โรคมะเร็งปากมดลูก (Cancer of Cervix) เป็นประเภทของโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ในผู้หญิงทั่วโลกและผู้หญิงไทย สามารถพบได้ในผู้หญิงตั้งแต่วัยสาวจนถึงวัยชรา แต่จะพบมากที่สุดในผู้หญิงอายุ 30-50 ปี
โรคมะเร็งปากมดลูกถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยมากเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉลี่ยจะพบผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกถึง 14 รายต่อวัน
ตรวจมะเร็งสำหรับผู้หญิงวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 บาท ลดสูงสุด 79%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเกือบทั้งหมดมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งมีนับร้อยสายพันธุ์ จากการมีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือหญิงที่มีเชื้อไวรัสนี้ที่อวัยวะเพศ
สายพันธุ์ไวรัส HPV ที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติบเซลล์ปากมดลูก ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ส่วนสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 จัดเป็นสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่ำในการก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองสายพันธุ์นี้ก็สามารถทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนักซึ่งเป็นโรคที่พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ความน่ากลัวของโรคมะเร็งปากมดลูกคือ หลังจากติดเชื้อไวรัสแล้วจะยังไม่แสดงอาการใดๆ นานนับสิบปี ดังนั้นผู้ป่วยหลายรายกว่าจะตรวจพบว่า เป็นมะเร็งปากมดลูกก็เข้าสู่ระยะท้ายๆ แล้ว ซึ่งการรักษามักไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
อีกทั้งผู้ป่วยยังมีโอกาสเสียชีวิตสูงเนื่องจากมะเร็งได้ลุกลามและแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียงอื่นๆ แล้ว
อาการของโรคมะเร็งปากมดลูก
- มีตกขาวจำนวนมากผิดปกติ
- ตกขาวมีลักษณะเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น หรือมีลักษณะคล้ายน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด
- มีเลือดออกกะปริดกะปรอย
- มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกในขณะที่ไม่ใช่รอบเดือน
หากโรคมะเร็งปากมดลูกแพร่กระจายสู่เนื้อเยื่อรอบๆ และอวัยวะใกล้เคียง อาจทำให้เกิดอาการดังนี้
ตรวจมะเร็งสำหรับผู้หญิงวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 บาท ลดสูงสุด 79%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- ท้องผูก
- ปัสสาวะมีเลือดปน
- สูญเสียการควบคุมการปัสสาวะ
- ปวดกระดูก
- ขาบวมข้างใดข้างหนึ่ง
- ปวดที่หลัง หรือปวดด้านข้างของร่างกายอย่างรุนแรง
- มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- อ่อนเพลีย รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง
ใครเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก
- ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 18 ปี
- ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 40 ปี
- ผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่มีประวัติติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease: STD) หรือเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papillomavirus: HPV) หรือเรียกอีกชื่อว่า "ไวรัสหูด"
- มีประวัติเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
- มีโรคเรื้อรัง หรือโรคที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเอดส์ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี
- ผู้หญิงที่มีประวัติความผิดปกติเกี่ยวกับปากมดลูก ช่องคลอด หรือเยื่อบุเซลล์มดลูกผิดปกติ
- ผู้ที่สูบบุหรี่บ่อย
- ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันมากกว่า 5 ปี
การวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูก
หากแพทย์สงสัยว่า ผู้ป่วยอาจเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก หรือมีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแล้วพบความผิดปกติที่เซลล์ปากมดลูก แพทย์อาจส่งตัวไปตรวจเพิ่มเติมโดยใช้กล้องส่องตรวจช่องคลอด (Colposcopy) แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากปากมดลูกไปตรวจดูว่า "มีเซลล์มะเร็งหรือไม่"
ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย เมื่อตัดชิ้นเนื้อแล้ว อาจพบอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดนานถึง 4 สัปดาห์ และอาจมีอาการปวดคล้ายกับมีประจำเดือนด้วย
