40% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) จะเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบในเวลาต่อมา โรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) หรือที่เรียกว่า mini-stroke เกิดจากการที่สมองบางส่วนขาดเลือดชั่วคราว ทำให้มีอาการคล้ายกับโรคเส้นเลือดสมองตีบ แต่อาการจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที หรือประมาณ 1 นาทีโดยเฉลี่ย และมักจะไม่ทำให้เกิดอันตรายอย่างถาวร อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็ยังเป็นโรคที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสมาคมโรคเส้นเลือดสมองตีบแห่งชาติ (National Stroke Association) ได้กล่าวว่า 40% ของผู้ที่เป็นโรคนี้จะกลายเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบในเวลาต่อมา และมีประมาณครึ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่เป็นโรคนี้
สาเหตุของโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA)
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้มักเกิดจาก
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- การมีเลือดไปเลี้ยงผ่านเส้นเลือดใหญ่ที่ไปสู่สมองที่มีการตีบแคบน้อย
- ลิ่มเลือดที่อุดตันหลอดเลือดบริเวณอื่นของร่างกาย (เช่นหัวใจ) มีการหลุดออกและไหลตามกระแสเลือดจนมาเกิดการอุดตันเส้นเลือดในสมอง
- มีการสร้างสะสมขึ้นภายในผนังหลอดเลือดทำให้มีเลือดไหลเวียนในเส้นเลือดน้อยหรือทำให้เกิดการสร้างลิ่มเลือดขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA)
ปัจจัยต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA)
- ประวัติครอบครัว ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) หรือเส้นเลือดในสมองตีบจะทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้น
- อายุ อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมากกว่า 55 ปีจะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
- เพศ เพศชายมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูงกว่าเล็กน้อย แต่พบว่ามากกว่าครึ่งของผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้เป็นผู้หญิง
- เชื้อชาติ กลุ่มแอฟริกัน อเมริกันมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองตีบมากกว่า อาจเพราะว่าในประชากรกลุ่มนี้พบการเกิดโณคความดันโลหิตสูงและเบาหวานมากกว่าเช่นกัน
- ประวัติ Mayo clinic ได้กล่าวว่าหากเคยเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) ขึ้นแล้ว 1 ครั้ง หรือมากกว่าจะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นซ้ำเพิ่มขึ้น 10 เท่า
- โรคโลหิตจางแบบซิกเคิลเซลล์ (Sickle Cell anemia) โรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นโรค Sickle cell anemia ได้
- ความดันโลหิตสูง การที่ความดันโลหิตสูงโดยไม่สามารถควบคุมได้ จะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดสมองตีบมากขึ้น
- ระดับ cholesterol-and-diet' target='_blank'>cholesterol-and-diet' target='_blank'>cholesterol สูง การรับประทานอาหารที่มี cholesterol และไขมันอิ่มตัวแบบ trans มากจะทำให้เกิดการสะสมไขมันในเส้นเลือดแดง
- โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ภาวะหัวใจวาย หัวใจผิดปกติ การติดเชื้อที่หัวใจ หรือการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ จะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ
- โรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ (Carotid artery disease) การเกิดโรคที่หลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน
- โรคเส้นเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral artery disease – PAD) คือการที่เส้นเลือดซึ่งไปเลี้ยงแขนและขาเกิดการอุดตัน
- เบาหวาน เบาหวานจะทำให้เส้นเลือดตีบรุนแรงมากขึ้น
- ระดับ homocysteine ที่สูง ระดับ homocysteine ที่สูงขึ้นจะทำให้เส้นเลือดหนาตัวและกลายเป็นแผลเป็น
- น้ำหนักเกิน การที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 หรือรอบเอวมากกว่า 35 นิ้วในผู้หญิง หรือมากกว่า 40 นิ้วในผู้ชายจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA)
- สูบบุหรี่ สูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้ความดันโลหิตสูง และทำให้มี cholesterol สะสมที่ผนังหลอดเลือดแดงมากขึ้น
- การใช้ชีวิตแบบอยู่กับที่ ความเสี่ยงในการเกิดโรคจะลดลงหากมีการออกกำลังกายระดับปานกลางวันละ 30 นาที
- ภาวะทุพโภชนาการ การรับประทานอาหารที่มีไขมัน และเกลือมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) และเส้นเลือดสมองตีบ
- การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ผู้ชายไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เกินว่าละ 2 แก้วและผู้หญิงไม่ควรเกินวันละ 1 แก้วเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ
- การใช้ยา ควรหลีกเลี่ยงการใช้โคเคน และยาเสพติดผิดกฎหมายอื่นๆ
- การรับประทานยาคุมกำเนิด การรับประทานยาที่มีฮอร์โมนเหล่านี้จะมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว (Transient Ischemic Attack – TIA) และเส้นเลือดในสมองตีบ
คุณพ่อป่วยทางด้านตับ&โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ..รักษาและพบแพทย์ประจำ..ต่อมามีอาการทางด้านผิวหนังโดยมีเม็ดขึ้นตามร่างกายและคันมาก..แพทย์แจ้งว่าแพ้สารเคมีให้ยามาทาน...แต่ยาเป็นยาที่มีสารสเตอรอย์เป็นส่วนประกอบ..เมื่อทานแล้วเม็ดและอาการคันจะหายแต่ถ้าหยุดทานไปสัก1อาทิตย์อาการก็จะกลับมาอีก...รบกวนสอบถาม...