รู้จักกับโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary artery disease) เกิดจากหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเกิดตีบ หรือตันขึ้น ซึ่งส่วนมากเกิดจากไขมัน และเนื้อเยื่อเข้าไปสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือด (Plaque) จนทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในตำแหน่งนั้นๆ หนาตัวขึ้น และส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจมีขนาดแคบลง
เมื่อหลอดเลือดมีขนาดแคบลง ผลที่ตามมาคือ เลือดที่คอยขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปสู่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจก็จะผ่านไปได้น้อย หรืออาจผ่านไปไม่ได้เลย จนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด
ตรวจหัวใจและหลอดเลือดวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 294 บาท ลดสูงสุด80%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
ปกติแล้วผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจจะเริ่มมีอาการของภาวะนี้เมื่อมีการอุดตันของหลอดเลือดมากกว่า 50% ไปแล้ว โดยอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้แก่
- แน่นหน้าอก (Angina)
- หายใจลำบาก (Shortness of breath)
- โรคหัวใจวายหรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart attack)
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดมีอาการเจ็บหน้าอกที่มีลักษณะจำเพาะ (Typical Angina) ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 อย่าง ได้แก่
- อาการแน่นหน้าอกเหมือนถูกทับ จะเกิดบริเวณแนวกลางของกระดูกอก (Retrosternal Chest Pain) หรือบริเวณกลางอก และอาจร้าวไปบริเวณหัวไหล่ซ้าย แขนซ้าย หรือกรามด้านซ้ายได้
- อาการมักสัมพันธ์กับการออกกำลัง
- อาการจะทุเลาลงเมื่อพัก หรืออมยาอมใต้ลิ้น (Nitroglycerin)
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางกายและภาวะอารมณ์ ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแน่นหน้าอกที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยก็อาจพบภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
- ภาวะหัวใจขาดเลือด (Myocardial infarction)
- ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure)
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ
สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดกั้น มักเกิดจากผนังหลอดเลือดถูกทำลาย จนทำให้เกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลและสารต่างๆ ในชั้นของหลอดเลือด จนเยื่อบุผนังบริเวณนั้นๆ หนาตัวขึ้น
ตรวจหัวใจและหลอดเลือดวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 294 บาท ลดสูงสุด80%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด ได้แก่
- การสูบบุหรี่
- ภาวะความดันเลือดสูง
- ระดับคอเรสเตอรอลในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- การได้รับรังสีบริเวณทรวงอก
- พฤติกรรมนั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยขยับตัว
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกิน
- ความเครียด
นอกจากปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น อายุและเพศก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อโอกาสที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน โดยความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจจะเพิ่มขึ้นเมื่อผู้ป่วยอายุเพิ่มขึ้น และเพศชายจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าเพศหญิง
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากพบว่าตนเองมีอาการที่อาจบ่งบอกว่าเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรปรึกษากับแพทย์ เพื่อประเมินอาการ ตรวจร่างกายเพิ่มเติม หากแพทย์พิจารณาว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะมีโรคหลอดเลือดหัวใจอุดกั้น แพทย์แนะนำให้เข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม ดังนี้
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG หรือ EKG): เพื่อประเมินว่ากำลังเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือไม่
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram: ECHO): เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ
- การตรวจสมรรถภายหัวใจด้วยการออกกำลังกาย หรือสเตรสเทส (Stress test): เป็นการตรวจโดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยออกกำลังโดยวิ่งบนสายพาน หรือปั่นจักรยานร่วมกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจในช่วงที่มีการออกกำลัง ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
- การใส่สายสวนหัวใจร่วมกับการฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ: เพื่อประเมินหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจว่ามีการอุดกั้นหรือไม่ ถ้ามี แพทย์ก็จะสามารถประเมินได้ว่ามีความรุนแรงของการอุดกั้นมากน้อยเพียงใด
- การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan (Computerised Tomography): เป็นการตรวจเพื่อประเมินโครงสร้างของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ อีกทั้งสามารถดูการสะสมของแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI Scan (Magnetic Resonance Imaging): เป็นการตรวจโดยใช้หลักการของการถ่ายภาพรังสีแม่เหล็ก เพื่อประเมินการอุดกั้นของหลอดเลือดหัวใจ
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เช่น หยุดสูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดน้ำหนัก ลดความเครียด และรวมถึงการจ่ายยา ดังนี้
- ยาลดคอเลสเตอรอลในเลือด: เพื่อลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low Density Lipoprotein: LDL) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- แอสไพริน (Aspirin): เพื่อลดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ป้องกันการเกิดการอุดกั้นของหลอดเลือดหัวใจซ้ำในอนาคต
- ยากลุ่มเบต้า บล็อคเกอร์ (Beta Blockers): เพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจและลดความดันเลือด
- ยาขยายหลอดเลือด (Vasodilator): เพื่อบรรเทาอาการแน่นหน้าอก และเพิ่มปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ
- ยาลดความดันโลหิตกลุ่มเอซีอี (Angiotensin Converting Enzyme: ACE): เพื่อลดความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
นอกจากนี้ ในคนไข้บางกลุ่มอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม เช่น
- การใส่ขดลวดหลอดเลือดหัวใจ (intracoronary stent): แพทย์จะใส่สายสวนเข้าไปทางหลอดเลือดจนถึงตำแหน่งของหลอดเลือดที่มีการอุดกั้น จากนั้นแพทย์จะใส่ขดลวดที่เป็นโลหะขนาดเล็กเข้าไปในบริเวณที่มีการตีบแคบของหลอดเลือด เพื่อทำการขยายพื้นที่ให้เลือดสามารถไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพิ่มขึ้น
- การใส่บอลลูน (Balloon Angioplasty): แพทย์จะใส่สายสวนที่คล้ายกับการใส่ขดลวดหลอดเลือดหัวใจ และใส่บอลลูนที่ยังไม่ได้ใส่ลมเข้าไปถึงบริเวณที่หลอดเลือดมีการตีบแคบ จากนั้นแพทย์จะใส่ลมเข้าไปในบอลลูน เพื่อให้บอลลูนดังกล่าวขยายตัวออก และทำให้หลอดเลือดที่ตีบอยู่มีการขยายขนาดจากการพองตัวของบอลลูนบนผนังหลอดเลือด หลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการทำหัตถการ แพทย์จะนำสายสวนออกมาพร้อมตัวบอลลูน
- การผ่าตัดเบี่ยงการเดินของหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) : วิธีรักษาแบบนี้มักถูกเรียกสั้นๆ ว่า "การทำบายพาส" ซึ่งจะต้องทำการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมทรวงอกและหัวใจเท่านั้น โดยแพทย์จะใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ในสภาพดี เช่น แขน ขา แล้วนำมาสร้างเป็นทางเดินเลือดใหม่ ให้เลือดสามารถไหลผ่านทางเบี่ยงดังกล่าวไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ในที่สุด นอกจากนี้ การทำบายพาสยังจำเป็นต้องมีการผ่าตัดเปิดทรวงอกร่วมด้วย
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง เช่น
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ไม่สูบบุหรี่
- พักผ่อนให้เพียงพอ
เบาหวานขึ้นตามีวิธีรักษาอย่างไรบ้างค่ะ