โรคซึมเศร้าอาจรบกวนการใช้ชีวิต กระทบต่อความสัมพันธ์และสุขภาพกาย ควรรีบรับการรักษาอย่างถูกต้อง
โรคซึมเศร้าคืออะไร?
โรคซึมเศร้า (Depression) จัดเป็นภาวะความผิดปกติทางอารมณ์รูปแบบหนึ่ง เป็นความรู้สึกซึมเศร้า หดหู่ หรือโกรธเกรี้ยวที่ส่งผลรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
โรคซึมเศร้านั้นพบได้ค่อนข้างบ่อย จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกาในปี 2013-2016 พบว่า ผู้ใหญ่อายุ 20 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 8.1 นั้นมีภาวะซึมเศร้า
คนแต่ละคนอาจเผชิญภาวะซึมเศร้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน และอาการซึมเศร้าอาจรบกวนชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงและหมดเปลืองเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากนี้ยังอาจกระทบต่อความสัมพันธ์และทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังด้านสุขภาพด้วย
ความผิดปกติด้านสุขภาพที่มักมีอาการแย่ลงเมื่อผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย ได้แก่
ควรทำความเข้าใจก่อนว่า ความรู้สึกผิดหวังที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวนั้นเป็นเรื่องปกติของชีวิต สิ่งที่ทำให้โศกเศร้า หรือไม่พึงพอใจเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากคุณรู้สึกหดหู่หรือสิ้นหวังแม้กับเรื่องเล็กน้อยธรรมดา นั่นอาจหมายถึงคุณกำลังเผชิญกับโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้านั้นจัดเป็นปัญหาสุขภาพที่มีความสำคัญ และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาการอาจรุนแรงขึ้น คนที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมส่วนมากจะมีอาการดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
อาการของโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้านั้นอาจรุนแรงกว่าความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจตามปกติ โดยทั่วไปโรคซึมเศร้ามักแสดงอาการที่หลากหลาย ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ หรือแม้กระทั่งต่อร่างกาย อาการอาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นๆ หายๆ เป็นช่วงๆ ก็ได้
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
โรคซึมเศร้านั้นส่งผลกระทบต่อผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กแตกต่างกันไป
อาการของโรคซึมเศร้าในผู้ชายที่พบบ่อย ได้แก่
- ด้านอารมณ์ โกรธเกรี้ยว ก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล และกระวนกระวาย
- ด้านความรู้สึก รู้สึกว่างเปล่า เศร้า หรือสิ้นหวัง
- ด้านพฤติกรรม หมดความสนใจ ไม่มีความสุขกับกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ เหนื่อยง่าย คิดถึงการฆ่าตัวตาย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก ใช้ยาเสพติด และเกี่ยวพันกับกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเจ็บตัว
- ด้านพฤติกรรมทางเพศ มีความต้องการทางเพศลดลง หรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- ด้านการคิดและสติปัญญา ขาดสมาธิจดจ่อ ไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้ ตอบสนองช้าในระหว่างการสนทนา
- ด้านการนอนหลับ นอนไม่หลับ อดนอน ง่วงซึม และนอนไม่หลับในตอนกลางคืน
- ด้านร่างกาย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ และมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
อาการของโรคซึมเศร้าที่มักพบในผู้หญิง ได้แก่
- ด้านอารมณ์ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
- ด้านความรู้สึก รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า วิตกกังวล หรือสิ้นหวัง
- ด้านพฤติกรรม หมดความสนใจในกิจกรรมต่างๆ แยกตัวจากสังคม คิดถึงการฆ่าตัวตาย
- ด้านการคิดและสติปัญญา คิดหรือพูดช้าลง
- ด้านการนอนหลับ มีอุปสรรคในการนอนตอนกลางคืน ตื่นเร็ว หรือนอนมากเกินไป
- ด้านร่างกาย มีพลังงานลดลง อ่อนเพลีย เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากกว่าปกติ น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ เป็นตะคริวบ่อย
