ช็อก เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อในร่างกายได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ขาดออกซิเจน อาจเนื่องมีปริมาณเลือดลดลง หัวใจบีบตัวไม่มีปะสิทธิภาพหรือหลอดเลือดหดรัดตัวไม่ดี หรือมีระบบการไหลเวียนเลือดล้มเหลว
สาเหตุของการช็อก
เกิดได้หลายสาเหตุ ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ช็อกจากการเสียน้ำ/เสียเลือด (Hypovolemic shock) โดยมีเลือดออกทางบาดแผล ในทางเดินอาหาร ช่องเยื่อหุ้มปอด ตกเลือดหลังคลอด หรือหลังจากการแท้งบุตร การเสียน้ำและอิเล็กโทรไลด์ในผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก จากการอาเจียน ท้องเสีย ลำไส้ทะลุ โรคไต หรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ
- ช็อกจากความผิดปกติของหัวใจ (Cardiogenic shock) ทำให้หัวใจทำงานหรือบีบเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ มีผลให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง (Cardiomyopathy) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Mycordial infarction) หัวใจวาย XCardiac standstill) หัวใจถูกกด (Cardiac tamponade) เป็นต้น
- ช็อกจากระบบประสาท (Neurogenic shock) เกิดจากอุบัติเหตุที่สมองไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือน อาจเกิดจากการได้รับยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาสลบเกินขนาด
- ช็อกจากระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine and Metabolic shock) เกิดจากผู้ป่วยโรค Addison’s crisis, Hypothyroidism, Pheochomocytoma, Hypopituitarism (Sheehan’s syndrome), Hypoglycemic shock, Diabetic shock
- ช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock) เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อเข้าสู่กระแสเลือด (Septiccmia) ในผู้ป่วยโรคเลือด โรคเอสแอลดี โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์
- ช็อกจาการแพ้ยา (Anaphylactic shock) เกิดจากการแพ้ยาปฏิชีวนะ (Penicillin)
อาการช็อก
ระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย สับสน หงุดหงิด ซึม ไม่รู้สึกตัว ความดันเลือดต่ำ (Systolic BP ต่ำกว่า 50-90 มม.ปรอท หรือต่ำทั้ง Systolic BP และ Diastolic BP ผิวหนังซีดหรือเขียว (Cyanosis) เย็นชื้น (Clammy) มีเหงื่อออกมาก หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรเบาเร็ว
ต่อมาจะค่อย ๆ ช้าลง ไม่สม่ำเสมอ แขนขาเย็น หายใจเร็ว ปัสสาวะออกน้อยลง (30 มล./ชม.) จนไม่มีปัสสาวะออกเลย มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องอืด มีอาการซึม หัวใจหยุดเต้น
ปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อมีอาการช็อก
ภาวะช็อกจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีการดำเนินไปเป็นระยะ ๆ เริ่มด้วยหัวใจสูบฉีดเลือดน้อยลง ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ร่างกายจะปรับตัวโดยทำให้ความดันเลือดต่ำลงมีผลไปกระตุ้นระบบปะสารทอัตโนมัติ ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานเพิ่มมากขึ้น มีการหลั่งแคทิโคลามินมากขึ้น มีผลทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกาย (ยกเว้นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ) หดตัว อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นและกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวได้แรงขึ้นผลจากการชดเชยโดยหลอดเลือดหดตัวนี้ทำให้ความดันเลือดมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ การเพิ่มการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติกจะไปกระตุ้นโดยตรงที่หัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีผล ดังนี้
- ส่งผลไปยัง Adrenal medulla ให้หลั่ง Norepinephrine, Epinephrine มากขึ้น ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หลอดเลือดส่วนปลายมีแรงด้านมากขึ้นเพื่อรักษาความดันเลือดให้เป็นปกติ แคทีโคลามีนทำให้หลอดเลือดดำหดตัวทำให้เลือดเข้าสู่ระบบไหลเวียนมากขึ้น เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจเพิ่มขึ้น หัวใจมีเลือดที่จะบีบเข้าสู่ระบบไหลเวียนมากขึ้น ซึ่งการทำงานดังกล่าวไม่ควรเกิน 2-3 นาทีเพราะจะทำให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายลดลง และทำให้เกิดความผิดปกติของการเผาผลาญ
- ส่งผลไปยัง Anterior pituitary gland หลั่งฮอร์โมน Adrenocorticotropic hormone มากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้น Adrenal cortex ให้สร้าง Mineralocorticoids เพื่อทำหน้าที่กักเก็บโซเดียมและควบคุมสมดุลน้ำและอิเล็กโทรไลต์ และสร้าง Glucocoticoids เพื่อช่วยสร้างพลังงานและเพิ่มความต้านทานของเนื้อเยื่อ
