ภาพรวมของอาการเดินเซ
อาการเดินเซ (Ataxia) เกิดจากการที่กล้ามเนื้อขาดการประสานงาน การประสานงานมีความบกพร่อง หรือสูญเสียการประสานงาน ทำให้การเคลื่อนไหวไม่ประสานกัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เมื่อการสื่อสารระหว่างสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกขัดขวาง ทำให้เกิดอาการตัวกระตุก การเคลื่อนไหวเสียสมดุล การทรงตัวผิดปกติ ซึ่งอาการเดินเซ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วยพอสมควร
อาการที่เกิดขึ้นจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่ประสานงานกัน
การเดินเซ อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจเกิดอาการขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณเตือน ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้เดินลำบาก เคลื่อนไหวแขนและขายาก และท้ายที่สุดอาจทำให้สูญเสียทักษะที่มีความละเอียด เช่น การเขียนหนังสือ หรือการติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น
อาการอื่นๆ ที่สามารถพบได้ในผู้ที่มีอาการเดินเซ ได้แก่
- เวียนศีรษะ
- การมองเห็นผิดปกติ
- มีปัญหาในการพูด หรือมีการพูดเปลี่ยนแปลงไป
- กลืนลำบาก
- ร่างกายสั่น
อาการเหล่านี้เป็นอาการที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะอาการบางอย่างคล้ายกับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หากพบอาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
สาเหตุของอาการเดินเซ
อาการเดินเซเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจากสภาวะโรคเรื้อรัง ไปจนถึงโรคที่มีอาการเฉียบพลัน แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการเดินเซ มีสาเหตุมาจากสมองน้อย (สมองส่วนซีรีเบลลัม) ได้รับความเสียหายหรือเสื่อมสภาพลง
สาเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับโรคและการบาดเจ็บ
การเคลื่อนไหวที่มีการประสานงานกันของร่างกายจะเกี่ยวข้องกับสมองน้อย (ซีรีเบลลัม) เส้นประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nerves) และไขสันหลัง โรคและการบาดเจ็บบางอย่างต่อไปนี้ อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือทำลายโครงสร้างต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเดินเซ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ
- โรคพิษสุราเรื้อรัง (Alcoholism)
- การติดเชื้อ
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) : โรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสมองและไขสันหลัง
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack (TIA))
- อาการเดินเซที่เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม
- สมองพิการ (Cerebral Palsy) : กลุ่มของความผิดปกติที่สมองเด็กได้รับความเสียหายในระยะต้นของการพัฒนาการ
- เนื้องอกในสมอง
- กลุ่มอาการพารานีโอพลาสติก (Paraneoplastic Syndromes) : ความผิดปกติในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อเนื้องอกมะเร็ง
- โรคเส้นประสาท (Neuropathy) คือโรคหรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาท
- การบาดเจ็บที่ไขสันหลัง (Spinal Injuries)
- โรคทางพันธุกรรมที่มีอาการเดินเซ เช่น
- โรค Friedreich’s Ataxia : โรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติของการสร้างพลังงานในระบบประสาทและในหัวใจ
- โรค Wilson’s Disease : โรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งมีการสะสมของทองแดง (Copper) ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อตับและระบบประสาท
สาเหตุที่เกิดจากสารพิษ (Toxins)
สารบางชนิดมีฤทธิ์ที่ส่งผลให้เกิดอาการเดินเซได้ เช่น
- แอลกอฮอล์ (พบได้บ่อย)
- ยากันชัก
- ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy Drugs)
- ยาลีเทียม (Lithium)
- โคเคน และ เฮโรอีน
- ยาระงับประสาท (Sedatives)
- ปรอท ตะกั่ว และโลหะหนักอื่นๆ
- โทลูอีน (Toluene) และตัวทำละลายชนิดอื่นๆ
การไปพบแพทย์เมื่อมีอาการเดินเซ
คุณควรไปพบแพทย์ทันที ถ้ามีอาการใดๆ ดังต่อไปนี้
- ร่างกายเสียสมดุล ทรงตัวลำบาก
- กลืนลำบาก
- กล้ามเนื้อขาดการประสานงานกันเป็นเวลาหลายนาที
- กล้ามเนื้อที่ขา แขน หรือมือ ข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง ขาดการประสานงานกัน
- พูดไม่ชัด
- เดินลำบาก
