ยาปฏิชีวนะเป็นยาชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติช่วยฆ่าและยับยั้งการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรีย แต่ยาชนิดนี้มักทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง เบื่ออาหาร ฯลฯ แม้ว่าอาการข้างเคียงเหล่านี้ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัว แต่มันก็มีแนวโน้มที่จะหายอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การทานอาหารอย่างเหมาะสมสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงและช่วยในการรักษาตัว สำหรับบทความในวันนี้ เราจะพาคุณไปดูว่าอาหารชนิดใดที่ควรทานหรือเลี่ยงขณะที่ทานยาปฏิชีวนะ
อาหารที่ควรทานในระหว่างหรือหลังทานยาปฏิชีวนะ
คนมีแบคทีเรียและจุลชีพชนิดอื่นๆ ในลำไส้ประมาณล้านล้านตัว ซึ่งยาปฏิชีวนะจะไปต่อสู้กับแบคทีเรีย และทำให้แบคทีเรียชนิดดีเสียสมดุล ซึ่งเป็นจุลชีพที่ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันปกป้องร่างกายไม่ให้ติดเชื้อไวรัส เมื่อยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียเสียสมดุล มันก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ฯลฯ อย่างไรก็ดี การทานโปรไบโอติกและพรีไบโอติกในระหว่างและหลังทานยาปฏิชีวนะสามารถช่วยคืนความสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้
1.โปรไบโอติก
โปรไบโอติกเป็นจุลชีพที่มีชีวิต ซึ่งถูกจัดให้เป็นแบคทีเรียชนิดที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้โปรไบโอติกสามารถช่วยลดผลข้างเคียงบางอย่างของยาปฏิชีวนะอย่างอาการท้องอืดและท้องเสีย หลังจากที่ทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว การทานโปรไบโอติกสามารถช่วยคืนความสมดุลของจุลชีพในลำไส้
2.พรีไบโอติก
พรีไบโอติกเป็นอาหารสำหรับแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ การให้อาหารแบคทีเรียก่อนและหลังทานยาปฏิชีวนะสามารถช่วยให้ลำไส้กลับมาอยู่ในสภาวะสมดุล อย่างไรก็ดี มีอาหารบางชนิดที่มีพรีไบโอติกสูง เช่น หัวหอม กระเทียม กล้วย รากชิโคริแก่นตะวัน ฯลฯ ในบางครั้งผู้ผลิตก็อาจเติมพรีไบโอติกลงในอาหารบางชนิด เช่น โยเกิร์ต นมผงของทารก ซีเรียล ขนมปัง ฯลฯ อย่างไรก็ดี พรีไบโอติกส่วนมากเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ หากทานมากเกินไป มันก็อาจทำให้เกิดก๊าซหรือท้องอืด หากคิดจะทานพรีโบโอติก คุณควรทำอย่างช้าๆ เพื่อให้ลำไส้ปรับตัว
3.อาหารหมักดอง
อาหารหมักดองเป็นแหล่งของแบคทีเรียชนิดดี ซึ่งอาหารหมักดองทุกชนิดมีจุลชีพ แต่ความร้อนหรือกระบวนการกรองสามารถฆ่าแบคทีเรียชนิดดี สำหรับอาหารที่มีจุลชีพ เช่น มิโสะ เทมเป้ กิมจิ โยเกิร์ต ซาลามี ชีสบางชนิด ผักดอง
4.วิตามินเค
ยาปฏิชีวนะฆ่าแบคทีเรียทุกชนิดแม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ช่วยในการทำงานของร่างกาย โดยหมายความรวมถึงแบคทีเรียชนิดที่ผลิตวิตามินเค ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำให้เลือดแข็งตัว อย่างไรก็ดี คุณสามารถมีส่วนช่วยลดผลกระทบของยาปฏิชีวนะที่มีต่อวิตามินเคโดยทานอาหารบางชนิด ตัวอย่างเช่น ผักเคล ผักโขม เทอร์นิพ ผักคอลลาร์ด สวิสชาร์ด พาร์สลีย์ ผักกาดเขียวปลี กะหล่ำดาว ฯลฯ
5.ไฟเบอร์
ไฟเบอร์อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ซึ่งเราควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในขณะที่ทานโปรไบโอติก เพราะมันอาจส่งผลต่อการดูดซึมยาที่กระเพาะอาหาร อย่างไรก็ตาม เมื่อทานยาปฏิชีวนะครบตามที่แพทย์จ่ายให้แล้ว การทานอาหารที่มีไฟเบอร์สามารถช่วยฟื้นฟูแบคทีเรียชนิดดีและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างของอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น อาร์ติโชก กล้วย เบอร์รี ถั่ว บร็อคโคลี่ เลนทิล ถั่ว โฮลเกรน ฯลฯ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในขณะที่ทานยาปฏิชีวนะ
อาหารบางชนิดสามารถลดประสิทธิผลของยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะเกรปฟรุตและน้ำเกรปฟรุตที่สามารถหยุดการสลายและดูดซึมยา นอกจากนี้มีงานวิจัยระบุว่าอาหารที่มีการเติมแคลเซียมเป็นจำนวนมาก เช่น น้ำส้มบางชนิด ก็สามารถไปขัดขวางการดูดซึมยาปฏิชีวนะบางชนิด ส่วนแอลกอฮอล์ก็เป็นเครื่องดื่มที่เราควรหลีกเลี่ยงในระหว่างทานยา แม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ระดับปานกลางไม่ได้ไปขัดขวางการทำงานของยาปฏิชีวนะ แต่มันอาจทำให้ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นแย่ลง อย่างไรก็ดี แพทย์จะแนะนำไม่ให้ดื่มแอลกอฮอล์ชนิดใดๆ ก็ตามหากผู้ป่วยอยู่ในช่วงทานยาปฏิชีวนะชนิดใดชนิดหนึ่งดังนี้
- เมโทรนิดาโซล: ใช้รักษาการติดเชื้อในช่องปาก การติดเชื้อในช่องคลอด การติดเชื้อที่แผลบริเวณขา และแผลกดทับ
- ทินิดาโซล: ใช้รักษาการติดเชื้อในช่องปาก การติดเชื้อในช่องคลอด การติดเชื้อที่แผลบริเวณขา แผลกดทับ และกำจัดแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Helicobacter pylori ในลำไส้
การดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ทานยาปฏิชีวนะข้างต้นสามารถทำให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรง และทำให้เกิดอาการอื่นๆ ตามมา เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ง่วงนอน ฯลฯ ผู้ที่ทานยาปฏิชีวนะควรเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์นานกว่า 48 ชั่วโมงหลังทานยาเมโทรนิดาโซลจนครบตามที่แพทย์สั่ง และ 72 ชั่วโมงหลังทานยาทินิดาโซล
การฟื้นฟูแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้หลังจากทานยาปฏิชีวนะนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งสามารถทำโดยทานโปรไบโอติก พรีไบโอติก อาหารหมักดอง และไฟเบอร์ นอกจากนี้ผู้ที่ทานยาปฏิชีวนะควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เรากล่าวไปข้างต้น ซึ่งสามารถทำให้ประสิทธิผลของยาปฏิชีวนะลดลง
ที่มา: https://www.medicalnewstoday.c...322374.php