การนวดแผนไทย (Thai Massage) หรือที่เรียกกันว่า นวดแผนโบราณ เป็นการรักษาที่เรียกว่าหัตถเวชกรรมไทย โดยใช้การบีบ นวด คลึง ดัด ดึง กด ทุบ เคาะ สับ ประคบร้อน อบ เพื่อให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้อย่างสมดุล
นวดแผนไทยมีกี่ประเภท
การนวดแผนไทย นอกจากจะแบ่งตามลักษณะการนวดที่มีมาแต่โบราณออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การนวดแบบเชลยศักดิ์ และการนวดแบบราชสำนักแล้ว นอกจากนี้ นวดแผนไทยยังสามารถแบ่งตามสรรพคุณได้ 4 ประเภท คือ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- การนวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดเพื่อผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี เส้นเอ็นที่ตึงจะหย่อนลง ทำให้ข้อต่อต่างๆ ไม่ติดขัด
- นวดเพื่อบำบัดรักษา คือ การนวดที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะในการักษาโรค หรือรักษาผู้ป่วย เน้นนวดเพื่อให้อาการของกล้ามเนื้อ และข้อต่อดีขึ้น ช่วยให้ขยับข้อต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น
สำหรับโรค หรืออาการเจ็บป่วยที่มักใช้การนวดแผนไทยรักษาเข้ามารักษาอาการ คือ โรคเกี่ยวกับปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ โรคเกี่ยวกับข้อต่อ เช่น ไหล่ติด เข่าตึง
ส่วนอาการเจ็บป่วยที่นิยมนำการนวดแผนไทยมารักษาเสริม ได้แก่ ปวดหัว โรคเครียด โรคนอนไม่หลับการนวดรูปแบบนี้ผู้นวดต้องมีความรู้เรื่องโรคต่าง ๆ ที่ให้การรักษาอย่างมาก - นวดเพื่อป้องกันโรค การนวดประเภทนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย และไม่ได้เคลื่อนไหว เช่น ผู้ป่วยนอนติดเตียง ผู้ป่วยที่มีแผลจากกดทับที่ผิวหนังหุ้มกระดูก ผู้ป่วยที่มักมีเสมหะติดอยู่ในปอด หรือุดตันที่หลอดลม
- นวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นการนวดเพื่อให้ร่างกายกับสู่สภาวะปกติ เหมาะกับผู้ที่ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน โดยการนวดแผนไทยจะช่วยลดอาการเกร็ง ทำให้ร่างกายฟื้นฟูเร็วขึ้นจนสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนวดในนักกีฬาทั้งก่อนและหลังการเล่นกีฬา รวมถึงการบาดเจ็บจากการเล่น
องค์ประกอบการนวด
การนวดแต่ละครั้งอาจมีกรรมวิธีหลายอย่างประกอบกันดังนี้
- นวดด้วยมือ เป็นการใช้มือทั้ง 2 ข้างนวดคลึงด้วยวิธีต่างๆ เช่น กด บีบ บิด ดึง ดัด ทุบ เคาะ สับ เพื่อสร้างความผ่อนคลายจุดต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่นวดตัว (Body massage) เพื่อการปรับสมดุลของสรีระ
- นวดฝ่าเท้า (Foot massage) เป็นการเพื่อช่วยผ่อนคลายเส้นเอ็น น่อง ขา และเข่า อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือผสมผสานกันก็ได้
- นวดน้ำมัน (Aroma therapy) การนวดน้ำมันจะใช้น้ำมันอโรม่าที่สกัดจากพืชธรรมชาติซึ่งมีกลิ่นหอม ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น เป็นวิธีบำบัดด้วยกลิ่น และการซึมเข้าผิวหนัง เช่น น้ำมันกุหลาบลดความเครียดได้ น้ำมันเซจลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้
- นวดประคบ (Herbal ball massage) การประคบสมุนไพรมักเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากนวดเสร็จแล้ว ใช้เวลาประคบประมาณ 15-20 นาที โดยใช้ความร้อนช่วยให้สมุนไพรซึมเข้าสู่ผิวหนัง สามารถช่วยให้ลดความปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดการติดขัดของข้อต่อ เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
สมุนไพรที่นิยมใช้นวดประคบได้แก่ ตะไคร้ มะกูด ขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย ไพล ใบมะขาม ใบส้มป่อย ใบพลับพลึง
อ่านเพิ่มเติม: นวดไทย นวดน้ำมัน ต่างกันอย่างไร ประคบร้อนด้วยดีหรือไม่?
