การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด (Disseminated intravascular Coagulation: DIC) หมายถึง ความผิดปกติที่มีลิ่มเลือดและเลือดออกในระบบการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย
สาเหตุของ DIC
DIC มักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการดำเนินโรคต่างๆ ดังนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- โรคติดเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ
- โรคติดเชื้อเชื้อไวรัส
- โรคมาลาเรียจากการติดเชื้อพลาสโมเดียมฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum)
- โรคมะเร็ง
- ภาวะทางสูติกรรม (การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือดแบบเฉียบพลัน) ได้แก่ ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placenta abruption) และภาวะน้ำคร่ำอุดตันในหลอดเลือด (Amniotic fluid embolism)
- การเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือดแบบเรื้อรัง เช่น ครรภ์เป็นพิษ (Eclampsia) การยุติการตั้งครรภ์ (Saline induce abortion) ที่เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออย่างรุนแรง (Severe tissue injury) เช่น ศัลยกรรม (Surgery) การบาดเจ็บ (Trauma) การกระแทก (Crush injuries) มีเนื้อร้ายขนาดใหญ่ (Massive tissue necrosis) หรือเป็นโรคลมแดด (Heatstroke) เป็นต้น
- โรคตับ เช่น ตับอักเสบชนิดร้ายแรง ภาวะตับวายเฉียบพลัน
- สาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยใส่ลิ้นหัวใจเทียม (Prosthetic valve) โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ภาวะแทรกซ้อนในเนื้อเยื่อ (Greft Versus Host Disease: GVHD) ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากยาเฮปพาริน (Heparin-Induced Thrombocytopenia: HIT)
กระบวนการเกิด DIC
ระบบการไหลเวียนเลือดมีความผิดปกติ เนื่องจากร่างกายมีการกระตุ้นกระบวนการแข็งตัวของเลือดซึ่งนำไปสู่การสร้างก้อนลิ่มเล็กๆ ในหลอดเลือดเล็กๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งการแข็งตัวของเลือดอย่างผิดปกตินี้จะทำให้มีการใช้เกล็ดเลือด ไฟบริน และแฟกเตอร์ในการแข็งตัวของเลือดเพิ่มขึ้น รวมทั้งกระตุ้นกลไกการสลายไฟบรินด้วย ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกอย่างผิดปกติ
กลไกสำคัญที่กระตุ้นให้เกิด DIC
กลไกสำคัญที่กระตุ้นให้เกิด DIC คือ การหลั่งสารทรอมโบพลาสติน (Thromboplastin substances) ออกสู่กระแสเลือด และมีการบาดเจ็บของผนังเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือด
พยาธิสรีรวิทยา
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ภายในร่างกายเมื่อเกิดภาวะ DIC ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากมีกระบวนการเกิดโรคเริ่มต้นจากการถูกกระตุ้นโดยโปรทรอมบิน (Prothrombin) โปรตีนชนิดหนึ่งที่พบในกระแสเลือด ซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในกระแสเลือด และผนังหลอดเลือดในขณะที่ได้รับบาดเจ็บ
โดยโปรทรอมบินจะกระตุ้นให้เกิดการเร่งกระบวนการแข็งตัวของหลอดเลือดเพื่อไปประสานแผลที่บาดเจ็บ เริ่มจากทำให้ทรอมบิน (Thrombin) เปลี่ยนเป็นไฟบริโนเจน (Fibrinogen) และกลายเป็นไฟบริน (Fibrin) เส้นใยเหนียวที่ทำหน้าประสานกันเป็นร่างแหอุดรอยฉีกขาดของเส้นเลือดตรงบริเวณปากแผล
หากเกิดกระบวนการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้เลือดไหลเวียนได้น้อยลงในที่สุดนั่นเอง
ลักษณะอาการ DIC
- มีผิวหนังคล้ำ และเย็นกว่าปกติ
- มีรอยจ้ำๆ ตามผิวหนัง เมื่อกดแล้วจะจางลง เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไม่พอ และมีเลือดคั่ง
- มีเลือดออกจากรอยเจาะเลือด ผิวหนังทั่วร่างกาย และเยื่อบุอวัยวะภายใน เช่น จากทางเดินอาหาร ไต ปอด และ สมอง
- มีภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute respiratory distress syndrome: ARDS)
- มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจน (Hypoxemia)
- ภาวะช็อก (Shock)
- ภาวะไตวายเฉียบพลัน ระยะต่างๆ เช่น เอทีเอ็น (Acute Tubular Necrosis: ATN) อาร์ซีเอ็น (Renal cortical necrosis: RCN)
- ภาวะความตื่นตัวผิดปกติ (Stupor)
- อาการบวมน้ำ (Edema)
- อาการชัก (Convulsions)
- ความผิดปกติของสมองเฉพาะแห่ง (Focal lesions)
- เลือดออกในสมอง (Intracranial bleeding)
- ภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis)
- ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
- มีการอุดตันในหลอดเลือดใหญ่ กลาง และเล็ก
อาการข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาการที่พบได้ในภาวะ DIC เท่านั้น หากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย หรือมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวไป ควรไปพบแพทย์ทันที
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
การวินิจฉัย DIC
การวินิจฉัยยโรค DIC ในเบื้องต้น มักเริ่มจากสังเกตอาการแสดงทางคลินิกว่า มีการตายของส่วนปลายของอวัยวะต่างๆ หรือไม่ โดยบริเวณที่พบบ่อยคือ ผิวหนัง สมอง ไต และปอด นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการช็อกร่วมด้วย
หลังจากนั้นแพทย์จะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การเจาะเลือดเพื่อตรวจค่าดีไดเมอร์ (FDP/D-dimer) การนับเกล็ดเลือด (Platelet count) การให้ยาโปรตาไมด์เพื่อต้านฤทธิ์ยายาเฮปพาริน (Protamine test) ตรวจทรอมบินในเลือด (Thrombin test) ตรวจการแข็งตัวของลิ่มเลือด ได้แก่ ทีที (Thrombin time: TT) ไฟบริโนเจน และพีที (Prothrombin time: PT) การตรวจระยะเวลาการแข็งตัวของสารเคมีเมื่อหยดลงไปในเลือดแบบวินาที (Activated partial thromboplastin time: aPTT)
การรักษา DIC
วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ การกำจัดสาเหตุให้เร็วที่สุด เช่น หากเกิดในภาวะทางสูติกรรม จะต้องรีบเอาเด็กและรกออกให้เร็วที่สุด หรือเมื่อเกิดการติดเชื้อก็ต้องรีบรักษาภาวะติดเชื้อ และกำจัดเชื้อให้เร็วที่สุด เป็นต้น
นอกจากนี้จะต้องควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุของ DIC เช่น โรคมะเร็ง มะเร็งควรรีบรักษาภาวะติดเชื้อ และกำจัดต้นเหตุโดยเร็วที่สุด มะเร็งควรรีบรักษาเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตนเอง และโรคที่เกิดจากการอักเสบ (Inflammatory disease)
หากมีอาการข้างเคียงจะต้องรักษาตามอาการด้วย เช่น เมื่อเกิดภาวะช็อก แพทย์จะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น หรือรักษาภาวะสมดุลกรดด่างในเลือดโดยการเปลี่ยนถ่ายเลือด เป็นต้น
การพยาบาล DIC
- ดูแลผู้ป่วยให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ประเมินและระมัดระวังการเกิดเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ
- ดูแลให้ได้รับอาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัดไม่ระคายเคืองต่อปาก และทางเดินอาหาร ควรมีธาตุเหล็ก โปรตีน และวิตามินซีสูง
- สังเกตและติดตามผลการตรวจเลือดจากการตรวจค่าซีบีซี (Complete blood count: CBC) การแข็งตัวของโปรทรอมบิน เป็นต้น
- ดูแลให้ได้รับเลือดตามแผนการรักษา และปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
- อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการ และอาการแสดงของภาวะเลือดออกผิดปกติ
- ดูแลด้านจิตใจและความสุขสบายของผู้ป่วย ช่วยเหลือผู้ป่วยและญาติในการเผชิญภาวะเลือดออก และให้การช่วยเหลือเพื่อคลายความวิตกกังวลให้ผู้ป่วยและครอบครัว
เบาหวานขึ้นตามีวิธีรักษาอย่างไรบ้างค่ะ