PPIs ย่อมาจาก Proton Pump Inhibitors เป็นกลุ่มยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ H+/K+ ATPase (proton pump) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำงานในขั้นตอนสุดท้ายของการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ยาในกลุ่มนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาโรคในทางเดินอาหารที่สัมพันธ์กับกรดได้แก่
- รักษาแผลในกระเพาะอาหาร (gastric ulcers)
- รักษาแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcers)
- รักษาแผลในทางเดินอาหารจากการใช้ยาบรรเทาอาการอักเสบในกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID-associated ulcers)
- รักษากรดไหลย้อน (gastro-oesophageal reflux disease)
- รักษาภาวะที่มีการหลั่งกรดมากเกิน (รวมถึง Zollinger-Ellison syndrome)
- รักษาการติดเชื้อ Helicobacter pylori (H. Pylori) โดยใช้ร่วมกับยาต้านจุลชีพ (Antibiotics)
ยาลดกรดในกลุ่ม PPIs มีประโยชน์ทางการแพทย์หลายอย่างและเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย จึงมีการใช้อย่างแพร่หลายทั้งในสถานพยาบาลและการซื้อมาใช้เอง ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยได้แก่
- Omeprazole
- Lansoprazole
- Rabeprazole
- Pantoprazole
- Esomeprazole
มีผลข้างเคียงหรือไม่?
ขึ้นชื่อว่า “ยา” ทุกชนิดมีผลข้างเคียงอยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับขนาดและระยะเวลาที่รับประทานเข้าไปด้วย ผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังรับประทานยาลดกรดกลุ่ม PPIs เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ ปวดท้อง หรือมีลมในทางเดินอาหารมาก ท้องผูก ท้องเสีย มีผื่นขึ้น เป็นต้น อาการไม่พึงประสงค์จะมีโอกาสเกิดได้มากขึ้นหากมีการใช้ยาเกินข้อบ่งใช้ ใช้เกินขนาด และใช้ยาเป็นระยะเวลานานเกินไป และมีผลข้างเคียงอื่นๆ ดังต่อไปนี้
- ลดการดูดซึมสารอาหาร
- ลดการดูดซึมเหล็ก
- ลดการดูดซึมวิตามินบี 12
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ
- เกิดภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
- เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ Clostridium difficile (C. difficile) ในทางเดินอาหาร
- เกิดผลเสียต่อไต
ทางที่ดี หากได้รับการรักษาโดยยาลดกรด ผ่านไป 4 - 8 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อปรึกษาเปลี่ยนยารักษาตัวใหม่ หรือรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ที่เหมาะสมกับอาการของคุณมากที่สุด
คำเตือนและข้อควรระวังในการใช้ยา
หลายคนรับประทานยานี้ทันทีขณะเริ่มมีอาการ ซึ่งก็คือภายหลังจากทานอาหารเสร็จ มักทำให้ประสิทธิภาพของยาไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากหากคุณรับประทานยาในช่วงเริ่มต้นมื้ออาหาร หรือหลังจากรับประทานเสร็จ ร่างกายก็จะมีการหลั่งกรดส่วนมากออกมาก่อนแล้ว ดังนั้นควรรับประทานยาก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุดในการยับยั้งการหลั่งกรด ไม่ควรรับประทานยาในกลุ่มนี้หากคุณมีประวัติแพ้สารที่เป็นส่วนผสมของยา และควรถามแพทย์ว่าคุณยังคงสามารถใช้ยาในกลุ่มนี้ได้หรือไม่ ถ้าคุณมีอาการดังนี้
- ใช้ยาในกลุ่มนี้มามากกว่า 1 ปี
- ใช้ยาในปริมาณสูง
- มีปัญหาเกี่ยวกับตับ
- มีระดับแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
- อายุมากกว่า 50 ปี
ทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่นไหม?
ยาลดกลุ่ม PPIs ทำปฏิกิริยากับยาหลายตัวเมื่อรับประทานคู่กัน หากคุณมียาต้องรับประทานอยู่ก่อนแล้ว และจำเป็นต้องรับยาลดกรดเพิ่ม ควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตัวอย่างรายชื่อยาที่ทำปฏิกิริยาต่อยาลดกรดกลุ่ม PPIs
- กลุ่มยาขับปัสสาวะ
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin, Clopidogrel)
- กลุ่มยา Digoxin
- ยานอนหลับ (benzodiazepines)
- ยารักษาอาการวิตกกังวล(diazepam)
- ยาปฏิชีวนะ (clarithromycin)
- ยากดภูมิคุ้มกัน หรือยาเคมีบำบัด (methotrexate)
- ยาฆ่าเชื้อรา (ketoconazole)
- ยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี (rilpivirine, nelfinavir, atazanavir)
ยาลดกรดกลุ่ม PPIs ที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ยา omeprazole รูปแบบยาแคปซูล และรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ถูกจัดให้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งหมายถึง เป็นยาที่ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย และเป็นยาที่ควรเลือกใช้เป็นอันดับแรก
ส่วนยาตัวอื่นๆ ในกลุ่มยาลดกรดนี้ที่ได้ถูกจัดเข้าเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ ยา pantoprazole รูปแบบยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ผู้ชำนาญการเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ เพราะยานี้มีแนวโน้มที่ถูกใช้ไม่ตรงตามข้อบ่งชี้ หรือมีราคาแพงกว่ายาอื่นในกลุ่มเดียวกัน สำหรับยา pantoprazole ในรูปแบบอื่น ไม่ถือว่าอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ
สรุป ยาลดกรดกลุ่ม PPIs สามารถช่วยรักษาโรคในทางเดินอาหารที่สัมพันธ์กับกรดได้ เป็นยาที่ใช้รักษาในระยะสั้นๆ มีผลข้างเคียงที่อันตรายหากใช้เป็นระยะเวลานานเกินไป ดังนั้น ก่อนใช้ยากลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้จะดีที่สุด