ความหมายของโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ
โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic Valve Stenosis) เป็นโรคทางหัวใจที่เกิดขึ้นบริเวณลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic Valve) โดยสาเหตุของโรคนั้นเกิดจากลิ้นหัวใจเอออร์ติก ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนกลับของเลือดเข้ามาในหัวใจนั้นเปิดได้ไม่เต็มที่ จนส่งผลให้เส้นเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta) ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่จะนำเลือดออกจากหัวใจไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายทำงานไม่สะดวก และทำให้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ เพื่อสูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้เท่าเดิม
โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบสามารถทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลา และโรคนี้มักเกิดในคนวัยผู้ใหญ่มากกว่าคนวัยอื่น แต่ก็สามารถพบความผิดปกติได้ตั้งแต่แรกเกิดเช่นกัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ความชุกของโรค
โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบมักได้รับการวินิจฉัยในผู้ใหญ่ โดยมีผู้ใหญ่อายุมากกว่า 65 ปีประมาณ 2% ที่มีภาวะนี้ และพบว่าพบได้ในผู้ชายมากกว่าหญิง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ เกิดจากการเปิดของลิ้นหัวใจเอออร์ติกที่ตีบแคบลง ซึ่งสาเหตุของการตีบแคบนี้อาจเกิดจากผนังของลิ้นหัวใจที่การหนาตัวขึ้น หรือเมื่อผู้ป่วยอายุมากขึ้น ก็จะมีการสะสมของแคลเซียมตามรอยพับของลิ้นหัวใจ ทำให้เกิดการทำลายลิ้นหัวใจ และจำกัดการไหลเวียนของเลือดเกิดขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ประกอบด้วย 2 ปัจจัยคือ
- อายุ: โรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี
- ความผิดปกติแต่กำเนิด: ลิ้นหัวใจเอออร์ติกที่ผิดปกติแต่กำเนิดสามารถทำให้เด็กเล็กป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
อาการและการวินิจฉัย
อาการของโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบประกอบด้วย
- หายใจลำบาก
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
- เป็นลมหรือเวียนหัว
- ใจสั่น
- เหนื่อยง่าย
- มีปัญหาในการหายใจ
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ป่วยทำกิจกรรมทางร่างกาย และไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนที่เป็นโรคนี้แล้วจะต้องมีอาการให้เห็นชัดเจน แต่ถ้าหากคุณมีอาการดังกล่าวก็ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการให้แน่ใจ โดยแพทย์จะใช้วิธี "การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram)" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "การตรวจเอคโค่" เพื่อตรวจหาโรคนี้ การตรวจนี้เป็นการใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพการทำงานของหัวใจ ภาพนี้จะทำให้แพทย์เห็นว่าลิ้นหัวใจแต่ละส่วนทำงานได้ดีเพียงใด
การทดสอบอื่นๆ สำหรับภาวะนี้อาจประกอบด้วย
- การสวนหัวใจ (Coronary Artery Angiography: CAG): แพทย์จะใส่ท่อเข้าทางเส้นเลือดที่แขน หรือขาเพื่อทำการประเมินหัวใจ
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Elektrokardiogram หรือ Electrocardiogram: EKG หรือ ECG): เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าภายในหัวใจว่ามีการทำงานที่ปกติหรือไม่
- เอกซเรย์ทรวงอก (Chest x-ray: CXR): การตรวจแบบนี้จะทำให้แพทย์เห็นขนาด และรูปร่างของหัวใจ
การรักษาภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ
การรักษาโรคนี้จะขึ้นกับอาการ และความรุนแรงของโรค หากผู้ป่วยยังอยู่ในระยะอาการที่ไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องเข้ารับการรักษา เพียงแต่แพทย์อาจนัดมาติดตามผลทางภาพวินิจฉัยเป็นระยะๆ เช่น การตรวจเอคโค่ เพื่อดูว่าอาการของโรคมีความรุนแรงขึ้นหรือไม่ ซึ่งหากลิ้นหัวใจเอออร์ติกเกิดการตีบอย่างรุนแรง ก็อาจมีทางเลือกในการรักษาดังต่อไปนี้
- การใช้ยา: แพทย์อาจสั่งจ่ายยา เพื่อป้องความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเพิ่มขึ้น หรือทำให้โรคแย่ลง เช่น โรคความดันโลหิตสูง แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ยาไม่สามารถนำมาใช้รักษาเพื่อทดแทนการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกได้
- การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติก: การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ที่อยู่ในระยะรุนแรง โดยมีทางเลือกในการเปลี่ยนลิ้นหัวใจได้ 2 วิธี
- การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติก: แพทย์จะทำการลงมีดบริเวณกลางหน้าอก และแยกกระดูกหน้าอกออกเพื่อเข้าสู่เส้นเลือดแดงใหญ่ ก่อนที่จะนำลิ้นหัวใจเก่าออก และเย็บลิ้นหัวใจใหม่เข้าไปแทน ซึ่งลิ้นหัวใจใหม่นี้เป็นลิ้นหัวใจเทียมที่ทำจากวัสดุ เช่น ไทเทเนียม หรืออาจนำมาจากเนื้อเยื่อของมนุษย์ หรือสัตว์
- การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านการใช้สายสวน (Transcatheter Aortic Valve Replacement: TAVR หรือ Trans Catheter Aortic Valve Implantation: TAVI): แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาด้วยวิธีนี้ หากผู้ป่วยมีปัญหาทางสุขภาพอื่นๆ ที่ทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจมีความเสี่ยงมากเกินไป โดยแพทย์จะเปลี่ยนจากการผ่าตัดเป็นการเจาะรูเล็กๆ ในเส้นเลือดแดงบริเวณขาหนีบ และใส่สายสวนเข้าไป จากนั้นจะนำลิ้นหัวใจใหม่ให้เข้าไปแทนที่ลิ้นหัวใจเก่า หัตถการนี้ไม่ต้องมีการผ่าตัดบริเวณหน้าอก และไม่จำเป็นต้องใช้การดมยาสลบด้วย
การใช้ชีวิตเมื่อเป็นโรคลิ้นหัวใจเอออร์ตาตีบ
โรคลิ้นหัวใจเอออร์ตาตีบจัดอยู่ในโรคประเภทหนึ่งของโรคเกี่ยวกับหัวใจ ดังนั้น การใช้ชีวิตเพื่อประคองอาการของโรครวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างจึงไม่แตกต่างไปจากผู้ป่วยโรคหัวใจอื่นๆ นัก เช่น
- งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ให้ออกกำลังอย่างพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป และอย่าหักโหม
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
- เน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีน้ำตาล และไขมันสูง
- หมั่นไปตรวจสุขภาพหรือไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ
- เมื่อเกิดอาการแน่นหน้าอก หรือความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจ ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
คุณหมอค่ะ ทำไมโรคหัวใจรั่วถึงเกิดกับเด็กแรกคลอด คุณแม่ก้อสังเกตุมาทราบอีกครั้ง ลูก 5 เดือนละ ผลการตรวจลูกหัวใจรั่ว ทำไม่ถึงเกิดกับเด็กค่ะ มีวิธีการอะไรไหม ขอคำชี้แนะด้วยนะคะ ถือว่าเป็นการช่วยเหลื่อเด็กน้อยตาดำๆคนๆหนึ่ง สงสารมากเลยค่ะ