หากผลจากการตรวจชิ้นเนื้อยืนยันว่า ผู้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกและมีความเสี่ยงที่มะเร็งจะแพร่กระจายออกไป อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมดังนี้
- การตรวจภายใน เพื่อตรวจมดลูก ช่องคลอด ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะว่า มีการแพร่กระจายของมะเร็งไปหรือไม่
- ตรวจเลือด เพื่อช่วยประเมินการทำงานของตับ ไต และไขกระดูก
- การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) การสแกนร่างกายและใช้คอมพิวเตอร์สร้างภาพอวัยวะภายในร่างกายแบบสามมิติ การตรวจซีทีสแกนจะช่วยบ่งชี้ว่า มีก้อนเนื้องอกมะเร็งหรือไม่ และมีการแพร่กระจายหรือไม่
- การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI scan (Magnetic Resonance Imaging) การตรวจสแกนนี้จะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นในการสร้างเป็นภาพของอวัยวะภายในร่างกาย ใช้เพื่อตรวจว่า มะเร็งมีการแพร่กระจายหรือไม่
- เอกซเรย์ปอด เพื่อดูว่า มะเร็งแพร่กระจายไปที่ปอดหรือไม่
- เพทสแกน (Positron Emission Tomography: PET scan) คือ การตรวจสแกนชนิดพิเศษร่วมกับการฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้มองเห็นภาพเซลล์มะเร็งได้ชัดเจนขึ้น การตรวจนี้มักทำร่วมกับการทำซีทีสแกน ในการดูว่า มะเร็งแพร่กระจายไปมากน้อยแค่ไหนและดูการตอบสนองต่อการรักษาที่ได้รับ
ระยะของมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งปากมดลูกแบ่งออกเป็น 5 ระยะหลัก แต่ละระยะสามารถระบุการกระจายของเซลล์มะเร็งได้ ดังนี้
- ระยะที่ 0 หรือระยะก่อนเป็นมะเร็ง ยังไม่มีเซลล์มะเร็งที่ปากมดลูก แต่พบการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาที่สามารถกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในอนาคต เราเรียกว่า "ระยะที่ตรวจพบเซลล์ปากมดลูกเจริญผิดปกติ (Cervical Intraepithelial Neoplasia (CIN)) หรือมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก (Carcinoma In Situ (CIS))"
- ระยะที่ 1 มะเร็งกระจายอยู่เฉพาะที่ปากมดลูกเท่านั้น
- ระยะที่ 2 มะเร็งมีการแพร่กระจายออกไปจากปากมดลูกเข้าสู่เนื้อเยื่อข้างเคียง แต่ยังไม่ถึงเนื้อเยื่อบุอุ้งเชิงกราน (ผนังอุ้งเชิงกราน) หรือส่วนล่างของช่องคลอด
- ระยะที่ 3 มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนล่างของช่องคลอด และ/หรือ ผนังเชิงกรานส่วนล่าง โดยอาจไปกดท่อไตที่ลำเลียงปัสสาวะจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ แต่ยังไม่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะไกลๆ
- ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียง หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ ปอด
การรักษามะเร็งปากมดลูกมีวิธีใดบ้าง?
การรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกจะขึ้นกับว่า มะเร็งแพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งมีความซับซ้อน โรงพยาบาลแต่ละแห่งจึงใช้ทีมสหสาขาวิชาชีพซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาวิชาชีพ ร่วมกันวางแผนการรักษาโรคมะเร็งให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย แต่สุดท้ายผู้ป่วยจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะรักษาด้วยวิธีใด โดยส่วนใหญ่แล้ว แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีเหล่านี้
ตรวจมะเร็งทั่วไปวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 340 บาท ลดสูงสุด 64%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- การทำลายเนื้อเยื่อผิดปกติบริเวณปากมดลูก
- การผ่าตัด
- รังสีรักษา
- ยาเคมีบำบัด
การทำลายเนื้อเยื่อผิดปกติบริเวณปากมดลูก
หากผลการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกพบว่า ผู้ป่วยยังไม่ได้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก แต่พบการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งได้ในอนาคต กรณีนี้มีทางเลือกในการรักษาหลายวิธี เช่น
- การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า ตัดเซลล์ผิดปกติออกจากร่างกาย โดยการใช้เส้นลวดร่วมกับการปล่อยกระแสไฟฟ้า
- การตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปกรวย (Cone Biopsy) เซลล์เนื้อเยื่อที่ผิดปกติจะถูกตัดออกระหว่างการผ่าตัด
- การใช้เลเซอร์จี้ทำลาย (Laser Therapy) การใช้เลเซอร์ทำลายเซลล์ผิดปกติ
การผ่าตัด