- ส่งผลไปยัง Posterior pituitary gland ให้หลั่ง Antidiuretic hormone เพื่อปรับสมดุลของน้ำและโซเดียม ในภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ Osmolality ของเลือดจะสูงขึ้น ผลสุดท้ายจะช่วยให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้ได้ ผลของความดันเลือดต่ำลง และระดับแคทีโคลามีนมากขึ้น
เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นระบบ Renin-angiotensin ทำให้มี Angiotensin II เพิ่มมากขึ้น มีผลให้หลอดเลือดแดงหดตัว ความดันเลือดสูงขึ้น และ Renin-angiotensin ยังทำให้ Aldsterone จาก Adrenal cortex หลั่งเพิ่มขึ้น ผลคือร่างกายมีการเก็บน้ำและโซเดียมมากขึ้น
จากการชดเชยของร่างกายดังที่กล่าวแล้ว ในระยะแรก ๆ ของภาวะช็อก คาร์โบไฮเดรทที่เก็บสะสมไว้ในร่างกายจะถูกนำมาใช้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงต้องนำเอาโปรตีนและไขมันที่สะสมไว้มาใช้ด้วย จึงเกิดการสลายตัวของโปรตีนและการขาดสารอาหาร
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
นอกจากนี้ยังมีกลไกชดเชยจากไขกระดูก โดยปล่อยเม็ดเลือดแดงเข้า สู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังการขนส่งออกซิเจน ตับและม้าม จะปล่อยเม็ดเลือดแดงเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดมากขึ้น น้ำนอกเซลล์จะเคลื่อนเข้าสู่หลอดเลือดทำให้จำนวนเลือดเพิ่มขึ้น
หากภาวะช็อกรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ได้รับการแก้ไข กลไกชดเชยที่มีอยู่ไม่สามารถต่อสู้กับการลดลงของจำนวนเลือดที่ออกจากหัวใจได้ ร่างกายจะไม่สามารถรักษาสมดุลไว้ได้ จะมีความดันเลือดต่ำลง หลอดเลือดหดตัวมากขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง
ในระยะนี้ภาวะช็อกจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดทำให้เกิดเนื้อตายจากการขาดออกซิเจน ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในลักษณะที่เป็นอันตรายอย่างมาก ระยะนี้จึงต้องรักษา หากภาวะช็อกไม่ได้รับการแก้ไขหรือไม่ได้รับการรักษา เซลล์ที่ตายจะปล่อยสารต่าง ๆ เข้าสู่กระแสเลือด แบคทีเรียและสารพิษจากลำไส้จะเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ภาวะช็อกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เลือดจะมีภาวะเป็นกรด มีความหนืด เลือดแข็งตัวได้ง่าย เกิดเป็นก้อนเล็ก ๆ ทั่วไป และเกิดภาวะ Dissseminated intravascular coagulation (DIC) ในที่สุดผู้ป่วยจะเสียชีวิตจากภาวะช็อก
การวินิจฉัยอาการช็อก
จากอาการของภาวะช็อก เช่น ระดับความรู้สึกตัวซึมหรือไม่รู้สึกตัว ความดันเลือดต่ำ ลักษณะของผิวหนังซีดและเย็นชื้น ชีพจรเร็ว หายใจเร็ว ปัสสาวะออกน้อย มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่งรุนแรง ท้องอืด ไม่มีความสมดุลของกรด-ด่างในเลือดและปัสสาวะ
การรักษาอาการช็อก
- ช็อกจากการเสียน้ำและเลือด รักษาโดยคงไว้ซึ่งความสมดุลของปริมาณการไหลเวียนเลือดให้เพียงพอ
- ช็อกจากความผิดปกติหัวใจ โดยเพิ่มความแข็งแรงในการทำงานของหัวใจ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ และป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ช็อกจากการติดเชื้อ รักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อทำลายเชื้อ
- ช็อกจากระบบประสาท รักษาโดยเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดและให้ยาที่ส่งเสริมการหดรัดของหลอดเลือด
การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการช็อก
หากมีการติดเชื้อต้องให้ยาปฏิชีวนะ ดูแลให้ได้สารอาหารอย่างเพียงพอทางหลอดเลือดดำ และจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการพักผ่อน
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เช่น ดูแลให้เลือดทดแทน ให้ออกซิเจนทาง Nasal cannula, mask หรือ Endotrachial tube ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ เปลี่ยนท่าการเคลื่อนไหวร่างกายทุก 1 ชั่วโมง บันทึกระดับความรู้สึกตัว การหายใจ ติดตามผล Arterial blood gas
- ดูแลการไหลเวียนของเลือดให้เพียงพอ โดยให้สารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ทดแทน จัดให้ผู้ป่วยนอนราบเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนกลับเข้าสู่หัวใจ ปรับอัตราการไหลของสารน้ำให้ได้ความดันหลอดเลือดดำส่วนกลาง (Central venous pressure; CVP) 10-12 ชม.น้ำ สังเกตและบันทึกจำนวนปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง หากปัสสาวะน้อยกว่า 30 มล./ชม. รายงานให้แพทย์ทราบ วัดความดันเลือดทุก 1 ชั่วโมง หาก Pulse pressure แคบกว่า 30 มม.ปรอท แสดงว่าปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา ได้แก่ Dopamine hydrochloride, Epinephrine hydrochloride, Dobutamine, Digoxin, Sodium nitroprusside, Lidocaine hydrochloride, Atropine sulfate, Corticosteoid