อาการเจ็บป่วยที่การนวดแผนไทยช่วยบรรเทาได้
การนวดแผนไทยสามารถรักษาได้ทั้งอาการทางร่างกาย และจิตใจได้มากมายดังต่อไปนี้
- ปวดช่วงคอ หัวไหล่ ใบหน้า ไหล่ติด ไหล่อักเสบ สะบักจม อาจเกิดจากการนั่งทำงานออฟฟิศเป็นเวลานานโดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ นอนตกหมอน หรือคอเคล็ด
- ปวดช่วงแขน ต้นแขน นิ้วล็อค มีก้อนปมหลังมือ
- ปวดเมื่อยช่วงหลัง เอว กระดูกสันหลังคด ยอกหลัง
- ปวดกล้ามเนื้อที่เกิดจากการยึดติดของพังผืด มักเกิดกับอาชีพที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวมาก นั่งนานๆ หรืออาจเกิดจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บจนฉีกขาด
- ปวดช่วงขา เข่า โครงสร้างขาผิดรูป ขาโก่ง ข้อเบี่ยง ข้อเคลื่อน
- โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ
- อาการตะคริว เหน็บชา
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการนวดแผนไทย
แม้การนวดไทยจะมีจุดประสงค์เพื่อการรักษา แต่ก็มีข้อจำกัดในผู้ป่วยบางโรค และบางอาการที่อาจเกิดอันตรายได้หากไปนวด ดังนี้
- ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดแล้วแผลยังไม่หายดี รวมถึงผู้ที่ปลูกถ่ายผิวหนังมา ก็ยังไม่ควรมานวดแผนไทย เพราะอาจทำให้แผลปริแตกได้
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ และโรคความดันสูง หากผู้ป่วยมีค่าความดันเลือดสูงสุด (Systolic) สูงกว่า 160 mmHg และค่าความดันเลือดต่ำสุด (Diastolic) สูงกว่า 100 mmHg ไม่ควรนวดแผนไทย เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอักเสบ ความดันขึ้นสูงได้
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกชนิด การนวดถูกจุดที่มีเชื้อมะเร็งในระยะลุกลาม อาจทำให้เชื้อมะเร็งลุกลามเร็วขึ้น รวมถึงมีโอกาสที่เชื้อจะกระจายสู่เส้นเลือดและน้ำเหลือง
- ผู้ที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือหกล้มเป็นแผล มีรอยฟกช้ำ กล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกหักทำให้มีลิ่มเลือด กลุ่มผู้ที่มีอาการเหล่านี้ห้ามมานวดแผนไทยเด็ดขาด หากนวดถูกบริเวณที่มีลิ่มเลือด อาจทำให้ลิ่มเลือดไหลไปตามเส้นเลือด และอุดตันจนเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
- ผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส เพราะอาการไข้ในระยะนี้จะทำให้กล้ามเนื้อยอกได้ง่าย
- สตรีมีครรภ์ หากมานวดแผนไทยอาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์
- ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน เพราะอาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติเกิดจากเลือดลมในร่างกายแปรปรวน
- ผู้ที่มีกระดูกเปราะ กระดูกบาง ข้อต่อหลวม ไม่ควรมานวดเป็นอย่างยิ่ง เพราะเสี่ยงที่กระดูกจะหัก หรือแตกได้
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และผู้สูงอายุ ควรระมัดระวังการนวด และการประคบร้อนเป็นพิเศษ เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการตอบสนองต่อความร้อนช้าอาจทำให้ผิวหนังไหม้ หรือพองได้ง่าย
ขั้นตอนการบำบัดด้วยการนวดไทย
สำหรับคนที่ไม่เคยไปใช้บริการนวดไทย ก็คงจะสงสัยว่า พนักงานมีวิธีการในการนวดอย่างไร และมีขั้นตอนก่อนหลังอะไรบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วขั้นตอนของการนวดไทยจะมีดังต่อไปนี้