มีการผ่าตัดหลัก 3 วิธีที่ใช้รักษาโรคมะเร็งปากมดลูก ได้แก่
1.การตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวยแบบกว้าง (Radical trachelectomy)
การตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวยแบบกว้างเป็นการผ่าตัดที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญ ซึ่งบางโรงพยาบาลอาจไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องผ่าตัดปากมดลูก เนื้อเยื่อข้างเคียง และส่วนบนของช่องคลอดจะถูกตัดออกจากร่างกาย แต่ตัวมดลูกยังคงอยู่ที่เดิม
เหมาะสำหรับกับผู้ที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก และเหมาะกับผู้ที่ยังต้องการมีบุตร แต่ก็ไม่เป็นการยืนยันแน่นอนว่า ผู้ป่วยยังสามารถมีลูกได้ในอนาคต
ถ้ามีลูกหลังการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ แม่ต้องคลอดด้วยการผ่าตัดคลอด (caesarean section) เท่านั้น นอกจากนี้หลังการผ่าตัดแล้วหากต้องการมีลูกคนต่อไปแนะนำให้รอ 6-12 เดือน เพื่อให้มีเวลามากพอสำหรับมดลูกและช่องคลอดในการฟื้นตัว
2.การผ่าตัดมดลูกออก (Hysterectomy)
การผ่าตัดนำมดลูกและปากมดลูกออกขึ้นอยู่กับระยะของโรคมะเร็ง อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดรังไข่และท่อนำไข่ออกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกระยะแรกถึงระยะที่ 2 และอาจรักษาต่อด้วยการใช้รังสีรักษาเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็ง
การผ่าตัดมดลูกออกเพื่อรักษามะเร็งปากมดลูก มี 2 วิธีได้แก่
- การผ่าตัดมดลูกธรรมดา เป็นการผ่าตัดปากมดลูกและตัวมดลูกออกจากร่างกาย ในบางกรณีอาจต้องมีการตัดรังไข่และท่อนำไข่ออกด้วย การผ่าตัดด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกเท่านั้น
- การผ่าตัดมดลูกแบบกว้าง หรือผ่าตัดแบบถอดรากโคน (Radical hysterectomy) เป็นการผ่าตัดเอาปากมดลูก มดลูก เนื้อเยื่อและต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง รังไข่ และท่อนำไข่ ออกทั้งหมด แนะนำให้ทำในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะรุนแรง มีการแพร่กระจาย
ภาวะแทรกซ้อนระยะสั้นที่พบได้คือ การติดเชื้อ เลือดออก เลือดอุดตัน ทำให้ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้ตรงได้รับความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ สำหรับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวมีน้อย แต่ถ้าเกิดขึ้นจะรบกวนชีวิตประจำวันได้
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ได้แก่
- ความเสี่ยงที่ช่องคลอดจะสั้นลงและแห้ง ทำให้เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- แขนขาบวม เนื่องจากมีของเหลวสะสม (บวมน้ำเหลือง หรือ lymphoedema)
- ลำไส้อุดตันเพราะมีเนื้อเยื่อแผลเป็นเกิดขึ้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เมื่อตัดมดลูกตัดออกจะทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ และหากมีการผ่าตัดรังไข่ออกไปจะทำให้หมดประจำเดือนก่อนวัยได้ในรายที่ยังไม่หมดประจำเดือน
3.การผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้าง (Pelvic Exenteration)
การผ่าตัดใหญ่ที่จะผ่าเอาปากมดลูก ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ ท่อน้ำไข่ และลำไส้ตรงออกจากร่างกาย มักใช้รักษาผู้ที่ประสบปัญหามะเร็งปากมดลูกกลับมาเป็นซ้ำเฉพาะภายในบริเวณอุ้งเชิงกราน แต่ไม่แพร่กระจายออกจากบริเวณนี้
การผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้างจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้
- การผ่าตัดมะเร็งออก รวมไปถึงกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ตรง ช่องคลอด และส่วนล่างของลำไส้
- การผ่าตัดรู 2 รูไว้ที่หน้าท้อง เพื่อเป็นทางระบายอุจจาระและปัสสาวะออกจากร่างกายเข้ามาเก็บไว้ที่ถุงกักเก็บปัสสาวะและอุจจาระ
ภายหลังการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ภายหลังการพักฟื้นแต่อาจต้องใช้เวลาหลายเดือน
รังสีรักษา
การใช้รังสีรักษาสามารถใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัดในการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก และอาจใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม ซึ่งสามารถใช้เพื่อควบคุมอาการเลือดออก และอาการปวดได้
การใช้รังสีรักษามักใช้เวลาประมาณ 5-8 สัปดาห์ต่อคอร์ส การให้รังสีรักษาสามารถให้ได้ 2 วิธี ได้แก่
- ให้ภายนอกร่างกาย (externally) เป็นการใช้เครื่องฉายคลื่นพลังงานสูงภายนอกร่างกายเข้ามาที่บริเวณอุ้งเชิงกรานเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
