ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) คือยาที่ช่วยให้หายใจได้ง่ายขึ้น โดยการเพิ่มการคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมทำให้หลอดลมขยายตัวกว้างขึ้น ซึ่งส่วนมากยาจะใช้ในการรักษาภาวะปอดอักเสบเรื้อรัง ดังต่อไปนี้
- หอบหืด ซึ่งเป็นโรคปอดที่พบได้บ่อยที่สุด โดยสาเหตุเกิดจากการอักเสบของหลอดลม
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ โรคซีโอพีดี (Chronic obstructive pulmonary disease, COPD) สาเหตุหลักเกิดจากการสูบบุหรี่ ซึ่งจะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดลม
ยาขยายหลอดลม มีหลายประเภท ดังนี้
- แบบออกฤทธิ์สั้น (short-acting) จะใช้สำหรับบรรเทาอาการในขณะที่เป็นทันที เช่น อาการหอบเหนื่อยที่เกิดอย่างคาดไม่ถึง เป็นต้น
- แบบออกฤทธิ์ยาว (long-acting) จะเป็นยาชนิดที่ใช้เป็นประจำ ใช้ในการควบคุมอาการทั้งในโรคหอบหืดหรือซีโอพีดี โดยอาจจะผสมยาสเตียรอยด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ยาขยายหลอดลมและยาสเตียรอยด์
ยาสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น คือ การรักษาหลักในปัจจุบัน เพื่อการอักเสบและป้องกันการกำเริบของโรคในภาวะหอบหืดได้ แต่ในบางรายอาจจะต้องใช้ยาขยายหลอดลมที่ผสมสเตียรอยด์ด้วยเพื่อที่จะเปิดขยายหลอดลมให้กว้างขึ้นเสริมการทำงานของสเตียรอยด์
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ในกรณีของผู้ป่วยซีโอพีดี การรักษาในระยะแรกจะเริ่มต้นด้วยการให้ยาขยายหลอดลมแบบฤทธิ์สั้น หรือแบบฤทธิ์ยาว และค่อยเพิ่มยา หรือให้ร่วมกันในผู้ป่วยที่มีภาวะรุนแรง
ชนิดของยาขยายหลอดลม
รูปแบบของยาขยายหลอดลมที่นิยมใช้ได้แก่
- กลุ่มเบต้า-2 อะโกนิสท์ (Beta-2 agonist) เช่น ซาลบูทามอล (salbutamol) ซาลเมเทอรอล (salmeterol) ฟอโมเทอรอล (formoterol)
- กลุ่มแอนตี้ โคลิเนอจิกส์ (anticholinergics) เช่น ไอปราโทรเปียม (ipratropium) ไทโอโทรเปียม (tiotropium)
- ยาธีโอฟิลลีน (theophylline)
ยาทั้งสองกลุ่มนั้นมีทั้งชนิดที่ออกฤทธิ์สั้นและออกฤทธิ์ยาว แต่ตัวยาธีโอฟิลลีนนั้นจะพบเฉพาะในรูปแบบฤทธิ์ยาว
ยาขยายหลอดลมกลุ่มเบต้า-2 อะโกนิสท์ (Beta-2 agonist)
กลุ่มเบต้า-2 อะโกนิสท์ (Beta-2 agonist) สามารถใช้รักษาได้ทั้งในโรคหอบหืดและซีโอพีดี โดยรูปแบบที่ใช้จะเป็นยาสูดพ่นขนาดที่เหมาะมือ แต่อาจจะมีรูปแบบเม็ดหรือยาน้ำได้เช่นกัน สำหรับกรณีที่รุนแรงมากอาจจะใช้รูปแบบฉีดหรือเนบูไลเซอร์ (nebuliser) แทน
เนบูไลเซอร์ (nebuliser) คือรูปแบบการใช้ที่เป็นการอัดละอองยาให้เป็นฝอยขนาดเล็กทำให้ผู้ป่วยสูดพ่นเข้าไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสวมเป็นหน้ากากและหายใจผ่านหน้ากากนั้น
ยากลุ่มเบต้า-2 อะโกนิสท์ ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นตัวรับชนิดเบต้า-2 ในกล้ามเนื้อภายในหลอดลม ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อนั้นคลายตัวและหลอดลมขยายออก โดยยากลุ่มนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวดังนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง (hyperthyroid)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia)
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
ยาขยายหลอดลมกลุ่มแอนตี้ โคลิเนอจิกส์ (anticholinergics)
ยาแอนตี้ โคลิเนอจิกส์ (anticholinergics) หรือเรียกอีกชื่อว่า แอนตี้มัสคารินิกส์ (antimuscarinics) โดยยากลุ่มนี้จะใช้ในผู้ป่วยกลุ่มซีโอพีดีเป็นหลัก โดยรูปแบบการใช้หลักคือจะเป็นยาชนิดสูดพ่นและเนบูไลเซอร์ (nebuliser)
ยาจะออกฤทธิ์โดยการขยายหลอดลมจากการไปยับยั้งประสาทชนิดโคลิเนอจิกส์ ซึ่งประสาทชนิดนี้จะปล่อยสารสื่อประสาทที่มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมหดตัว
ยากลุ่มนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ดังนี้
- ภาวะต่อมลูกหมากโต
- กระเพาะปัสสาวะอุดตัน หรือมีภาวะใดที่ทำให้การไหลของปัสสาวะติดขัดได้ เช่น นิ่ว หรือ มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น
- ต้อ หรือ ความดันในตาสูง
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตหรือกระเพาะปัสสาวะอุดตัน ยากลุ่มนี้จะทำให้ปัสสาวะยากยิ่งขึ้น หรือในกลุ่มผู้ที่เป็นต้อยาจะทำให้อาการต้อแย่ลงได้