อาการของโรคซึมเศร้าในเด็ก ได้แก่
- ด้านอารมณ์ โกรธง่าย หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ร้องไห้บ่อย
- ด้านความรู้สึก รู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ (เช่น ทำอะไรก็ผิดไปหมด) หรือรู้สึกสิ้นหวัง ซึมเศร้าอย่างรุนแรง
- ด้านพฤติกรรม มักมีปัญหาที่โรงเรียน หรือไม่อยากไปโรงเรียน หลีกเลี่ยงการพบปะเพื่อนฝูง พี่น้อง และคิดถึงการฆ่าตัวตาย
- ด้านการคิดและสติปัญญา ขาดสมาธิจดจ่อ ผลการเรียนแย่ลง
- ด้านการนอนหลับ นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
- ด้านร่างกาย ไม่มีพลังงาน มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหาร เบื่ออาหารหรืออยากอาหารกว่าปกติ น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว
อาการของโรคเหล่านี้อาจส่งผลถึงสภาพร่างกายและจิตใจด้วย
สาเหตุของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความผิดปกติทางชีวภาพไปจนถึงสภาพแวดล้อมภายนอก
สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ประวัติในครอบครัว คนที่มีครอบครัวซึ่งเคยเผชิญภาวะโรคซึมเศร้า หรือโรคผิดปกติทางอารมณ์ จะมีความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้ามากกว่าคนอื่นๆ
- บาดแผลทางใจในวัยเด็ก เหตุการณ์บางอย่างนั้นส่งผลต่อร่างกายในการตอบสนองต่อความกลัวหรือต่อสภาวะที่มีความเครียดสูง
- โครงสร้างของสมอง ผู้ที่สมองส่วนหน้าตื่นตัวน้อยกว่าปกติ มีโอกาสจะเกิดโรคซึมเศร้าได้สูง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเกิดภาวะซึมเศร้า
- ภาวะด้านสุขภาพ ปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าได้ เช่น โรคเรื้อรัง ภาวะนอนไม่หลับ การบาดเจ็บเรื้อรัง หรือโรคสมาธิสั้น
- การใช้ยา ประวัติการใช้ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์เกินขนาด อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้
มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ทราบว่าภาวะซึมเศร้าที่เป็นอยู่เกิดจากอะไร และประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ใช้สารเสพติดร้ายแรงก็มักเผชิญกับโรคซึมเศร้าเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก ได้แก่
- การขาดความนับถือในตัวเอง หรือโทษตัวเองบ่อยครั้ง
- เคยมีประวัติความเจ็บป่วยทางจิต
- มีการใช้ยาบางชนิด
- มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดสูง เช่น สูญเสียของรัก ปัญหาเศรษฐกิจ หรือการหย่าร้าง
ปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากนี้อาจส่งผลให้เกิดความรู้สึกซึมเศร้าได้เช่นกัน และบ่อยครั้ง สาเหตุของภาวะซึมเศร้ามักสัมพันธ์กับความเจ็บป่วยทางกายด้วย
การตรวจหาโรคซึมเศร้า
การตรวจหาโรคซึมเศร้ายังไม่สามารถทำได้โดยใช้เพียงวิธีใดวิธีหนึ่ง แพทย์จึงมักวินิจฉัยโรคโดยดูจากอาการและการประเมินทางสภาพจิตใจ ส่วนมาก แพทย์จะถามคำถามหลายข้อที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความอยากอาหาร การนอนหลับ การทำกิจกรรมต่างๆ และความรู้สึกนึกคิด
เนื่องจากโรคซึมเศร้ามักเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านสุขภาพอื่นๆ ด้วย แพทย์อาจตรวจร่างกายหรือให้ตรวจเลือดเพิ่มเติม เช่น บางครั้งความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ หรือภาวะขาดวิตามินดีก็ส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าได้
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เมื่อเกิดอาการซึมเศร้า เราไม่ควรละเลยความรู้สึกดังกล่าว หากสภาพอารมณ์ไม่ดีขึ้นหรือยิ่งแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป ควรแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากโรคซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยทางใจ และหากไม่ได้รับการรักษาจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น
- น้ำหนักลด หรือน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- เสี่ยงต่อการใช้สารเสพติด
- มีอาการตื่นตกใจ
- มีผลกระทบด้านลบต่อความสัมพันธ์
- เกิดการปลีกตัวจากสังคม
- เกิดความคิดอยากฆ่าตัวตาย
- เกิดการทำร้ายตัวเอง
ประเภทของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าสามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ตามความรุนแรงของอาการ ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการไม่รุนแรงและเกิดเป็นครั้งคราว ในขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
โดยทั่วไปเราแบ่งโรคซึมเศร้าได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) และโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง (Persistent depressive disorder)
โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder)
โรคซึมเศร้าเป็นประเภทที่มีอาการหนักที่สุด ผู้ป่วยมักมีอาการซึมเศร้า สิ้นหวัง และรู้สึกไร้ค่าอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถทำให้อาการหายไปเองได้
ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้าประเภทนี้ แพทย์จะดูว่าผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้อย่างน้อย 5 ข้อ เป็นเวลาติดต่อกันตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไปหรือไม่
- รู้สึกซึมเศร้าเกือบตลอดทั้งวัน
- หมดความสนใจในกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างชัดเจน
- นอนมากเกินไป หรือนอนไม่หลับ
- คิดหรือเคลื่อนไหวช้าลง
- อ่อนเพลีย หรือมีพลังงานต่ำเกือบตลอดทั้งวัน
- รู้สึกไร้ค่า หรือรู้สึกผิดอยู่เสมอ
- ขาดสมาธิจดจ่อ หรือไม่สามารถตัดสินใจได้
- คิดถึงความตาย หรือการฆ่าตัวตายบ่อยๆ
โรคซึมเศร้า ยังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยๆ ได้อีก ได้แก่
- Atypical features ผู้ป่วยมักอยากอาหารมากกว่าปกติ นอนมาก น้ำหนักขึ้น
- Anxious distress มักมีอาการวิตกกังวล หวาดหวั่น หวาดกลัว อึดอัด ไม่สบายใจ เกรงว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับตน
- Mixed features ผู้ป่วยจะแสดงอาการซึมเศร้า ขาดความสนใจหรือความชอบในกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำร่วมกับอาการอื่นๆ หลายอย่าง ทั้งไม่มีพลังจะทำสิ่งใด รู้สึกไร้ค่า น้ำหนักเปลี่ยนแปลงผิดปกติ นอนมากหรือนอนน้อยเกินไป หงุดหงิด กระสับกระส่าย ทำสิ่งต่างๆ ได้ช้า หรือไม่อยากทำอะไรเลย ไม่มีสมาธิจดจ่อ คิดวนเวียนเกี่ยวกับความตายหรือการฆ่าตัวตาย
- Peripartum onset ซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอด
- Seasonal patterns ความผิดปกติทางอารมณ์จากฤดูที่เปลี่ยนแปลง
- Melancholic features มีภาวะสิ้นยินดี (anhedonia) คือไม่มีความสนใจหรือพึงพอใจในกิจกรรมที่โดยปกติเป็นที่พึงพอใจ ตื่นแต่เช้า น้ำหนักลด ผิดหวังอย่างมากแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย คิดฆ่าตัวตาย
- Catatonia ซึมลึก ไม่ตอบสนองต่อการพูดคุย เฉยเมย เพิกเฉย กระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คาดว่าจะเป็น (Negativism) และกระวนกระวาย
โรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง (Persistent depressive disorder (PDD))
โรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง ในอดีตเรียกว่า Dysthymia เป็นอาการซึมเศร้าประเภทที่รุนแรงน้อยกว่า แต่เกิดขึ้นแบบเรื้อรัง
ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง แพทย์จะดูว่าอาการของโรคนั้นเกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี โรคซึมเศร้าแบบเรื้อรังอาจกระทบต่อชีวิตประจำวันได้มากกว่าโรคซึมเศร้าแบบแรก เนื่องจากมีอาการเป็นเวลานานกว่า อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วย ได้แก่
- หมดความสนใจต่อกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
- รู้สึกสิ้นหวัง
- ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง
- ความเชื่อมั่นและนับถือในตนเองลดลง
โรคซึมเศร้านั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากผู้ป่วยปฏิบัติตามแนวทางรักษาอย่างเคร่งครัด
การรักษาโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าอาจมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาที่เหมาะกับตนเอง
ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการของโรคได้โดยใช้การรักษาวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลากหลายวิธีร่วมกัน ระหว่างการรักษาทางการแพทย์ร่วมกับการบำบัดในชีวิตประจำวัน วิธีการรักษาดังกล่าว ได้แก่