1. เตรียมความพร้อมในการนวดไทย
ในขั้นตอนนี้ผู้ให้บริการจะทำการอธิบายรายละเอียดในการปฏิบัติ ว่าจะนวดจุดใดบ้าง โดยทั่วไปจะไล่ตั้งแต่เท้า ขา แขน มือ หลัง คอ และศีรษะตามลำดับ รวมทั้งแจ้งประโยชน์ของการนวดในแต่ละจุดให้ฟัง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
2. เตรียมอุปกรณ์สำหรับนวดไทย
ขั้นต่อมานี้ผู้ให้บริการจะจัดเตรียมห้อง และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการนวดแผนไทย เช่น หมอนรองศีรษะ ที่นอน หมอนรองเข่า บางแห่งจะมีชุดเปลี่ยนให้ผู้รับการนวดสวม มักเป็นชุดใส่สบายแต่รัดกุม สามารถยกแขน ขา จัดท่าโดยผู้นวดได้อย่างสะดวก
3. ให้บริการนวดไทย
ก่อนจะเริ่มนวดแผนไทย พนักงานจะแนะนำการปฏิบัติตนสำหรับผู้นวด เช่น การทำความสะอาดฝ่าเท้าก่อนนวด และถอดเครื่องประดับออกเพื่อความสะดวกในการนวดไทย
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการจะปฏิบัติตามมารยาทการนวดไทย เช่น สำรวมทำสมาธิก่อนเริ่มนวด ระหว่างการนวดต้องไม่นั่งคร่อมผู้ใช้บริการ และไม่หายใจรดผู้ใช้บริการ หลังจากนั้นจะนวดตามจุดต่างๆ โดยแบ่งเป็นท่าตามลำดับ ดังนี้
- ท่านอนหงาย จะเป็นการนวดบริเวณขา ไล่ตั้งแต่ฝ่าเท้า โคนขา ขาด้านใน เข่า ฝ่าเท้า 3 แนว นวดกดเส้น
- ท่านอนคว่ำ นวดหลัง 2 แนว ไล่ตั้งแต่เอวถึงไหล่ รวมทั้งบริเวณขาหลัง หน้าแข้ง
- ท่านอนหงายอีกครั้ง ครั้งนี้จะเป็นการนวดศีรษะ ทั้งบริเวณหัวคิ้ว กลางคิ้ว หางคิ้ว แก้ม เบ้าตา ไล่ถึงไรผม และขมับ
- ท่านั่ง ท่านี้จะเป็นการนวดช่วงบนเป็นหลัก ได้แก่ หัวไหล่ คอ ท้ายทอย โดยการประสานมือหนีบที่คอ
4. แนะนำการปฏิบัติหลังนวดเสร็จ
หลังจากเสร็จสิ้นการนวดไทย ผู้ให้บริการจะแนะนำการปฏิบัติที่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการแต่ละคน รวมทั้งแนะนำทรีตเมนต์การนวดไทยที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมให้
ศาสตร์การนวดอื่นๆ
นอกจากศาสตร์การนวดไทยพื้นฐานแล้ว ตามสถานบริการหลายแห่งยังมักมีชื่อการนวดแบบอื่นๆ เช่น การนวดเฉพาะจุดอย่างนวดเท้า นวดคอ นวดบ่า นวดไหล่ หรือเป็นชื่อกรรมวิธีนวด อย่างนวดสวิดิช นวดหินร้อน รายละเอียดของการนวดแต่ละแบบมีดังนี้
1. นวดสวิดิช (Swedish massage)
เป็นหนึ่งในศาสตร์การนวดที่ได้รับความนิยมเช่นกัน รูปแบบคล้ายกับการนวดกล้ามเนื้อทั่วไป แต่การนวดสวิดิชจะเป็นการนวดที่อ่อนโยน และเบามือกว่า เน้นเพื่อการผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย หรือนั่งท่าเดิมนานๆ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ดังนั้น การนวดสวิดิชจึงเหมาะกับผู้ที่เริ่มนวดเป็นครั้งแรก พนักงานออฟฟิศ หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะการนวดสวิดิชจะช่วยกระตุ้นปลายประสาท การหมุนเวียนโลหิต และต่อมน้ำเหลืองให้ทำงานได้ดีขึ้น
2. นวดหินร้อนบำบัด (Hot stone therapy)
การนวดหินร้อนบำบัดนั้นมีความใกล้เคียงกับการนวดแบบสวิดิชมาก เพียงแต่การนวดหินร้อนบำบัดจะสามารถคลายความตึงของกล้ามเนื้อ และความปวดเมื่อยได้มากกว่า เพราะการนวดโดยใช้หินกดน้ำหนักได้ดีกว่าฝ่ามือคน
ในขั้นแรกของการนวดด้วยศาสตร์นี้ พนักงานจะนำหินไปแช่น้ำร้อนให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมก่อน แล้วจึงนำหินร้อนไปวางไว้บนจุดต่างๆ ของร่างกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และอาจใช้หินนวดไปตามตัวโดยใช้เทคนิคความอ่อนโยนแบบเดียวกับสวิดิชเลยก็ได้