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะซักประวัติทางการแพทย์ ตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจร่างกายทางระบบประสาทเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากขึ้นเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยจะตรวจความสามารถในการทรงตัว การเดิน การชี้ของนิ้วเท้าและนิ้วมือ และยังมีการทดสอบที่เรียกว่า Romberg Test ที่ต้องทำเพื่อดูว่าคุณสามารถทรงตัวได้ขณะปิดตาและยืนได้บนขาทั้ง 2 ข้าง
บางครั้ง แพทย์ก็สามารถระบุสาเหตุของอาการเดินเซอย่างชัดเจน เช่น การบาดเจ็บที่สมอง การติดเชื้อ หรือเกิดจากสารพิษ แต่ในบางกรณีแพทย์ต้องถามคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของคุณ เพื่อให้ชี้เฉพาะลงไปได้มากขึ้นว่าสาเหตุของการเกิดโรคเกิดจากอะไร โดยคำถามที่มักใช้ ได้แก่
- คุณเริ่มมีอาการเมื่อไร
- คนในครอบครัวมีอาการคล้ายๆ กันหรือไม่
- อาการที่พบบ่อยคืออะไร
- อาการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตมากน้อยเพียงใด
- กำลังรับประทานยา อาหารเสริม และวิตามินใดอยู่ในขณะนี้บ้าง
- มีการสัมผัสสารใดๆ มาก่อนหน้านี้หรือไม่
- ใช้ยาเสพติด หรือติดการดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่
- มีอาการอื่นๆ หรือไม่ เช่น สูญเสียการมองเห็น พูดลำบาก หรือสับสน
การตรวจเพื่อหาสาเหตุของอาการเดินเซ
แพทย์อาจพิจารณาให้มีการตรวจเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
- ตรวจเลือด
- ตรวจปัสสาวะ
- สแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography (CT) Scan)
- การถ่ายภาพทางการแพทย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging (MRI) Scan)
- การเจาะน้ำไขสันหลัง (Spinal Tap)
- การตรวจทางพันธุกรรม (Genetic Testing)
แพทย์จะใช้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการทั้งหมดของคุณ และผลการตรวจที่ได้ในการวินิจฉัยโรค โดยอาจมีการส่งตัวคุณไปยังพบแพทย์ระบบประสาท (Neurologist) เพื่อวินิจฉัยโรคเพิ่มเติม
การใช้ชีวิตประจำวันกับอาการเดินเซ
อาการเดินเซไม่สามารถหายขาดได้เอง เพราะฉะนั้นหากแพทย์พบว่ามีโรคอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของอาการเดินเซ แพทย์จะทำการรักษาโรคนั้นๆ เป็นอันดับแรก เช่น ถ้าผู้ป่วยได้รับการบาดเจ็บที่สมอง เมื่อแพทย์รักษาจนหายเป็นปกติ ก็อาจทำให้อาการเดินเซหายไปด้วย
แต่ในบางกรณี เช่น โรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) แพทย์อาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อควบคุมอาการของโรค แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
หากมีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้ารับการบำบัดหรือใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น ไม้เท้า ช้อนส้อมชนิดพิเศษ และเครื่องมือช่วยในการสื่อสาร เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคุณ
การรักษาอาการเดินเซ
ทางเลือกในการรักษาอาการเดินเซ ได้แก่
- การออกกำลังกาย : ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย และช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
- การทำกิจกรรมบำบัด : มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร และการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อน
- การบำบัดด้านการพูด : เป็นการบำบัดเพื่อช่วยให้คุณสื่อสาร กลืนอาหาร และรับประทานอาหาร ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในบ้าน จะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีอาการเดินเซใช้ชีวิตในบ้านได้ง่ายขึ้น เช่น
- จัดระเบียบบ้านให้สะอาด ไม่มีของวางระเกะระกะ
- ทำทางเดินให้กว้างขวาง
- ติดตั้งราวจับ
- ไม่ใช้พรมหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อาจทำให้ลื่นหรือหกล้ม
การบำบัดด้วยอาหาร
นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์ Albany ประเทศสหรัฐอเมริกา (Albany Medical Center) ค้นพบชนิดของอาการเดินเซที่สามารถรักษาได้ คือ อาการเดินเซที่เกิดจากการขาดวิตามินอี เมื่อรักษาด้วยการให้วิตามินอีเสริม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ส่วนผู้ป่วย Gluten Ataxia ก็มีอาการดีขึ้นเมื่อเมื่อรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเทน (Gluten)
ที่มาของข้อมูล
Krista O'Connell, What Is Uncoordinated Movement? (https://www.healthline.com/health/movement-uncoordinated), December 23, 2016.