การรักษาด้วยยา
แพทย์อาจสั่งยาต้านโรคซึมเศร้า ยาบรรเทาอาการวิตกกังวล หรือยาระงับอาการทางจิตให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งยาแต่ละชนิดนั้นอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้บ้าง
การรักษาด้วยจิตบำบัด
การพูดคุยกับนักจิตบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับความรู้สึกด้านลบได้ดีขึ้น และผู้ป่วยจะได้รับประโยชน์จากการบำบัดร่วมกับครอบครัวหรือร่วมกับกลุ่มผู้ป่วยคนอื่นๆ
การรักษาด้วยแสงบำบัด
การสัมผัสกับแสงขาวภายใต้ความเข้มระดับหนึ่ง จะช่วยในการจัดการอารมณ์ของผู้ป่วยและทำให้อาการของโรคซึมเศร้าดีขึ้น การรักษาวิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิด Seasonal affective disorder (หรือปัจจุบันเรียกว่า โรคซึมเศร้าชนิด Seasonal pattern)
การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก
เช่น การฝังเข็ม หรือการใช้อาหารเสริมสมุนไพร อย่างเซนต์จอห์นเวิร์ต, SAMe และน้ำมันปลา อาจสามารถบรรเทาอาการซึมเศร้าได้เช่นกัน
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อาหารเสริมเหล่านี้ ควบคู่ไปกับการกินยาตามที่แพทย์สั่ง เนื่องจากสารบางอย่างในอาหารเสริมอาจทำปฏิกิริยากับยาได้ และอาหารเสริมบางตัวอาจทำให้อาการซึมเศร้าแย่ลง หรือทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้เช่นกัน
การออกกำลังกาย
ควรตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละ 30 นาที การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยปรับอารมณ์ให้แจ่มใสเบิกบาน
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสารเสพติด
แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดอาจช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ในระยะยาว สารเหล่านี้จะทำให้อารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวลแย่ลงได้
ฝึกที่จะปฏิเสธ
การต้องรับผิดชอบงานจำนวนมากอาจทำให้อาการซึมเศร้าและวิตกกังวลแย่ลง ผู้ป่วยจึงควรกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบและแยกงานออกจากชีวิตส่วนตัว เพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
ดูแลตัวเอง
ผู้ป่วยสามารถเยียวยาอาการซึมเศร้าได้โดยการดูแลตัวเองให้ดี เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงคนที่ทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบ และร่วมทำกิจกรรมที่ช่วยให้เบิกบานใจ
บางครั้งภาวะซึมเศร้าอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา แพทย์จึงมักแนะนำทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาควบคู่ไปด้วยหากพบว่าอาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น ซึ่งได้แก่ การบำบัดด้วยไฟฟ้า หรือการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก
การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยวิธีธรรมชาติ
การรักษาโรคซึมเศร้าโดยทั่วไปมักใช้ยาควบคู่กับการให้คำปรึกษา แต่ปัจจุบันมีการรักษาทางเลือกอีกหลายวิธีที่ผู้ป่วยอาจใช้ได้ผลเช่นกัน
แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติเหล่านี้มีการศึกษาทางคลินิกรับรองค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ยังไม่รับรองอาหารเสริมต่างๆ ว่าใช้รักษาในทางการแพทย์ได้จริงหรือไม่ เราจึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือเท่านั้น และต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอหากต้องการใช้อาหารเสริมสมุนไพรควบคู่กับการรักษา
การใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
มีสารสกัดในอาหารเสริมหลายชนิดที่เชื่อว่าช่วยบรรเทาอาการโรคซึมเศร้าได้ ตัวอย่างเช่น
เซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John’s wort)
การศึกษาหลายชิ้นให้ผลแตกต่างกันไป ปัจจุบันสมุนไพรชนิดนี้ใช้บำบัดโรคซึมเศร้าในยุโรปอย่างแพร่หลาย ส่วนในอเมริกา ยังไม่มีการรับรองสรรพคุณสมุนไพรชนิดนี้ในทางการแพทย์
S-adenosyl-L-methionine (SAMe)
