ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดได้จากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา ซึ่งวิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเชื้อที่ทำให้เกิดโรค
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ส.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 10 ต.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ควรได้รับการประเมินด้านอาการแสดงเพื่อการวินิจฉัยแยกโรค การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนทางประสาทและสมอง หรือเสียชีวิตจากความรุนแรงของโรค

ลักษณะอาการของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจทำให้เกิดอาการกะทันหันขึ้นดังต่อไปนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

  • มีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
  • ปวดศีรษะ
  • มีผื่นบวมที่กดแล้วไม่ยุบตัวลง
  • เจ็บคอ
  • อ่อนไหวต่อแสงจ้า
  • ง่วงนอนหรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า
  • ชัก
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ไม่มีสมาธิ

หากคุณมีอาการดังกล่าว ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคต่อไป ซึ่งวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่ทำให้เกิดโรค

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น เด็ก (โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี)
  • ผู้สูงอายุ (โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)
  • ผู้ติดสุรา
  • ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น เบาหวาน ไตวาย ตับแข็ง เอสแอลอี มะเร็ง โรคเอดส์ เป็นต้น
  • เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดม้าม เช่น การผ่าตัดม้ามเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียรักษาโรคธาลัสซีเมีย เพราะม้ามเป็นอวัยวะสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคให้กับร่างกาย
  • เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทางเดินน้ำไขสันหลัง เช่น ในผู้ป่วยทางเดินน้ำไขสันหลังอุดตันจากมะเร็งที่จำเป็นต้องผ่าตัดระบายน้ำไขสันหลังเข้าสู่ช่องท้อง จึงทำให้เชื้อโรคจากช่องท้องเข้าสู่เยื่อหุ้มสมองและสมอง
  • เป็นผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อของหูชั้นกลาง (หูชั้นกลางอักเสบหรือหูน้ำหนวก) หรือไซนัส (ไซนัสอักเสบ) เรื้อรัง
  • การอยู่ร่วมกันอย่างแออัด เช่น ในชุมชนแออัดและในค่ายทหาร ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเป็นโรคติดต่อต่างๆ
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

การวินิจฉัยโรค

การเจาะน้ำไขสันหลัง

ผู้ป่วยที่มีอาการทางคลินิกที่สงสัยว่าอาจจะมีการติดเชื้อที่ระบบประสาททุกรายควรได้รับการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อการวินิจฉัยและการรักษา ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนและแม่นยำในการวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะสามารถช่วยให้พบความผิดปกติต่างๆ ของน้ำไขสันหลังได้

ตัวอย่างความผิดปกติ เช่น ความดันน้ำไขสันหลังสูงกว่าปกติ น้ำไขสันหลังขุ่น (ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดเป็นหนอง) มีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลและโปรตีน มีการเปลี่ยนแปลงของชนิดและปริมาณของเม็ดเลือดขาว ตรวจพบเชื้อก่อโรคจากการนำน้ำไขสันหลังไปตรวจย้อมสีหรือเพาะเชื้อ เป็นต้น 

ความผิดปกติของน้ำไขสันหลังนี้จะมีลักษณะจำเพาะตามสาเหตุของโรค จึงนำมาใช้ในการแยกแยะสาเหตุได้อย่างแม่นยำ แต่ควรประเมินภาวะที่อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสมองจากการเจาะน้ำไขสันหลังก่อนทำด้วย

ข้อห้ามของการเจาะน้ำไขสันหลัง

1. ผู้ป่วยมีอาการแสดงที่บ่งชี้ถึงการสูญเสียการทำงานของสมองเฉพาะที่ (focal neurological deficit) 
2. ผู้ป่วยมีอาการแสดงบ่งชี้ถึงภาวะความดันสูงในกะโหลกศีรษะอย่างรุนแรง เช่น หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตสูง ม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง 
3. ผู้ป่วยมีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะเจาะน้ำไขสันหลัง 
4. ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เกล็ดเลือดต่ำกว่า 50,000 ตัวต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
5. ผู้ป่วยที่มีอาการป่วยรุนแรง เช่น มีอาการชักอย่างต่อเนื่องที่ยังไม่ตอบสนองต่อยากันชัก

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

นอกจากนี้ยังอาจมีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม ตามอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุและประเมินความรุนแรงของโรค เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ การถ่ายภาพสมองที่อาจมีอาการบวมด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพรังสีบริเวณปอดหรือไซนัส เพื่อตรวจดูการติดเชื้อในบริเวณอื่นที่อาจเกี่ยวเนื่องกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส เป็นต้น

การรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล แล้วให้การรักษาไปตามอาการ และให้ยารักษาเฉพาะตามสาเหตุ ได้แก่

  • การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้และบรรเทาอาการปวด ยากันชัก การให้น้ำเกลือในรายที่อาเจียนมากหรือกินไม่ได้ การให้อาหารทางสายยางในรายที่กินไม่ได้ การเจาะคอช่วยหายใจในรายที่หมดสติ การเจาะหลังเพื่อลดความดันน้ำไขสันหลัง เป็นต้น
    ในรายที่มีโรคลมชักแทรกซ้อน จำเป็นต้องให้ยากันชัก เช่น ฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbital) เฟนิโทอิน (Phenytoin) รักษาอย่างต่อเนื่อง
  • การให้ยารักษาเฉพาะตามสาเหตุ ได้แก่
    • ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แพทย์จึงให้การรักษาประคับประคองตามอาการเป็นหลัก แล้วอาการของผู้ป่วยจะดีขึ้นเองภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยไม่ทำให้เกิดผลกระทบใด ๆ ต่อร่างกาย ผู้ป่วยอาจรักษาด้วยตนเองได้โดยการนอนพักผ่อน ดื่มน้ำให้มาก ๆ และกินยาลดไข้และบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้แพทย์อาจสั่งจ่ายยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อลดการบวมในสมอง ยากันชัก (Anticonvulsant) เพื่อควบคุมการชักของผู้ป่วย หรือยาต้านไวรัสถ้าเกิดจากการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเฮอร์ปีส์ (Herpes virus)
    • ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ (เข้าเส้นเลือดดำ ) และหลังจากหายแล้วยังต้องเฝ้าระวังโรคแทรกซ้อนด้วย เช่น ตาบอด หูหนวก หรือชัก
    • ถ้าเกิดจากเชื้อวัณโรค แพทย์จะให้การรักษาด้วยยารักษาวัณโรคนาน 6-9 เดือน
    • ถ้าเกิดจากเชื้อรา แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา ได้แก่ แอมโฟเทอริซินบี (Amphotericin B), ฟลูโคนาโซล (Fluconazole), ไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
    • ถ้าเกิดจากเชื้ออะมีบา แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาแอมโฟเทอริซินบี (Amphotericin B) ร่วมกับยาอื่น ๆ เช่น ไมโคนาโซล (Miconazole), ไรแฟมพิซิน (Rifampicin), เตตราไซคลีน (Tetracycline)
    • ถ้าเกิดจากพยาธิ ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการและทำการเจาะหลังซ้ำบ่อย ๆ เพื่อลดความดันน้ำไขสันหลังให้กลับลงสู่ปกติ ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) เพื่อช่วยลดระยะเวลาของการปวดศีรษะ และลดจำนวนครั้งของการเจาะหลังลง

การป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เนื่องจากโรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ทางการไอ จาม และการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ดังนั้น การป้องกันที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันการติดเชื้อโดยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (ตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ) นอกจากนั้นคือ

1. หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและการติดเชื้อ

2. หลีกเลี่ยงการดื่มหรือกินอาหารจากภาชนะเดียวกันกับผู้อื่น

3. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพทุกวัน และพักผ่อนให้เพียงพอ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

4. หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และรู้จักการใช้หน้ากากอนามัย

5. รักษาหรือควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ดี เช่น ถ้าเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ (หูน้ำหนวก) หรือไซนัสอักเสบ ควรรีบรักษาให้หายขาด อย่าปล่อยให้เป็นเรื้อรังจนเข้าสมอง

6. ป้องกันไม่ให้เป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดและพยาธิหอยโข่ง โดยการไม่กินกุ้ง ปลา หรือหอยโข่งแบบดิบๆ

7. ผู้ที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคไข้กาฬหลังแอ่น แพทย์จะแนะนำให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin)

8. หากมีการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นการติดเชื้อชนิดที่ร้ายแรง แพทย์จะแนะนำให้กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเกิดโรค

9. ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคหรือเชื้อที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (แต่เชื้อส่วนใหญ่จะยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้)

วัคซีนสำหรับภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

วัคซีนไม่สามารถป้องกันภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น มะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง และยาบางชนิดได้ อย่างไรก็ตาม มีวัคซีนเหล่าที่สามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรีย 3 ชนิดคือ เชื้อไนซีเรียเมนิงไจไทดิส (Neisseria meningitidis) เชื้อฮิโมฟิลุสอินฟลูเอนซาชนิดบี (Haemophilus influenza type b: Hib) และสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ที่ก่อให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็กและผู้ใหญ่ได้ ดังนี้

วัคซีนป้องกัน Hib และวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ

  • ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกัน Hib อยู่ 6 ตัว โดยบางตัวต้องใช้ร่วมกับวัคซีนตัวอื่นๆ เช่น วัคซีนรวมสำหรับทารกและเด็ก (MenHibrix) ป้องกันเชื้อ Hib และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น กลุ่ม C และ Y โดยวัคซีนเหล่านี้จะให้ 3-4 เข็มขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ ช่วงเวลาการฉีดขึ้นอยู่กับแพทย์ประจำตัว
  • วัคซีนนิวโมคอคคัลคองจูเกต (Pneumococcal Conjugate Vaccine: Prevnar 13) สามารถช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย 13 สายพันธุ์ได้ โดยวัคซีนนี้แนะนำให้ฉีดในเด็กทุกคนที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 65 ปี ผู้ที่มีอายุมากกว่า 6 ปี หรือทุกคนที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างร่วมด้วย
  • วัคซีนนิวโมคอคคัลโพลีแซคคาไรด์ (Pneumococcal Polysaccharide Vaccine: Pneumovax) ช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย 23 สายพันธุ์ วัคซีนนี้แนะนำให้ฉีดในผู้ใหญ่ทุกคนที่อายุมากกว่า 65 ปี ผู้ที่อายุมากกว่า 2 ปี หรือทุกคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่นจากปัญหาสุขภาพและยาต่างๆ

วัคซีนโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส

ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อเอนเทอโรไวรัสที่ไม่ใช่โปลิโอ (Non-polio enterovirus) ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสได้มากที่สุด แต่วัคซีนสำหรับเชื้อไวรัสอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมอง ได้แก่ โรคคางทูม โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคอีสุกอีใส (Varicella) สามารถใช้วัคซีนป้องกันโรคคางทูม โรคไข้หวัดใหญ่ โรคหัดเยอรมัน และโรคสุกใส (Mumps measles rubella varicella vaccine) หรือที่เรียกว่าวัคซีนเอมเอมอาร์ (MMR) ป้องกันโรคได้


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)