3. นวดเท้า (Foot massage)
ร้านนวดไทยหลายร้านจะมีการแยกรายการการนวดออกมาตามความต้องการของลูกค้า โดยจะมีการนวดเท้า ฝ่าเท้า นวดขาอย่างเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ปวดเมื่อยจากการยืนเป็นเวลานาน
การนวดเท้าครอบคลุมถึงขาด้วย โดยจะนวดทีละฝั่งและมักเริ่มจากฝั่งซ้ายก่อน เริ่มจากขยำมือไล่ตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงโคนขา ทั้งขาด้านใน ขาด้านนอก มีการกดกึ่งกลางฝ่าเท้าเพื่อเป็นการเปิดประตูลมเท้า
จากนั้นพนักงานคลึงเข่า งอเข่า ตั้งเข่าขึ้น บิดเข้าด้านในรวมถึงนวดน่อง พับขาติดสะโพกก่อนจะกลับมาดัดปลายเท้า จากนั้นจึงสลับข้าง ทำเช่นเดิมอีกครั้ง
4. นวดคอ บ่า ไหล
เป็นการนวดช่วงบนเพื่อคลายปวดเมื่อย โดยจะใช้นิ้วมือกดที่หัวไหล่ค่อยๆไล่เป็นระยะไปจนถึงบริเวณคอทั้ง 2 แนว ต่อด้วยนวดโค้งคอทั้งซ้ายและขวาสลับกัน กดท้ายทอย 3 จุด นวดขมับ และกลับมาใช้มือประสานกันหนีบคอเป็นจังหวะ ใช้ศอกกดไหล่ทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน
จากนั้นพนักงานจะเอียงคอผู้เข้ารับบริการชิดหัวไหล่ข้างใดข้างหนึ่ง และกดไหล่ให้ยืดคลายทั้งซ้ายขวาสลับกัน ปิดท้ายด้วยการนวดบ่า ทั้งใช้มือขยำ ใช้มือประสานกันสับบริเวณบ่า
สาเหตุที่ทำให้นวดแล้วยังปวดตัวอยู่
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมไปนวดเพื่อคลายอาการปวดแล้วยังมีอาการระบมเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม ซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จากปัจจัยต่อไปนี้
- อาการอักเสบของร่างกาย เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้หลังจากนวด โดยจะสังเกตได้จากบริเวณที่อักเสบจะปวด บวม แดง ร้อน หรือเส้นอักเสบเฉียบพลัน เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ ให้ประคบด้วยน้ำเย็น 24-28 ชั่วโมง จากนั้นประคบร้อนเพื่อลดอาการปวด
- ถูกนวดกดน้ำหนักมากเกินไป หากผู้รับการรักษารู้สึกเจ็บมากเกินไป ในการนวดครั้งต่อไป คุณสามารถแจ้งกับพนักงานได้เพื่อให้เบาน้ำหนักมือลง
- ผู้ที่มานวดครั้งแรก หรือไม่ได้มานวดเป็นเวลานานแล้ว อาจทำให้กล้ามเนื้อยังไม่คุ้นชิน
- มีอาการป่วยก่อนไปนวด หากคุณกำลังมีไข้แล้วไม่ได้รับการซักประวัติ หรือตรวจสอบก่อนเข้ารับบริการ คุณก็อาจทำให้มีอาการปวดตัวมากขึ้นหลังจากนวดเสร็จได้ หรืออาการป่วยอาจทรุดหนักกว่าเดิม
ปัจจุบันมีคอร์ส แพ็กเกจการนวดอยู่หลายแนวทาง ทั้งบริการ และส่วนของร่างกายที่คุณต้องการเน้นให้ผ่อนคลาย ผู้รับบริการควรเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ เช่น ต้องการผ่อนคลาย ฟื้นฟู หรือรักษาสุขภาพ เฉพาะของแต่ละคน
อีกสิ่งสิ่งสำคัญที่คุณต้องไม่ลืมเด็ดขาด คือ ถ้าคุณเป็นผู้มีปัญหาสุขภาพ หรือโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์เสียก่อนว่า สามารถทำการนวดได้หรือไม่ เนื่องจากการนวดนั้นมีการบีบไล่ กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียน อาจทำให้อาการของโรคบางอย่างแย่ลงได้
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจนวด สปา จากร้านนวดและร้านสปาใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android