ฤทธิ์ของสารชนิดนี้ในการบำบัดโรคซึมเศร้ายังมีการศึกษาค่อนข้างน้อย จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า SAMe จะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดในผู้ป่วยที่ได้รับยายับยั้งการดูดกลับเซโรโทนิน (Selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)) ซึ่งเป็นยาต้านโรคซึมเศร้าชนิดหนึ่ง ปริมาณซีโรโทนินจะถูกกำจัดให้น้อยลง ทำให้สามารถส่งต่อสารสื่อประสาทได้มากขึ้น
5-Hydroxytryptophan (5-HTP)
5-HTP จะทำให้ระดับเซโรโทนินในสมองเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ ร่างกายเราสามารถสร้างสารชนิดนี้ได้เองเช่นกัน เมื่อเราบริโภค Tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างสายโปรตีน
กรดไขมันโอเมก้า-3
กรดไขมันจำเป็นชนิดนี้มีความสำคัญต่อพัฒนาการของระบบประสาทและสมอง การรับประทานโอเมก้า-3 เสริมจึงช่วยลดอาการของโรคซึมเศร้าได้
การใช้น้ำมันหอมระเหย
น้ำมันหอมระเหยถือเป็นวิธีบำบัดตามธรรมชาติที่ใช้รักษาอาการต่างๆ ได้มากมาย แต่งานวิจัยที่ยืนยันสรรพคุณในการบรรเทาอาการซึมเศร้านั้นยังมีค่อนข้างน้อย
มีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจมีอาการดีขึ้นได้ เมื่อใช้น้ำมันหอมระเหยต่อไปนี้
- น้ำมันกระทือ (Wild ginger) การสูดดมน้ำมันกระทือซึ่งมีกลิ่นแรง จะช่วยกระตุ้นตัวรับเซโรโทนินในสมอง และช่วยชะลอการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดได้
- น้ำมันเบอร์กาม็อท น้ำมันจากผลไม้ตระกูลส้มชนิดนี้สามารถลดอาการวิตกกังวลในผู้ที่รอรับการผ่าตัด สรรพคุณดังกล่าวยังให้ผลดีต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการวิตกกังวลด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่รองรับชัดเจนนัก
น้ำมันชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันคาร์โมไมล์ หรือน้ำมันกุหลาบ อาจมีฤทธิ์ช่วยให้อารมณ์สงบได้เมื่อสูดดม แต่สรรพคุณดังกล่าวมักเห็นผลในการใช้ระยะสั้นเท่านั้น
การใช้วิตามิน
วิตามินนั้นมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า มีวิตามิน 2 ชนิด ที่สามารถบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้า ได้แก่
- วิตามินบี วิตามินบี12 และ บี6 นั้นสำคัญต่อการทำงานของสมอง หากระดับวิตามินบีต่ำ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าจะสูงขึ้น
- วิตามินดี บางครั้งอาจเรียกว่า วิตามินจากแสงแดด เนื่องจากการสัมผัสแสงแดดจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินชนิดนี้ วิตามินดีมีความสำคัญต่อสมอง หัวใจ และกระดูก มักพบว่าผู้ที่มีภาวะซึมเศร้ามีระดับวิตามิน ดีในร่างกายต่ำด้วย
ยังมีสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และวิตามินอีกหลายชนิด ที่กล่าวกันว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ส่วนมากยังไม่มีงานวิจัยที่รับรองสรรพคุณทางการแพทย์อย่างชัดเจน จึงควรศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ให้ดี และปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
การป้องกันโรคซึมเศร้า
ตามปกติแล้วโรคซึมเศร้าถือเป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากมักไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าภาวะดังกล่าวเกิดจากอะไร การป้องกันจึงยิ่งทำได้ยาก เมื่อใดก็ตามที่ต้องเผชิญกับอารมณ์ซึมเศร้า สามารถเตรียมการรับมือเพื่อป้องกันอาการของโรคในอนาคตได้ โดยเรียนรู้แนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการบำบัดที่ช่วยเยียวยาภาวะดังกล่าว
แนวทางการปฏิบัติที่สามารถช่วยได้ ได้แก่
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- การบำบัดสภาพจิตใจอย่างต่อเนื่อง
- ผ่อนคลายความเครียด
- สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับคนรอบข้าง
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่ช่วยบรรเทาอารมณ์ด้านลบซึ่งอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดูแลสุขภาพ เป็นต้น
โรคซึมเศร้าแบบอารมณ์สองขั้ว (Bipolar depression)
โรคซึมเศร้าแบบอารมณ์สองขั้วเกิดในผู้ป่วยที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) อยู่แล้ว และอยู่ในช่วงที่เผชิญกับภาวะซึมเศร้า