ยาธีโอฟิลลีน (theophylline)
ยาธีโอฟิลลีน (theophylline) จะเป็นรูปแบบยาเม็ดหรือแคปซูล และจะมียากลุ่มเดียวกันชื่อว่า อะมิโนฟิลลีน (aminophylline) สามารถฉีดเข้าสู่เส้นเลือดได้ในกรณีที่เกิดภาวะหอบเหนื่อยรุนแรง
สำหรับยาธีโอฟิลลีนนั้นยังไม่ทราบถึงกลไกการออกฤทธิ์ที่ชัดเจน แต่ยาจะช่วยลดการอักเสบหรือบวมภายในหลอดลมได้ แต่เนื่องจากมีฤทธิ์ที่ต่ำกว่ายากลุ่มอื่นๆ จึงมักจะใช้ยาธีโอฟิลลีนควบคู่กับยากลุ่มอื่นมากกว่าจะเป็นยาหลัก ยากลุ่มนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ดังนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง (hyperthyroid)
- กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคตับต่างๆ
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- ภาวะกระเพาะอาหารมีแผล
- ภาวะชัก
ยาธีโอฟิลลีนอาจทำให้กลุ่มอาการเหล่านี้แย่ลงได้ ในผู้ที่มีปัญหาโรคตับอาจจะก่อให้เกิดการสะสมของยาที่ตับได้
ผลข้างเคียงของยาขยายหลอดลม
ผลข้างเคียงของยาขยายหลอดลมนั้นขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้ โดยผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้มีดังนี้
- อาการสั่น โดยเฉพาะมือสั่น
- ปวดศรีษะ
- ปากแห้งคอแห้ง
- ใจสั่น
- เหน็บชา ปวดกล้ามเนื้อ
- อาการไอ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย
การใช้ยาขยายหลอดลมในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
ในกรณีส่วนใหญ่ สามารถใช้ยาขยายหลอดลมได้อย่างปกติในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร แต่อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอและแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งว่าตนตั้งท้องหรือให้นมบุตรอยู่ การตั้งครรภ์อาจส่งผลให้โรคหอบหืดกำเริบได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการรับประทานอยาอย่างถูกต้องและครบถ้วนจึงมีความสำคัญมากเพื่อไม่ให้โรคกำเริบขึ้น
ปฏิกิริยาระหว่างยาขยายหลอดลมและยาชนิดอื่น
ยาในกลุ่มยาขยายหลอดลมนั้นสามารถเกิดปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นๆได้ ซึ่งอาจจะเพิ่มหรือลดฤทธิ์ยาได้ โดยยาที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยาขยายหลอดลมได้ ได้แก่
- ยาขับปัสสาวะบางชนิด
- ยารักษาโรคซึมเศร้าในกลุ่มทีซีเอ (TCAs)
- ยาไดจอกซิน (digoxin) ซึ่งเป็นยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ซึ่งเป็นยานอนหลับ
- ยาลิเทียม (lithium) ใช้สำหรับรักษาโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง และโรคไบโพล่า
- ยากลุ่มควิโนโลน (quinolones) ซึ่งจัดเป็นยาปฏิชีวนะ
ผลข้างเคียงของยาขยายหลอดลมกลุ่มเบต้า-2 อะโกนิสท์
ผลข้างเคียงหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้
- อาการสั่น โดยเฉพาะมือสั่น
- มีอาการกระวนกระวาย
- ปวดศรีษะ
- ใจสั่น
- ปวด เหน็บชา บริเวณกล้ามเนื้อ
อาการเหล่านี้สามารถหายได้เอง หรือผู้ใช้สามารถทนอาการข้างเคียงได้เองหลังจากใช้ยาไประยะหนึ่ง หากมีอาการที่ผิดปกติหรือทนต่ออาการข้างเคียงไม่ได้ให้รีบปรึกษาแพทย์เพื่อปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนยา
อาการผลข้างเคียงที่รุนแรงแต่เกิดขึ้นได้น้อยมากได้แก่ การเกิดการหดเกร็งของหลอดลม (paradoxical bronchospasm) หรือการใช้ยาเกินขนาดอาจก่อให้เกิดหัวใจวายได้
ผลข้างเคียงของยาขยายหลอดลมกลุ่มแอนตี้ โคลิเนอจิกส์ (anticholinergics)
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
อาการที่พบได้น้อย ได้แก่
- คลื่นไส้อาเจียน
- แสบร้อนกลางอก
- กลืนลำบาก (dysphagia)
- ใจสั่น
- ระคายเคื่องในลำคอ
- ปัสสาวะขัด
ผลข้างเคียงของยาธีโอฟิลลีน
ยาธีโอฟิลลีนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้หากมีปริมาณยาสะสมในร่างกายมาก การตรวจติดตามปริมาณยาในเลือดจึงสำคัญมาก ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้มีดังนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องเสีย
- ใจสั่น
- ปวดศรีษะ
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- นอนไม่หลับ