- ให้ภายในร่างกาย (internally) เป็นการฝังแร่กัมมันตรังสีภายในช่องคลอดและปากมดลูก
ส่วนใหญ่แล้วจะใช้รังสีรักษาทั้งภายในและภายนอกร่างกายร่วมกัน โดยคอร์สของการรักษาด้วยรังสีรักษามักใช้เวลาประมาณ 5-8 สัปดาห์
เนื่องจากรังสีรักษาทำลายเซลล์มะเร็งได้ มันจึงสามารถทำลายเซลล์ปกติในร่างกายได้ด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วยเป็นเวลาหลายเดือน หรืออาจเป็นปีหลังการรักษา
ผลข้างเคียงของรังสีรักษาที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ท้องเสีย
- เจ็บปวดขณะปัสสาวะ
- เลือดออกจากช่องคลอด หรือไส้ตรง
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- รู้สึกคลื่นไส้
- ผิวหนังบริเวณอุ้งเชิงกรานแสบร้อนคล้ายๆ กับการโดนแดดเผาไหม้
- ช่องคลอดแคบลง ทำให้เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
- เกิดภาวะมีบุตรยากขึ้น
- มีความเสียหายเกิดขึ้นที่รังไข่ ซึ่งทำให้หมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร (หากคุณยังคงมีประจำเดือนอยู่)
- มีความเสียหายเกิดขึ้นที่กระเพาะปัสสาวะและลำไส้ ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระ ได้
ผลข้างเคียงส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงข้างต้นจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 8 สัปดาห์หลังสิ้นสุดการรักษา แต่บางกรณีผลข้างเคียงอาจเป็นอย่างถาวร ผลข้างเคียงบางอย่างอาจเกิดขึ้นภายหลังการรักษาเสร็จสิ้นไปแล้วเป็นเวลาหลายเดือน หรือเป็นปี ก็ได้
ยาเคมีบำบัด
สามารถใช้ร่วมกับรังสีรักษาเพื่อรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกให้หายขาด หรืออาจใช้เดี่ยวๆ เพื่อรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามเพื่อชะลอโรคและช่วยบรรเทาอาการให้กับผู้ป่วย
ยาเคมีบำบัดสามารถใช้ได้ทั้งยาเดี่ยว คือ cisplatin หรือใช้ร่วมกันระหว่างยาเคมีบำบัดหลายชนิดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปจะให้ยาเคมีบำบัดโดยการหยดยาเข้าหลอดเลือดดำในลักษณะของผู้ป่วยนอก เมื่อรับยาครบแล้วสามารถกลับบ้านได้
ยาเคมีบำบัดก็เหมือนกับรังสีรักษาคือ ตัวยาสามารถทำลายเซลล์ปกติในร่างกายได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยาเคมีบำบัด ได้แก่
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย
- รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา
- เซลล์เม็ดเลือดมีปริมาณลดลง ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและหายใจหอบเหนื่อย (โลหิตจาง) และมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายเพราะขาดเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค
- แผลในปาก
- เบื่ออาหาร
- ผมร่วง ผมควรกลับมางอกใหม่ภายใน 3-6 เดือน หลังจบคอร์สของการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ยาเคมีบำบัดทุกตัวจะทำให้เกิดผมร่วง
ยาเคมีบำบัดบางชนิดมีพิษต่อไต ดังนั้นผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องเจาะเลือดเพื่อติดตามค่าการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ
การติดตามหลังการรักษา
หลังการรักษาสิ้นสุดลงและมะเร็งได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจติดตามอาการเป็นประจำ ซึ่งจะเป็นการตรวจร่างกายโดยแพทย์เพื่อดูช่องคลอดและปากมดลูก (หากยังไม่ได้ผ่าตัดออก) เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้นั่นเอง
หากมะเร็งปากมดลูกกลับมาเป็นซ้ำ มักจะกลับมาในช่วงเวลาประมาณ 18 เดือนหลังสิ้นสุดคอร์สการรักษา
การนัดหมายเพื่อติดตามอาการมักแนะนำให้ติดตามทุกๆ 4 เดือน ในช่วง 2 ปีแรกหลังสิ้นสุดการรักษา จากนั้นจะนัดหมายติดตามห่างออกไปเป็นทุก 6-12 เดือน ในช่วง 3 ปีต่อมา
มะเร็งปากมดลูกแม้จะเป็นโรคอันตรายแต่ก็มีวิธีรักษาได้หลายวิธี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุด คือ การดูแลตนเองด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี เช่น วิธีแป๊บสเมียร์ การตรวจแบบตินเพร็พ
รวมทั้งการป้องกันตนเองด้วยการฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก และการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยด้วยการใส่ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจโรคมะเร็งสำหรับผู้หญิง จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
ผู้ที่เป็นมะเร็งปากกมดลูกระยะที่สาม แต่ทำคีโมรักษาเรียบร้อยแล้ว มีโอกาสหาย100%รึป่าวค่ะ