ผู้ป่วยโรคอารมณ์สองขั้วมักมีอารมณ์แปรปรวนสลับไปมาระหว่าง 2 ช่วง คือช่วง Mania ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการตื่นตัว กระวนกระวาย มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ สูง กับช่วง Depression ซึ่งผู้ป่วยจะแสดงอาการซึมเศร้าและหมดพลัง อาการของโรคอารมณ์สองขั้วขึ้นอยู่กับชนิดของโรคด้วย เช่น ผู้ป่วยบางคนอาจแสดงอาการของช่วง Mania เท่านั้น โดยไม่มีอาการซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว มีดังนี้
- หมดความสนใจหรือไม่รู้สึกสนุกกับกิจกรรมทั่วๆ ไป
- รู้สึกเศร้า วิตกกังวล หรือว่างเปล่า
- ไม่มีพลังจะทำกิจกรรมใดๆ หรือไม่สามารถทำงานจนสำเร็จได้
- มีปัญหาในการจดจำ หรือการระลึกถึงความทรงจำ
- นอนมากเกินไป หรือนอนไม่หลับ
- น้ำหนักเพิ่มหรือน้ำหนักลด ซึ่งเป็นผลมาจากความอยากอาหารหรือเบื่ออาหาร
- ครุ่นคิดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตายบ่อยครั้ง
หากโรคอารมณ์สองขั้วได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาการซึมเศร้าก็มักทุเลาลงตามไปด้วย
ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล
อารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวลอาจเกิดขึ้นพร้อมกันในผู้ป่วยได้ และจากการศึกษาพบว่า ราวๆ 70% ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอาการวิตกกังวลไปด้วย แม้เรามักคิดว่าอารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวลนั้นเกิดจากปัจจัยที่ต่างกัน แต่ความรู้สึกทั้งสองก็ส่งผลให้เกิดอาการที่คล้ายกันหลายอย่าง เช่น กระวนกระวาย มีปัญหาในการจดจำและสมาธิจดจ่อ รวมถึงปัญหาในการนอนหลับ
อารมณ์ซึมเศร้าและวิตกกังวลมีวิธีการรักษาบางส่วนที่เหมือนกัน เช่น การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม การใช้ยา หรือการบำบัดทางเลือกอื่นๆ อย่างการสะกดจิต
หากรู้สึกว่าตนเองมีอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
ภาวะซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
โรคย้ำคิดย้ำทำหรือ Obsessive-compulsive disorder (OCD) จัดเป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ความคิด การกระทำ และความกังวลต่างๆ ซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่พึงปรารถนาและไม่สามารถควบคุมได้
ความกังวลหรือความกลัวเหล่านี้จะครอบงำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมหรือการกระทำอย่างเดิมซ้ำๆ (หรือการย้ำทำ เนื่องจากควบคุมจิตใจไม่ได้) ซึ่งผู้ป่วยมักรู้สึกไปเองว่าการกระทำดังกล่าวจะช่วยลดความกดดันจากการย้ำคิดได้
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค OCD มักพบว่าตนเองมีความคิดและการกระทำอย่างเดิมซ้ำๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้จนทำให้รู้สึกแปลกแยก และนำไปสู่การปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนและสังคมรอบข้าง ส่งผลให้โอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าสูงขึ้นได้
ผู้ป่วยโรค OCD อาจไม่จำเป็นต้องเป็นโรคซึมเศร้าเสมอไป แต่การเป็นโรควิตกกังวลชนิดหนึ่งก็มีโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่โรคอื่นๆ ได้สูง และจากการศึกษาพบว่ามีผู้ป่วยโรค OCD จำนวนมากถึง 80% ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแบบรุนแรงด้วย
ในเด็ก การป่วยเป็นสองโรคนี้ในเวลาเดียวกันเป็นเรื่องที่น่ากังวล พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก อาจทำให้พวกเขารู้สึกผิดปกติ และนำไปสู่การแยกตัวจากกลุ่มเพื่อน ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าสูงขึ้นตาม
โรคซึมเศร้ากับอาการผิดปกติทางจิต
ผู้ป่วยบางคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าแบบรุนแรง อาจมีอาการผิดปกติทางจิตร่วมด้วย เมื่อเกิดทั้งสองโรคขึ้นพร้อมกัน เราจะเรียกภาวะนี้ว่า โรคจิตชนิดซึมเศร้า หรือ Depressive psychosis
Depressive psychosis ทำให้ผู้ป่วยเห็น ได้ยิน เชื่อ หรือได้กลิ่นของสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้อาจมีความรู้สึกซึมเศร้า สิ้นหวัง และหงุดหงิดง่ายร่วมด้วย การมีอาการของสองโรคนี้ร่วมกันนั้นค่อนข้างอันตราย เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดภาพหลอนที่นำไปสู่ความเสี่ยงอื่นๆ หรือการฆ่าตัวตายได้
