกรองมาดื่ม หรืออาจจะจิบในระหว่างวันบ่อยๆ จะช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้
10. ช่วยรักษาโรคต่างๆ อีกมากมาย
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ขิงยังมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้อีกมากมาย เช่น รักษาแผลน้ำร้อนลวก แก้อาการแพ้อาหารทะเลชนิดที่ผื่นคัน รักษาลมพิษ รักษาแผลเริมบริเวณแผ่นหลัง รักษาอาการปวดข้อ ช่วยฆ่าพยาธิ รักษาโรคนิ่ว
ที่สำคัญขิงยังเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียด้วย
เมนูเพื่อสุขภาพ
ขิง นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน และเครื่องดื่ม เพราะถึงแม้จะมีฤทธิ์เผ็ดร้อน แต่ก็ช่วยให้อาหารมีรสชาติดีขึ้นได้มาก ที่สำคัญคือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
1. มันต้มขิง
เมนูของหวานที่ได้รับความนิยมมากในช่วงหน้าหนาว เนื่องจากมันต้มขิงจะช่วยให้อิ่มท้องและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
วิธีทำไม่ยาก เพียงแค่นำมันมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้น (สามารถใช้มันม่วงได้) นำมันไปต้มให้สุก แล้วนำมาต้มกับน้ำเปล่าที่ทุบขิงใส่ไว้ หากใช้ขิงแก่จะเผ็ดมากกว่าการใช้ขิงอ่อน เมื่อน้ำเดือดก็สามารถใส่น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมได้ตามชอบ
2. เมนูผัดพริกขิง
วัตถุดิบที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด สามารถนำมาผัดพริกขิงได้ สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ หรือรับประทานเจ ก็สามารถใช้โปรตีนเกษตรทดแทนได้
วิธีทำไม่ยาก เพียงแค่เตรียมพริกแกงที่โขลกพร้อมกับขิงไว้แล้ว มาใช้ผัดให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยใบมะกรูดซอย และขิงซอยอีกครั้ง ก็ตักเสิร์ฟได้
3. หมู/ไก่ ผัดขิง
เมนูนี้จะออกรสชาติของขิงมากเป็นพิเศษ วิธีทำคือ หั่นหมู/ไก่เป็นชิ้นเล็กๆ ตั้งกระทะแล้วเจียวกระเทียมก่อน จากนั้นใส่เนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ลงไป ใส่ขิงซอย เห็ดหอม เห็ดหูหนู ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรสตามที่ต้องการ ผัดต่อไปให้เนื้อสัตว์สุก และขิงนิ่มลง จากนั้นปิดไฟตักใส่จาน
4. ไข่ต้มขิง
เปลี่ยนเมนูไข่ต้มธรรมดาให้เป็นไข่ต้มสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยการต้มไข่ให้สุก ปอกเปลือก แช่ไว้ในน้ำเย็นก่อน จากนั้นให้ต้มน้ำจนเดือด ใส่ซุปก้อนลงไป เตรียมหม้ออีกใบเพื่อต้มน้ำเช่นกัน แต่หม้อนี้จะใส่น้ำตาลปี๊บลงไปเพื่อเคี่ยวให้เป็นคาราเมล
เมื่อเหนียวและสีเปลี่ยนแล้วให้ใส่น้ำซุปลงไป เติมโชยุเล็กน้อย เอาไข่ต้มลงมาคลุกกับซอสนี้เพื่อให้เปลี่ยนสีสวยงาม
เมื่อไข่ต้มเปลี่ยนสีหมดแล้ว ก็ให้เอาน้ำซุปทั้งหมดเทลงไป เติมขิงซอย แล้วเคี่ยวจนกว่าน้ำจะลดลงเหลือแค่ 1/4 ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
5. แปรรูปเป็นเมนูต่างๆ
เรายังสามารถนำขิงมาใช้ในการแปรรูปเป็นเมนูอร่อยได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบัวลอยน้ำขิง ขิงเชื่อม ขิงกระป๋อง ขิงแช่อิ่ม และน้ำขิงมะนาว
การใช้ขิงเพื่อสุขภาพ
ขิงเป็นสมุนไพรไทยที่สามารถใช้ในการรักษาโรคได้อย่างหลากหลายดังนี้
1. ลดระดับความดันโลหิตในร่างกาย
ลดความดันโลหิตสูงได้ด้วยการรับประทานขิง เพียงแค่ฝานขิงสดบางๆ ต้มกับน้ำดื่มพอประมาณ ดื่มทุกวัน วันละ 1 แก้ว จะช่วยรักษาอาการความดันโลหิตสูงได้
2. บรรเทาอาการไข้สูง
