แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะแนะนำว่า ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงกำลังตั้งครรภ์ควรหยุดรับประทานยาทุกชนิด แต่ความเจ็บป่วยก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจึงอาจต้องใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสามัญประจำบ้าน เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม มียาบางชนิดที่ควรหยุดใช้โดยเด็ดขาด (pregnancy category: X) เพราะพบว่า เป็นอันตรายต่อแม่และทารก และมีโทษมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการรักษา
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หากกำลังจะตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ตัวอย่างยาที่ควรหยุดใช้มีอะไรบ้าง?
ยาเสพติดทุกชนิด แอลกอฮอล์ ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดทุกชนิด กลุ่มยาระบบทางเดินอาหาร กลุ่มยาฆ่าเชื้อ กลุ่มยาแก้ปวดอักเสบ (non-steroidal anti-inflammatory drugs; NSAIDs)
กลุ่มยากดภูมิคุ้มกัน กลุ่มยาระบบผิวหนัง กลุ่มยาระบบหัวใจและหมุนเวียนโลหิต กลุ่มยาระบบประสาท ยารักษาโรค SLE
รายละเอียดของยาในแต่ละกลุ่ม ที่ควรหยุดใช้หากกำลังจะตั้งตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างตั้งครรภ์
กลุ่มยาระบบทางเดินอาหาร
ได้แก่ ไมโสพรอสทอล (misoprostol)
กลุ่มยาฆ่าเชื้อ
ได้แก่ เมทโทรนิดาโซล (metronidazole) กริซิโอฟัลวิน (Griseofulvin) TMP/SMX แบคทริม (Bactrim)
กลุ่มยาแก้ปวดอักเสบ (non-steroidal anti-inflammatory drugs; NSAIDs)
ได้แก่ ไดโคลฟีแนก(diclofenac) ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เซเลค็อกซิป (celecoxib) ในไตรมาสที่สาม
- Ibuprofen อาจส่งผลต่อการตกไข่ในผู้หญิง และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีสภาพไม่เหมาะสมแก่การฝังตัวของตัวอ่อน คุณผู้หญิงจึงควรงดใช้ยาตัวนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่สาม
กลุ่มยากดภูมิคุ้มกัน
ได้แก่ เมทโทเทรกเสด (methotrexate)
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
กลุ่มยาระบบผิวหนัง
ได้แก่ ยารักษาสิวบางชนิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในช่วงที่มีการตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดสิวบริเวณต่างๆ มากกว่าปกติ หากเป็นสิวในระหว่างตั้งครรภ์ สามารถรักษาได้โดยใช้ยาทาภายนอก เช่น Benzoyl peroxide gel ยาต้านแบคทีเรียชนิดทาภายนอก เช่น Clindamycin gel หรือ Erythromycin gel
ส่วนยาที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด ได้แก่ Tetracycline หรือ Isotretinoin รวมถึงยา Retin-A เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้ทารกเกิดความผิดปกติแต่กำเนิด
หากคุณกำลังรับประทานยาในกลุ่มนี้อยู่ให้หยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนพยายามจะตั้งครรภ์ และควรงดใช้ยาดังกล่าวในระหว่างตั้งครรภ์
กลุ่มยาระบบหัวใจและหมุนเวียนโลหิต
ได้แก่ ยาลดไขมัน (กลุ่ม statins) วาฟาริน (warfarin)
สำหรับยารักษาโรคความดันโลหิตสูง หากคุณมีภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension) อยู่แล้วและตั้งใจจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน โดยแพทย์อาจแนะนำให้ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร เพื่อให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับที่น่าพอใจก่อน
จากนั้นจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรัง มีความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ได้สูงกว่าปกติ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
นอกจากนี้ยาหลายตัวที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง เช่น ACE inhibitors ยังอาจไม่ปลอดภัยหากรับประทานในขณะตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ยังมียาลดความดันโลหิตสูงที่สามารถใช้ได้ขณะตั้งครรภ์
ดังนั้นคุณจึงควรมีการฝากครรภ์และติดตามประเมินผลโดยแพทย์อย่างต่อเนื่อง
กลุ่มยาระบบประสาท
ได้แก่ ไตรอะโซแลม (triazolam) ทีมาซีแปม (temazepam)
มีงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงมักมีอาการปวดศีรษะไมเกรนหลังจากการตั้งครรภ์ และผู้ที่เป็นไมเกรนอยู่แล้วก็มักมีอาการบ่อยขึ้น หรือปวดศีรษะรุนแรงขึ้น เนื่องจากความแปรปรวนของฮอร์โมนและความวิตกกังวลจากการตั้งครรภ์
แต่การใช้ยาเพื่อรักษาอาการไมเกรนบางชนิดยังไม่มีการยืนยันว่า ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ในขณะตั้งครรภ์ เช่น
- ยา Ergotamine (Cafergot): ห้ามใช้ขณะตั้งครรภ์
- ยา Imitrex (ยาฉีด): ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดนี้
- ยา Propranolol: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาชนิดนี้ในช่วงก่อนตั้งครรภ์
ส่วนยารักษาไมเกรนที่สามารถใช้ได้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ได้แก่ ยา Acetaminophen ยากลุ่ม Narcotics
ยารักษาโรค SLE
โรค Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ หากมีอาการรุนแรงระหว่างตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะคลอดก่อนกำหนด และภาวะแท้งบุตร
การรักษาโรค SLE ในบางครั้งต้องใช้ยาสเตียรอยด์ปริมาณสูง เช่น prednisolone ที่อาจเป็นอันตรายหากใช้ในช่วงก่อน หรือระหว่างตั้งครรภ์
ดังนั้นผู้ป่วยโรค SLE จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่ เพราะผู้ป่วยโรค SLE หลายคนที่ควบคุมอาการได้ ก็สามารถตั้งครรภ์และคลอดทารกที่สมบูรณ์แข็งแรงได้ตามปกติ
สิ่งสำคัญที่ผู้หญิงซึ่งกำลังเริ่มตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงกำลังตั้งครรภ์ ควรปฏิบัติคือ การฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด เพื่อรับการตรวจและดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์
ไม่ควรหาซื้อยามาใช้ด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอปiOS และ Android