ปัจจุบันยังไม่ทราบว่าโรคทั้งสองนี้เกิดจากสาเหตุใด หรือทำไมผู้ป่วยจึงเผชิญสองโรคนี้พร้อมกัน แต่การรักษาอย่างเหมาะสม ทั้งการใช้ยาและบำบัดด้วยไฟฟ้าสามารถช่วยบรรเทาอาการได้
โรคซึมเศร้าในระหว่างตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์นั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีว่าที่คุณแม่จำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าไปพร้อมกันด้วย
อาการของโรคซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่
- มีการเปลี่ยนแปลงในด้านความอยากอาหารหรือพฤติกรรมการกิน
- รู้สึกสิ้นหวัง
- วิตกกังวล
- หมดความสนใจต่อกิจกรรมรอบตัว หรือสิ่งที่เคยชื่นชอบ
- รู้สึกซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง
- มีปัญหาในการใช้สมาธิและการจำ
- มีปัญหากับการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
- คิดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย
การรักษาโรคซึมเศร้าในระหว่างตั้งครรภ์ จะเน้นไปที่การพูดคุยให้คำปรึกษาและการบำบัดโดยวิธีธรรมชาติเป็นหลัก บางรายต้องรับยาต้านโรคซึมเศร้าไปด้วยระหว่างตั้งครรภ์ แต่ยังไม่มีการศึกษาใดรองรับว่ายาชนิดใดปลอดภัยที่สุด แพทย์จึงมักใช้การบำบัดทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาไปจนกว่าทารกจะคลอด
ความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้านั้นไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อทารกคลอดเท่านั้น แต่ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดหรือที่เรียกว่า Major depressive disorder with peripartum onset ก็เป็นโรคที่น่ากังวลสำหรับคุณแม่มือใหม่เช่นกัน การสังเกตอาการได้เร็วจะช่วยให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก่อนจะอาการจะรุนแรงขึ้น
โรคซึมเศร้ากับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
มีงานวิจัยบางชิ้นที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้านั้นมีแนวโน้มที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินขนาด
มีการสำรวจพบว่าประมาณ 50% ของผู้ติดสารเสพติดจะมีอาการทางจิตประสาท และจากการศึกษาในปี 2012 พบว่า ร้อยละ 63.8 ของคนที่ติดแอลกอฮอล์จะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ อาจส่งผลให้อาการโรคซึมเศร้าแย่ลง และผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้วก็มีแนวโน้มก็ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หนักขึ้นหรือดื่มมากขึ้นด้วย
เป้าหมายในการบำบัดโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า อาจแสดงอาการเพียงชั่วคราวหรืออาจกลายเป็นปัญหาในระยะยาวก็ได้ บางครั้งการรักษาก็ไม่สามารถบรรเทาอาการซึมเศร้าให้หายได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยการรักษาที่เหมาะสมจะทำให้สามารถควบคุมอาการได้ดีขึ้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวคือการใช้ยาควบคู่ไปกับการบำบัดอื่นๆ หากแนวทางการรักษาหนึ่งไม่ได้ผล ผู้ป่วยก็อาจตอบสนองต่อการรักษาด้วยแนวทางอื่นๆ ได้ดีกว่า
ที่มาของข้อมูล
Kimberly Holland, Everything You Want to Know About Depression (>https://www.healthline.com/health/depression), December 2018
Reading seminar เรื่อง Depressivedisorder: etiology andclinical feature นําเสนอโดย พญ. ดลฤดี เพชรสุวรรณ, อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.นพ. มาโนช หล่อตระกูล, (https://med.mahidol.ac.th/ramamental/sites/default/files/public/pdf/Depressive%20Disorder%20-%20Etiology%20and%20Clinical%20Features.pdf), 17 ตุลาคม 2548
Nancy Schimelpfening, Medically reviewed by a board-certified physician, Depressive Disorder With Mixed Features - Causes, Symptoms, and Diagnosis, (https://www.verywellmind.com/what-does-depressive-disorder-with-mixed-features-mean-1067282), 21 January 2019