เมื่อมีไข้สูงก็สามารถบรรเทาอาการไข้ด้วยขิงได้เช่นกัน โดยนำขิงสดมาคั้นให้ได้น้ำ 1/2 ถ้วย ผสมกับน้ำอุ่น และน้ำผึ้งเพื่อลดความเผ็ดร้อนลง จิบบ่อยๆ หรือดื่มวันละ 3 ครั้ง ไข้จะค่อย ๆ ลดลง
3. รักษาโรคหวัด
ขิง นำมาใช้เพื่อรักษาอาการไข้หวัด มีเสมหะได้ โดยให้นำขิงสดมาฝนกับน้ำมะนาวให้ได้น้ำข้นๆ ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง
4. รักษาอาการศีรษะล้าน
นำเหง้าขิงสดไปผิงไฟให้อุ่นจัด แล้วนำมาตำให้แหลกก่อนจะนำไปพอกบริเวณที่ผมร่วง หรือผมบางเป็นพิเศษ ควรพอกอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 1 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
ถ้าหากไม่สะดวกจะใช้วิธีนี้ให้คั้นน้ำขิงนำมาผสมกับน้ำมันมะกอกในอัตราเท่าๆ กัน แล้วนำมาใช้นวดศีรษะทิ้งไว้ 30 นาที นอกจากจะช่วยลดปัญหาผมร่วง และหัวล้านแล้ว ยังทำให้เส้นผมแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
5. บำรุงผิวพรรณให้เรียบเนียน
อยากมีผิวที่สวยเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ ทำได้ง่ายๆ ด้วยการนำขิงสดมาขูดเป็นฝอย จากนั้นนำมานวดที่บริเวณต้นขา ก้น รวมทั้งบริเวณที่มีเซลลูไลท์ เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความขรุขระของผิว ทำให้ผิวกลับมาสวยเรียบเนียนเหมือนเดิม
6. ใช้ล้างปากหลังรับประทานอาหาร
จะเห็นได้ว่า อาหารญี่ปุ่นจะมีจานสำหรับใส่ขิงดองเพราะคนญี่ปุ่นนิยมรับประทานขิงดองล้างปากหลังรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้รสชาติอาหารจานเดิมติดอยู่ในปากจนทำให้เกิดความรู้สึกเลี่ยนจนไม่สามารถรับประทานเมนูต่อไปได้
ที่สำคัญขิงดองยังช่วยทำให้เราลิ้มรสอาหารจานต่อไปได้เต็มที่
7. ดับกลิ่นในช่องปาก
อีกหนึ่งคุณประโยชน์ของขิงคือ ช่วยลดกลิ่นปาก โดยนำขิงมาคั้นแล้วผสมกับน้ำอุ่น ผสมเกลือลงไปเล็กน้อย จากนั้นนำมาบ้วนปาก แค่นี้ก็ช่วยลดกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยฆ่าเชื้อโรคในปากได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังช่วยรักษาภาวะน้ำลายมาก และอาเจียนเป็นน้ำใสได้เช่นกัน
8. รักษาอาการปวดฟัน
การรักษาอาการปวดฟันด้วยขิงนั้น ทำได้ง่าย โดยการนำขิงแก่มาทุบละเอียด จากนั้นนำไปคั่วกับสารส้มจนเกรียม บดให้เป็นผง แล้วพอกบริเวณฟัน วิธีนี้ช่วยรักษาอาการปวดให้หายได้เป็นปกติ
9. แก้อาการสะอึก
เมื่อมีอาการสะอึก แนะนำให้นำขิงสดมาตำให้จนแหลกเพื่อคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นนำมาผสมกับน้ำผึ้งแท้เพียงเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วดื่ม สักพักอาการสะอึกจะหายไป
ข้อควรระวังเกี่ยวกับขิงที่ควรรู้
- แม้ว่าขิงจะมีประโยชน์หลากหลาย แต่อย่าลืมว่าขิงมีฤทธิ์เผ็ดร้อน หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดแผลในปากได้
- ขิงมีสรรพคุณต้านการแข็งตัวของเลือด หากคุณมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือด หรือกำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ ไม่ควรรับประทานขิงเป็นอันขาด หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- ไม่ควรรับประทานขิงเกินวันละ 4 กรัมต่อวัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
- เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์จึงไม่ควรรับประทานขิง อย่างไรก็ตาม บางการศึกษากลับให้ข้อมูลว่า ขิงไม่ส่งผลเสียแต่อย่างใด ดังนั้นเพื่อความมั่นใจ ควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพแบบต่างๆ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android